The Dead Don't Bite (Part 1: Chapter 1-3)
คนตาย... กัดไม่ได้ (The Dead Don't Bite) เป็นเรื่องสั้นเกี่ยวกับการเดินทางของ เอมิล เรจิส โรเฮลเล็ค เทอร์ซีฟ-กอดฟรอย (Emiel Regis Rohellec Terzieff-Gogdefroy) แวมไพร์ชั้นสูงที่ประกอบอาชีพกัลบกและหมอผ่าตัด ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครที่ร่วมเดินทางผจญภัยไปกับเกรอลท์ในนิยาย เขาได้ต่อสู้กับวิลเกฟอตซ์และถูกจอมเวทใช้คาถาเพลิงเผาจนหลอมละลาย แต่เรจิสก็ถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้งในจักรวาลเกม ด้วยความช่วยเหลือของ เด็ตลาฟ แวน เดอร์ เอเรทีน (Dettlaff van der Eretein) แวมไพร์ชั้นสูงอีกตน โดยใน DLC Blood and Wine มิตรภาพ 7 ปีระหว่างแวมไพร์ทั้งสองได้มาถึงจุดแตกหัก เมื่อเด็ตลาฟออกอาละวาดฆ่าคนในแคว้นทูซองต์ และวิทเชอร์ที่ถูกจ้างวานให้มากำจัดเขาก็คือเกรอลท์ซึ่งเป็นสหายคนสำคัญของเรจิส
The Dead Don't Bite เป็นเรื่องราวในโหมด journey ลำดับที่ 7 ของเกม Gwent เรื่องราวเกิดขึ้นในอาณาจักรเทเมเรียราว ๆ ปลายปี 1268 หลังจากสงครามแดนเหนือครั้งที่ 2 ยุติลง เด็ตลาฟถูกวิทเชอร์คนหนึ่งสะกดรอยและได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ เรจิสช่วยเหลือเด็ตลาฟและทั้งคู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปรักษาตัวที่คลินิกของเรจิสในเมืองดิลลิงเงิน ลักษณะของแวมไพร์ที่ปรากฏในเรื่องนี้จะยึดตามตำนานในจักรวาลเกมของ CD Projekt Red จึงอาจมีรายละเอียดบางส่วนที่ไม่ตรงกับนิยายต้นฉบับของ Andrzej Sapkowski
แปลไทยโดย อาอี๊จับจอย
บทที่ 1
สถานพยาบาลเต็มไปด้วยกลิ่นของความตาย
‘เรจิส เจ้าต้องการเลือด’
‘ข้าต้องการเวลา’
‘ยังไงพวกเขาก็ต้องตาย’
‘แต่พวกเขาจะไม่ตายด้วยน้ำมือข้า’
พวกเขาเดินเหยียบผ้าพันแผลเปื้อนเลือดที่ถูกโยนทิ้งไว้ตามพื้น ความหนาวเย็นทำให้มันแข็งเป็นก้อน ไม่มีใครเก็บกวาดขยะพวกนี้หรือเติมเชื้อไฟเลย
‘เจ้าจะทำไปทำไม ข้าไม่เข้าใจ’ น้ำเสียงของเด็ตลาฟเจือไปด้วยความรำคาญ
‘จะอะไรก็ตามแต่ ขอให้เคารพการตัดสินใจของข้าด้วย’
‘ความเอาแต่ใจของเจ้ากำลังทำให้เราเสี่ยง เจ้ามันอ่อนแอ ทำให้พวกเราเสียเวลา’
‘นอกจากเรื่องจริยธรรมแล้ว…’ เรจิสอธิบายต่อ ‘พฤติกรรมที่สืบเนื่องมาจากนิสัยของเจ้าต่างหาก ที่ทำให้เราต้องเจอปัญหาอยู่ในตอนนี้ พวกเขาจะสังเกตเห็นเรา ร่องรอยของศพที่ถูกดูดเลือดจะทำให้พวกเราถูกสะกดรอยได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นให้ข้าหาทางออกที่ง่ายที่สุดจะดีกว่า’
‘แล้วเจ้าจะทำยังไง?’
‘แฝงตัวปะปนไปกับพวกเขา’
‘กับพวกมนุษย์? เสียศักดิ์ศรีชะมัด’ เด็ตลาฟขยับตัวอย่างอึดอัดและส่งเสียงคำรามจากความเจ็บปวดเมื่อเขาแตะลงบนบาดแผลที่อยู่ใต้เสื้อคลุม
‘แผลของเจ้าถูกพิษ’ เรจิสตั้งข้อสังเกต
‘เป็นไปได้ยังไง? ข้าสมานแผลไม่ได้ พอจะเปลี่ยนร่าง ข้าก็รู้สึกเหมือนแผลจะฉีกมากไปกว่าเดิมอีก ข้าไม่เข้าใจ เจ้านั่นก็เป็นแค่มนุษย์…’
‘ไม่ เขาไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นวิทเชอร์’
เด็ตลาฟจ้องมองสหายของเขา ลังเลที่จะซ่อนความสงสัยไว้ในสายตา
‘พวกเขาคือมนุษย์กลายพันธุ์ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นมือสังหาร เป็นกลุ่มคนที่คอยปกป้องโลกแห่งนี้จากผู้มาเยือนจากโลกอื่น’ เรจิสอธิบาย
‘จากพวกเรา…’
‘ใช่… จากเผ่าพันธุ์ของเราด้วย เป็นเวลานับศตวรรษที่คนกลุ่มนี้ค่อย ๆ สะสมความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขามองเห็นว่าเป็นศัตรู เจ้าก็เจอเข้ากับตัวแล้วนี่ เพราะฉะนั้นข้าขอเตือนให้ระวังพวกเขาไว้อย่างถึงที่สุด’
กล้ามเนื้อบนสันกรามของเด็ตลาฟกระตุกเกร็งขณะที่เขาใคร่ครวญถ้อยคำของสหาย ‘ข้าทำตามที่เจ้าบอกก็ได้’ เขาเอ่ยขึ้นมาในที่สุด
ผืนผ้าใบส่งเสียงสวบสาบ แวมไพร์ทั้งสองพุ่งสายตาไปยังทางเข้าเต็นท์ สาวกแห่งเทพีเมลิเทเลนางหนึ่งส่งยิ้มให้อย่างอ่อนล้า ‘ตอนนี้ข้าว่างมาดูแลพวกท่านแล้ว ท่านสุภาษบุรุษทั้งสอง ขออภัยที่ทำให้รอนาน ข้าดูแลที่นี่คนเดียว แม่ชีคนอื่น ๆ ตามไปสมทบกับกองทัพที่เมืองวิซิมากันหมดแล้ว’
‘ก็เลยปล่อยคนเจ็บให้นอนหนาวแบบนั้นหรือ?’ เรจิสประหลาดใจ ‘ทำไมต้องรีบร้อนเดินทางไปกันหมดด้วยล่ะ? สงครามจบแล้วนี่ พวกนิลฟ์การ์ดแพ้ศึกที่เบรนนาไปแล้ว’
ผู้ดูแลสถานพยาบาลก้มหน้า ‘ฝ่าบาทไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนให้พวกเขามาหกเดือนแล้ว กองทัพเลยขู่ว่าจะปฏิวัติ พวกทหารบังคับท่านผู้ว่าการให้นำทางพวกเขาไปยังเมืองหลวงเพื่อเบิกเบี้ยเลี้ยง ข้าอาสามาทำงานที่สถานพยาบาลแห่งนี้เอง และเมื่ออาสาว่าจะรับใช้แล้วก็ต้องทำตามคำปฏิญาณ ไม่ว่าท้องจะอิ่มหรือไม่ก็ตาม’
‘ที่นี่ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีข้าวของเพียงพอด้วยซ้ำ’
‘ท่านผู้ว่าการน่ะใจดีมอบเต็นท์ส่วนตัวให้เราใช้ เต็นท์หลังนี้ก็เหมือนกัน และเขายังรับปากว่าจะส่งสเบียงกับยามาให้ด้วย ทั้งหมดนี้ซื้อด้วยเงินส่วนตัวของเขาเอง ยังพอมีของว่างสำหรับพวกท่าน ถึงแม้จะเหลือไม่มากแล้วก็ตาม พวกท่านจะกินอะไรสักหน่อยไหม?’
‘ขอบคุณ’ เรจิสเม้มปากยิ้ม ‘เรายังไม่หิวหรอก แต่ช่วยบอกข้าทีว่าท่านเคยเห็นใครเดินทางผ่านมาแถวนี้บ้างหรือเปล่า? การเดินทางในช่วงนี้มันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย มีแต่ตัวอันตรายเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมด’
‘เมื่อเช้ามีทหารสามนายแวะมาที่นี่ บอกว่ารู้จักกับคนเจ็บคนหนึ่งที่เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขา ทหารพวกนั้นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ข้าดีใจเหลือเกินที่พวกเขาพาคนเจ็บไปด้วย อย่างน้อยผู้เคราะห์ร้ายก็ได้รับการช่วยเหลืออีกคนหนึ่งแล้ว’
‘ขอบคุณ’
ไม่นานพวกเขาก็ออกมาจากสถานพยาบาลชั่วคราวแห่งนั้น ถนนที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกทอดทะลุผ่านทิวต้นเอล์ม
‘ไม่มีใครตามหาพวกเขาหรอก’ เด็ตลาฟเอ่ยขึ้น ‘พวกเขาจะถูกหลงลืม ข้ารู้จักนิสัยมนุษย์ดี พวกมนุษย์น่ะความจำสั้นจะตาย’
‘แต่สาวน้อยคนนั้นจะจำได้’ เรจิสตอบ
เหนือศีรษะพวกเขา ฝูงนกกาบินวนเป็นวงกลมล้อมรอบเต็นท์หลังนั้น
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
บทที่ 2
หิมะหยุดโปรยปรายแล้ว
เออร์สกินขยี้ตาและมองตรงไปยังทิวทุ่งแห่งซ็อดเดนที่ถูกกลืนหายไปในยามโพล้เพล้ เขาคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องหยุดพักแล้ว จึงส่งสัญญาณไปยังเพื่อนร่วมทางทั้งสองให้ออกจากถนนไปยังที่ว่างใกล้ ๆ
เนริสเหวี่ยงกระเป๋าสัมภาระลงจากหลังของนางแล้วหยิบผ้าห่มกับเสบียงกรังออกมา โอเซียนจัดการก่อกองไฟ เออร์สกินปล่อยมือจากเชือกลากเลื่อนหิมะ เขานั่งลงแล้วถูนวดฝ่ามือ
‘เดี๋ยวข้าจะช่วยเอง’ เออร์สกินเอ่ย
เนริสหันไปมองชายที่นอนอยู่บนเลื่อน ‘ถ้าพักได้ เจ้าก็ไปพักก่อนเถอะ’
‘ไอ้จ่าเวรตะไล’ โอเซียนเป่ามือแล้วสบถออกมา ‘ทำไมต้องกินจนอ้วนขนาดนี้ด้วย? ถ้าเขาตัวเบากว่านี้พวกเราคงข้ามแม่น้ำอินาไปแล้ว’
‘ช่วยไม่ได้นี่นา’ เนริสตอบ
เออร์สกินโน้มตัวลงไปใกล้ ๆ ร่างของจ่าที่มีผ้าพันแผลเต็มตัวและฟังเสียงหายใจตื้น ๆ ของเขา ‘พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่’ เขากล่าว ‘ข้าจะเฝ้ายามกะแรกให้เอง’
*
ไวน์ที่ขโมยมามีรสเผ็ดของขิง เออร์สกินทำหน้าเหยเกขณะดึงผ้าห่มมาคลุมไหล่และหันไปมองคนอื่น ๆ ที่กำลังนอนหลับ โอเซียนที่เป็นเหมือนกับลูกชายแท้ ๆ ของเขาถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเทเมเรียก่อนหน้าที่พวกทัพทมิฬจะบุกมาได้ไม่นาน พวกเขาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในศึกดิลลิงเงินภายใต้การบัญชาการของแยน นาทาลิส [1] ต่อด้วยศึกซ็อดเดนที่ราชาโฟลเทสท์ทรงนำทัพด้วยพระองค์เอง เนริสสังกัดอยู่กับกองกำลังอิสระ นางอ้างว่าตัวเองเป็นลูกสาวของบารอนชาวลิเรียคนหนึ่ง เออร์สกินมั่นใจว่านางต้องโกหกอยู่แล้ว เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็จินตนาการไม่ออกว่าเหตุใดนางจึงต้องมาลงเอยแบบนี้ ต้องมาเผชิญกับความเหน็บหนาวเข้ากระดูกระหว่างการเดินทางอันแสนบ้าบอของพวกเขา
อาาา… การเดินทางนี้หนอ... เออร์สกินถอนหายใจพลางจิบไวน์ การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากนายจ่าและเรื่องราวของเขาเกี่ยวกับหีบใบหนึ่งในห้องใต้ดินที่เกลื่อนไปด้วยเศษซาก ตามมาด้วยการตัดสินใจที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกัน บนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับไปได้อีก
ความอบอุ่นจากกองไฟเพรียกหาเออร์สกิน เชื้อเชิญให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทรา เออร์สกินลุกขึ้นยืนแล้วใช้หัวรองเท้าบูทสะกิดเรียกเนริส ‘ถึงกะเฝ้ายามของเจ้าแล้ว’ เขาเอ่ยพร้อมกับส่งขวดไวน์ให้นาง เนริสขยี้ตาแล้วจิบเข้าไป แต่ก็ต้องหันหน้าพ่นมันใส่กองไฟแทน เออร์สกินกำลังจะบอกนางเรื่องรสชาติไวน์ใส่ขิง แต่เขาก็ชะงักเมื่อสังเกตเห็นว่าทหารหญิงกำลังเพ่งมองเข้าไปในความมืดด้านหลัง
‘ไม่ต้องกลัวหรอก’ ใครบางคนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืดรอบ ๆ ที่พักแรม
ครู่หนึ่งชายแปลกหน้าสองคนก็โผล่เข้ามาในบริเวณที่แสงสว่างจากกองไฟส่องถึง ‘เราไม่มีอาวุธ’ หนึ่งในนั้นกล่าว เขาคือชายผมสีเทาเจ้าของเสียงเดียวกันกับที่เอ่ยขึ้นเมื่อสักครู่
‘เรากำลังเดินทางไปที่เมืองดิลลิงเงิน [2] ในช่วงเวลาที่อันตรายรอบตัวแบบนี้ คงจะดีกว่าถ้าเรามีเพื่อนร่วมทางไปด้วย จริงไหม? โดยเฉพาะเมื่อเรามีจุดหมายปลายทางเดียวกัน’
‘เจ้าแน่ใจรึ?’ โอเซียนถามในขณะที่เขาย่อตัวลงชักมีดสั้นออกมาซ่อนไว้ข้างหลัง
‘เราไม่ต้องการเพื่อนร่วมทาง’ เนริสย้ำ
เออร์สกินไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขากำลังประเมินสถานการณ์อย่างถี่ถ้วน ผู้มาใหม่ทั้งสองดูไม่มีทีท่าว่าจะเป็นอันตราย ประการแรกพวกเขาไม่มีอาวุธตามที่พูดจริง ๆ ประการที่สองพวกเขาดูเหมือนคนป่วย หรือไม่ก็อ่อนแอเต็มที ชายผมเทามีผิวที่ซีดมาก ๆ และพูดจาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ส่วนชายผมดำอีกคนก็เอาแต่เงียบ เขาเดินเอียงเล็กน้อยและต้องใช้มือกดสะโพกไว้ตลอดเวลา หรือเขาจะมีแผลสดอยู่ตรงนั้น?
ชายผมเทาพยักหน้าไปทางเลื่อนหิมะ ‘ชายผู้นี้คงอยู่ได้ไม่เกินสัปดาห์’ เขากล่าว ‘โชคดีที่ข้าเป็นหมอ สถานพยาบาลของข้าอยู่ที่เมืองดิลลิงเงิน ถ้าเราเร่งฝีเท้าอีกหน่อย ข้าอาจช่วยเขาได้’
สายลมพัดผ่านจนกิ่งไม้สั่นไหว เปลวไฟที่ใกล้มอดดับพลันลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
เออร์สกินนึกขึ้นได้ว่าเนริสและโอเซียนกำลังรอสัญญาณจากเขาอยู่ เขารู้ดี หากนายจ่าขาดใจตายก่อนพวกเขาจะถึงจุดหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญเปล่า หมอผ่าตัดสักคนอาจช่วยพวกเขาได้…
เออร์สกินละมือจากด้ามดาบ ทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะพยักหน้า ‘พวกเจ้าชื่ออะไร?’
*
เมื่อถึงรุ่งสางพวกเขาก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อ เออร์สกินใช้เท้าเขี่ยขี้เถ้าพลางจ้องมองเพื่อนร่วมทางหน้าใหม่ ชายผมเทาชื่อเรจิสไม่ยอมนอนตลอดทั้งคืน ถึงแม้เขาแทบจะยืนไม่ไหวแล้วก็ตาม เขาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้นายจ่าอย่างคล่องแคล่วและเตรียมผ้ากดปากแผลไว้ให้ด้วย น่าแปลกที่ชายอีกคนซึ่งมีนามว่าเด็ตลาฟกลับออกปากอาสาลากเลื่อนหิมะให้
พวกเขาออกเดินทาง แต่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เด็ตลาฟก็หยุดชะงักเพราะความเจ็บปวด เรจิสต้องใช้แขนข้างหนึ่งช่วยประคองเขา เออร์สกินกระชับกระเป๋าสัมภาระและตามไปสมทบด้วย
‘สภาพเจ้าดูไม่ดีเลย’ เออร์สกินกล่าว ‘ใครทำให้เจ้าเจ็บหนักขนาดนี้?’ ผู้ร่วมทางทั้งสองนิ่งเงียบ เด็ตลาฟเหลือบมองไปข้างหลังเหมือนกลัวว่าจะมีใครตามพวกเขามา เออร์สกินไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบ เพราะตอนนี้เขามั่นใจว่าตัวเองไม่อยากรู้แล้ว
หมายเหตุ:
[1] แยน นาทาลิส (Jan Natalis) เป็นแม่ทัพชาวเทเมเรียที่มีบทบาทสำคัญในสงครามแดนเหนือ ในเกมเวอร์ชันภาษาอังกฤษก่อนหน้านี้ CDPR เปลี่ยนชื่อของเขาเป็น John Natalis แต่ครั้งนี้กลับใช้ชื่อเดิมตามต้นฉบับภาษาโปแลนด์
[2] เมืองดิลลิงเงิน (Dillingen) ตามท้องเรื่องตั้งอยู่ในราชอาณาจักรบรูกก์ (Brugge) ซึ่งเป็นรัฐใต้ปกครองของอาณาจักรเทเมเรีย ชื่อของเมืองนี้มีที่มาจากเมืองดิลลิงเงินในแคว้นบาวาเรียของเยอรมนี ผู้แปลจึงสะกดชื่อเมืองนี้ตามการออกเสียงในภาษาเยอรมัน
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
บทที่ 3
‘มีสิ่งชั่วร้ายมาหลบซ่อนในหอระฆังของเราน่ะ ท่านวิทเชอร์ พอตกกลางคืนมันก็บินออกไปในเมือง ลักพาตัวผู้คนไปจากท้องถนน ลากพวกเขากลับขึ้นไปกินในรัง น่ากลัวเป็นบ้า! หากจะจ้างท่านกำจัดเจ้าตัวโสโครกนี้ พวกเราจะต้องจ่ายเท่าไรกัน?’
‘สองร้อยโอเร็น ท่านที่ปรึกษา ท่านมีแวมไพร์อยู่ในเมืองนะ มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย’
ท่านที่ปรึกษาทำท่าซาบซึ้งน้ำใจของวิทเชอร์ ‘อันที่จริงท่านคงศึกษาธรรมชาติของมันมาเป็นอย่างดีแล้วใช่ไหม?’
‘ข้าชันสูตรร่างเหยื่อมาแล้ว’
โซเรนเซนคิดว่าคงไม่เหมาะถ้าจะอธิบายไปว่าเขาได้ตามแกะรอยแวมไพร์ตนนี้มานานแล้ว มันเป็นงานจากคนที่มีความสำคัญกว่านี้มาก ร่องรอยของมันทำให้เขาดั้นด้นมาจนถึงเมืองวอร์เฟิร์ต เขาทึกทักเอาเองว่าถ้าหากผู้ว่าจ้างปรารถนาที่จะจ่ายเงินเพิ่มเป็นสองเท่า ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้พวกเขาต้องเสียน้ำใจ
ท่านที่ปรึกษาเงียบพร้อมกับส่ายหน้า ‘แพงเหมือนกันนะ’
‘ถ้าเช่นนั้น ท่านลองจัดการมันเองก็แล้วกัน’
‘แน่ล่ะ เราลองแล้ว พวกเด็กหนุ่มผู้กล้าจากหน่วยรักษาการของปราสาทอยากจะปราบมันเต็มแก่ แต่ดูเหมือนว่าคมหอกคมดาบจะไม่ระคายผิวเจ้าปีศาจร้ายเลย เราคิดว่าจะจุดไฟเผาหอระฆังเพื่อไล่มันไป แต่ว่า…’
‘มันผิดจารีต!’ พระราชาคณะตะโกนลั่น เขายืนมองอยู่ไกล ๆ ผ่านบานหน้าต่างกระจกสีของวิหารที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของหอระฆัง ‘จะจุดไฟในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้! วิหารบริจาคเงินตั้งสามพันโอเร็นเพื่อสร้างหอระฆังขึ้นมาเชียวนะ! ข้าขอย้ำว่าห้ามเผามันเด็ดขาด!’
‘แหกปากเสียงดังขนาดนั้นใกล้ ๆ รังของอสุรกาย...’ ที่ปรึกษาบ่นด้วยความรำคาญ ‘ท่านไม่กลัวบ้างเลยหรือไง?’
‘บทเพลงศักดิ์สิทธิ์จะปกป้องเรา’ สาธุคุณตอบด้วยความโมโห ‘ตราบใดที่เสียงเพลงยังดังกึกก้อง สิ่งชั่วร้ายจะไร้พลังอำนาจ’
เหล่านักร้องประสานเสียงมารวมตัวกันหน้าแท่นบูชาและร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง ทำนองอันราบเรียบหลอมรวมเข้ากับผนังอันวิจิตรเช่นเดียวกับกลิ่นกำยาน แต่บทสนทนาก่อนหน้านี้กลับทำให้โซเรนเซนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
‘ท่านสาธุคุณ’ วิทเชอร์เอ่ยถามนักบวช ค้อมศีรษะลงอย่างสุภาพ ‘พลังศรัทธาและเสียงเพลงศักดิ์สิทธิ์สามารถต่อกรกับแวมไพร์ได้อย่างแน่นอน ข้าขอยืมคณะนักร้องประสานเสียงของท่านได้ไหม? เสียงสวดมนต์จะทำให้มันสับสนและสูญเสียพลังอำนาจ จากนั้นข้าจะเข้าประชิดตัวและสังหารมัน’
พระราชาคณะวางท่าเหมือนไก่งวงกำลังพองขนและจ้องตรงไปยังท่านที่ปรึกษา ‘ได้สิลูก... ได้อยู่แล้ว’
*
เหยื่อล่อทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม เพลงสวดศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความแตกตื่นเมื่อแวมไพร์ทะยานขึ้นเหนือท้องฟ้าอันมืดมิดและโฉบลงตรงกลางคณะประสานเสียง ส่วนศีรษะไร้ดวงตา มีปีกเหมือนค้างคาว เส้นเลือดสูบฉีดเป็นจังหวะอยู่ใต้ผิวหนังมันวาว... แวมไพร์เผ่าการาแชม [1]
เจ้าสัตว์ร้ายคว้าร่างนักร้องที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วฝังคมเขี้ยวลงไปในร่าง มันตรึงร่างเหยื่ออีกรายไว้กับพื้นด้วยกรงเล็บยาว ๆ ที่เท้าของมัน
ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มขณะที่มันดื่มเลือดจะทำให้ประสาทสัมผัสของมันช้าลง ทำให้มันเซื่องซึม เป็นจังหวะเข้าโจมตีที่ดีที่สุด โซเรนเซนโผล่ขึ้นมาจากข้างหลังกากอยล์หิน โน้มตัวลงเหมือนรูปปั้นดิสโคโบลัส [2] และขว้างโซ่เงินออกไป ห่วงโลหะหมุนคว้างกลางอากาศและพันรอบแขนขาของแวมไพร์ ผิวหนังที่สัมผัสแร่เงินไหม้เกรียมจนส่งเสียงเหมือนเนื้อย่าง แวมไพร์เผ่าการาแชมกลิ้งตกลงไปบนหลังคาที่ลาดเอียงของวิหาร ร่างกระแทกเข้ากับพื้นกรวดเบื้องล่างพร้อม ๆ กับเศษกระเบื้องมุงหลังคาที่หล่นลงมาราวกับห่าฝน วิทเชอร์ใช้รางน้ำฝนเป็นทางลัดเพื่อตามลงไป ได้เวลาปิดงานแล้ว เขาชักดาบเงินออกมาและตวัดลงไปที่ลำคอของแวมไพร์ซึ่งกำลังดิ้นรนจากพันธนาการ
เงาร่างรูปทรงค้างคาวสลายตัวเป็นแอ่งเลือด ดาบเงินส่งเสียงกังวานเมื่อมันตกกระแทกพื้นหิน โซ่เงินยุบยวบลงกลางอากาศที่ว่างเปล่า เมื่อหลุดจากพันธนาการ แวมไพร์ก็คืนสภาพกลับมามีเนื้อหนังอีกครั้ง มันสยายปีกและแผดเสียงทิ่มทะลวงแก้วหู โซเรนเซนกระโดดออกจากทิศทางที่มันพุ่งจู่โจม วิทเชอร์ม้วนตัวคุกเข่า หน้าไม้ส่งเสียงคลิ๊กเมื่อโกลนง้างสายถูกเหนี่ยวจนสุด เขาเล็งแล้วลั่นไก
ร่างของแวมไพร์กระตุกกลางอากาศ มันพุ่งทะยานขึ้นสู่เบื้องบน ทะลวงผ่านหอระฆังจนเกิดเสียงดังกังวานสนั่น วิทเชอร์ตามเป้าหมายไปติด ๆ เขาจับเชือกที่แขวนกระเช้าของช่างก่อสร้างและตวัดดาบตัดเครื่องถ่วงน้ำหนักให้หล่นลง แรงกระชากจากมวลก้อนอิฐที่ร่วงหล่นเหวี่ยงตัวเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดในพริบตา
จากจุดนี้เขามองเห็นเงาของค้างคาวยักษ์ตัดกับแสงนวลสว่างของพระจันทร์ มันร่อนหายไปทางตะวันตก วิทเชอร์ได้แต่สบถคำหยาบออกมา
หมายเหตุ:
[1] แวมไพร์ชั้นสูงในเกม The Witcher มีอยู่ 3 เผ่า ได้แก่ Ammurun, Tdet และ Garasham เผ่าการาแชมตั้งรกรากอยู่บนมหาทวีป เผ่าแอมมูรูนอพยพข้ามทะเลเกรทซีไปทางตะวันตก ส่วนเผ่าทเด็ตข้ามทะเลทรายโครัทไปทางทิศตะวันออก ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเรื่องความแตกต่างของแต่ละเผ่า
[2] ดิสโคโบลัส (Discobolus / Diskobólos) หรือนักขว้างจักร ปรากฏในศิลปะกรีกโบราณยุคคลาสสิกทั้งรูปปั้น รูปสลัก และภาพเขียน เป็นชายเปลือยที่มีมัดกล้ามเนื้อสวยงามถือจักรตั้งท่าโน้มตัวไปข้างหน้าในจังหวะก่อนปล่อยจักรออกจากมือ
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
ชื่อตัวละครเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ
เรจิส = Regis / เด็ตลาฟ = Dettlaff / เออร์สกิน = Erskine / เนริส = Néris / โอเซียน = Osyan / โซเรนเซน = Sorensen
ไม่มีความคิดเห็น