เรื่องสั้น "เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน" Part 3 (บทที่ 4)
เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน
แปลจากเรื่องสั้น Droga, z której się nie wraca
โดย อันด์เชย์ ซัพคอฟสกี
📜 อ่าน Part 1 (บทที่ 1) | Part 2 (บทที่ 2-3)
กองกำลังโคชชีย์ ภาพจากคอมิกส์ Droga bez powrotu |
- IV -
มิคูลาใช้คีมจับแท่งเหล็กให้แน่นกระชับยิ่งขึ้นแล้วยัดมันลงไปในเตาถ่านแดงร้อน
“เป่าลมสิวะ ช็อพ!” เขาออกคำสั่ง
คนงานหนุ่มกระวีกระวาดไปคว้าด้ามที่เป่าลม หยาดเหงื่อเกาะพราวทั่วใบหน้าอวบอ้วนของเขา แม้ประตูจะเปิดออกจนสุดแต่ภายในโรงตีเหล็กก็ยังร้อนจนเกินต้าน มิคูลายกแท่งเหล็กขึ้นมาวางบนทั่ง ทุบปลายข้างหนึ่งจนบี้แบนด้วยการลงค้อนหนัก ๆ ไปเพียงไม่กี่ครั้ง
ราดิมช่างทำล้อประจำโรงเหล็กนั่งอยู่บนตอไม้เบิร์ช [5] ขรุขระในสภาพเหงื่อท่วมตัวเช่นกัน เขาปลดกระดุมเสื้อทุกเม็ดและดึงชายเสื้อออกมาจากขอบกางเกง
“เจ้าก็พูดได้น่ะสิ มิคูลา” เขาเอ่ย “เจ้ารู้เรื่องการต่อสู้เป็นอย่างดี ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเจ้าไม่ได้ยืนตีเหล็กมาตลอดชีวิตสักหน่อย ว่ากันว่าเมื่อก่อนน่ะ… เจ้าตีหัวคนแทนที่จะตีเหล็ก”
“เจ้าควรจะดีใจนะ ที่ข้าอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้า” ช่างตีเหล็กตอบ “จะบอกให้อีกทีนะ ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้พวกมันอีกแล้ว จะไม่ยอมเป็นขี้ข้าของพวกมันเด็ดขาด ถ้าเจ้าไม่ไปกับข้า ข้าไปคนเดียวก็ได้ หรือไม่ก็หาพรรคพวกที่เลือดเดือดปุด ๆ เป็นฟองอยู่ในเส้นเลือด… ไม่ใช่มีแต่ฟองเบียร์ เราจะเข้าไปในป่าแล้วจัดการพวกมันทีละคน พวกมันมีกันเท่าไรนะ? สามสิบรึ? บางทีอาจน้อยกว่านั้นก็ได้ พวกเราก็มีกันตั้งหลายหมู่บ้านไม่ใช่รึ? คนที่แข็งแรงน่ะ? เป่าลมเข้าสิวะ ช็อพ!”
“เป่าอยู่!”
“แรงกว่านี้อีก!”
เสียงค้อนกระทบทั่งดังขึ้นเป็นจังหวะจนเกือบกลายเป็นท่วงทำนอง ช็อพง้างด้ามจับที่เป่าลม ราดิมบีบจมูกสั่งน้ำมูกแล้วเช็ดมือกับรองเท้าบู๊ท
“เจ้าก็พูดได้น่ะสิ” เขาย้ำ “แล้วคนจากหมู่บ้านคลูชจะไปกับเราสักกี่คนกัน?”
ช่างตีเหล็กวางค้อนลงโดยไม่ตอบอะไร
“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด” ช่างทำล้อกล่าว “ไม่มีใครไปกับเราหรอก”
“คลูชเป็นแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ เจ้าต้องลองไปถามคนในหมู่บ้านโพร็อกกับหมู่บ้านคะชานดูบ้าง”
“ข้าถามมาหมดแล้ว จะบอกให้นะ พวกชาวบ้านน่ะไม่กล้าขยับตัวหรอกถ้าไม่มีกองทหารจากมาเยนา บางคนก็บอกว่าพวกวรานกับแวร์บับบ์น่ะ แค่นับหนึ่งถึงสามก็เอาส้อมตักฟางเสียบพวกมันได้แล้ว แต่เราจะทำอีท่าไหนถ้าเกิดโคชชีย์มันลงมาที่หมู่บ้าน? ถ้าวิ่งหนีเข้าป่า แล้วบ้านกับข้าวของต่าง ๆ ล่ะ? เราแบกใส่หลังไปไม่หมดหรอกนะ พวกเราไม่มีปัญญาจะสู้กับโคชชีย์ได้หรอก เจ้าก็รู้”
“ข้าจะไปรู้ได้ไง?! มีใครเคยเห็นมันกับตาบ้าง?!” ช่างตีเหล็กโวยวาย “บางทีไอ้ตัวโคชชีย์นั่นอาจไม่มีอยู่จริงก็ได้นี่? บางทีพวกมันอาจกุเรื่องขึ้นมาขู่เฉย ๆ ก็ได้ มีใครเคยเห็นมันกับตาบ้าง?”
“อย่าพูดเลย มิคูลา” ราดิมเอียงศีรษะ “เจ้าก็รู้ว่าในกองคาราวานของพวกพ่อค้ามีคนคุ้มกันอยู่ด้วย คนที่เป็นมือสังหารจริง ๆ แถมยังใส่เกราะเหล็กทั้งตัว แล้วมีใครรอดตายออกมาจากช่องเขาบ้างล่ะ? ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่เอาหรอกมิคูลา จะบอกให้นะ เราต้องรอไปก่อน ถ้าผู้ว่าการเมืองมาเยนาส่งทหารมาช่วย สถานการณ์จะเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่องเลย”
มิคูลาวางค้อนลงและยัดแท่งเหล็กเข้าไปในเตาอีกครั้ง
“พวกทหารจากมาเยนาจะไม่มาช่วยเราหรอก” เขากล่าวอย่างสิ้นหวัง “พวกขุนนางกำลังสู้รบกันเอง มาเยนากับราซวาน”
“จะรบกันไปทำไม?”
“ใครจะไปเข้าใจว่าทำไมท่านลอร์ดทั้งหลายถึงต้องเปิดศึกห้ำหั่นกันล่ะ? แต่ถ้าถามข้าล่ะก็... พวกมันคงอยากหาอะไรทำแก้เบื่อ ไอ้พวกจองหองเอ๊ย!” ช่างตีเหล็กตะคอก “เจ้าเคยเห็นหน้าไอ้ท่านผู้ว่าการบ้างไหมล่ะ? แล้วพวกเราจะจ่ายภาษีให้ไอ้ระยำนั่นไปทำไม?”
เขากระชากแท่งเหล็กออกมาจากกองถ่านแดง ๆ สะเก็ดไฟฟุ้งออกมาและลอยละล่องไปในอากาศ ช็อพกระโดดหลบ มิคูลาหวดค้อนลงไปหนึ่งครั้ง... อีกครั้ง... และอีกครั้ง
“ตอนที่คนของข้าถูกผู้ว่าการเมืองไล่ตะเพิดออกมา ข้าก็ส่งเขาไปขอความช่วยเหลือจากอาศรม ขอร้องนักบวชดรูอิดให้มาช่วยเรา”
“ส่งคนไปหาพวกผู้วิเศษรึ?” ช่างทำล้อถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “มิคูล่า?”
“ส่งไปหาพวกเขานั่นแหละ แต่เจ้าหนูนั่นยังไม่กลับมาเลย”
ราดิมส่ายหัว เขายืนขึ้นและขยับกางเกง
“ไม่รู้สิ… มิคูลา ข้าไม่รู้จริง ๆ จนปัญญาแล้วเหมือนกัน แต่ผลมันก็คงออกมาไม่ต่างกัน พวกเราต้องรอไปก่อน ทำงานของเจ้าให้เสร็จ อีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะมารับมันแล้ว ข้าต้อง…”
หน้าโรงตีเหล็ก ม้าตัวหนึ่งส่งเสียงร้องขึ้นมา
ช่างตีเหล็กที่กำลังเงื้อค้อนถึงกับหยุดชะงัก ช่างทำล้อปากสั่นหน้าซีด มิคูลารู้สึกว่ามือเริ่มสั่นและเช็ดมันกับผ้ากันเปื้อนอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด เขากลืนน้ำลายแล้วค่อย ๆ เดินออกไปยังประตูที่เปิดค้างไว้ รูปร่างคนขี่ม้าเริ่มปรากฏให้เห็นเป็นเงา ราดิมกับช็อพเดินตามหลังเขาไปติด ๆ มิคูลาวางแท่งเหล็กพิงไว้กับผนังข้างประตูก่อนเดินออกไป
เขาเห็นร่างของทหารรับจ้างทั้งหมดหกร่าง แต่ละร่างนั่งอยู่บนหลังม้า สวมเสื้อหนังทับเกราะโซ่ถักและหมวกหนังที่มีแผ่นเหล็กป้องกันดั้งจมูกยึดติดในแนวกึ่งกลางระหว่างดวงตาสีแดงฉานขนาดใหญ่จนกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของใบหน้า พวกเขานั่งนิ่งอยู่บนหลังม้าอย่างไม่แยแส มิคูลากวาดสายตาไปยังพวกเขาทีละคน สังเกตอาวุธในมือที่เป็นหอกสั้นติดใบมีดแบน ๆ พกดาบซึ่งมีครอสการ์ด [6] รูปทรงแปลกตา และยังมีขวานศึกกับง้าวที่มีซี่ฟันเหมือนใบเลื่อย
สองในหกขี่ม้ามาหยุดตรงหน้าประตู หนึ่งในนั้นคือวรานร่างสูงสวมผ้าคลุมบนหลังม้าสีเทาที่ถูกประดับประดาด้วยผ้าคลุมสีเขียว บนหมวกของเขามีสัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์ ส่วนอีกคนนั้น…
“แม่จ๋า…” ช็อพพึมพำอยู่ข้างหลังช่างตีเหล็ก และเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
อีกคนนั้นเป็นมนุษย์ เขาสวมผ้าคลุมสีเขียวเข้มแบบพวกวราน ดวงตาของเขาไม่ได้มีสีแดง หากแต่เป็นดวงตาสีฟ้าซีดที่จ้องมองพวกเขาจากภายใต้หมวกเกราะทรงจงอยปากนก สายตาที่เย็นชาและโหดเหี้ยมทำให้มิคูลาหวาดกลัวจนท้องไส้ปั่นป่วน วิงเวียน และเสียวสันหลังวาบ บรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท เงียบจนช่างตีเหล็กได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ของแมลงวันที่บินตอมกองปุ๋ยคอกตรงข้างหลังรั้ว
ชายสวมหมวกทรงจงอยปากนกเป็นคนแรกที่เริ่มเจรจา
“ใครคือช่างตีเหล็ก?”
เป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องถาม มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีจากรูปร่างกำยำและผ้ากันเปื้อนหนังที่มิคูลาสวมอยู่ ช่างตีเหล็กยังคงนิ่งเงียบ หางตาเขามองเห็นชายผู้มีดวงตาสีฟ้าซีดส่งสัญญาณบางอย่างให้กับวรานตนหนึ่ง มันโน้มตัวไปข้างหน้า จับด้ามง้าวตรงกึ่งกลางแล้วหวดใส่จากบนหลังม้า มิคูลาก้มหลบตามสัญชาตญาณพร้อมกับยกมือขึ้นมาป้องกันศีรษะเอาไว้ แต่เป้าหมายของการโจมตีไม่ใช่เขา ใบมีดใหญ่สับเข้าลำคอของช็อพเป็นมุมเฉียง ตัดลึกผ่านกระดูกสันหลังและกระดูกไหปลาร้าจนแหลกละเอียด หนุ่มน้อยเซถอยหลังเข้าหาโรงตีเหล็ก ชนเสาประตูและล้มลงตรงหน้าทางเข้า
“ข้าถามคำถามเจ้า” ชายผู้สวมหมวกทรงจงอยปากนกเอ่ยย้ำโดยไม่หันไปสบตามิคูลา ยื่นมือที่สวมถุงมือไปจับขวานที่รัดติดไว้กับอาม้า วรานที่อยู่ไกลสุดจุดคบเพลิงและส่งต่อไปยังวรานตนอื่น ๆ พวกมันล้อมโรงตีเหล็กอย่างเงียบเชียบและไม่รีบร้อน จากนั้นจึงชูคบเพลิงใส่หลังคามุงแฝก
ราดิมทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาซุกใบหน้ากับฝ่ามือ ร้องไห้คร่ำครวญแล้ววิ่งฝ่าออกไปตรงช่องว่างระหว่างม้าคู่หนึ่ง เมื่อเขาเข้ามาในระยะของวรานร่างสูง มันก็ซัดหอกเข้าที่กลางท้องเขาในพริบตา ช่างทำล้อร้องโหยหวนและล้มลง ร่างกระตุกอย่างรุนแรงสองครั้งก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะเหยียดออก เขาไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย
“แล้วไงล่ะ มิคูลา หรือเจ้าจะชื่ออะไรก็ตามแต่” ชายผู้มีดวงตาสีฟ้าซีดกล่าว “เจ้าน่ะเหลือแค่ตัวคนเดียวแล้ว แล้วจะอยู่ไปเพื่ออะไร? ปลุกระดมชาวบ้านแล้วส่งพวกเขาไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ อย่างนั้นรึ? คิดว่าพวกเราจะไม่รู้เลยหรือไง? เจ้าน่ะมันโง่ ตามหมู่บ้านต่าง ๆ มันจะมีพวกที่ชอบแฉคนอื่น ๆ เพราะอยากเอาอกเอาใจเรา”
หลังคาแฝกของโรงตีเหล็กเริ่มส่งเสียงปะทุ พร้อมกับเสียงดังฟู่ ๆ และพ่นควันสีเหลืองสกปรกออกมา ในที่สุดเปลวไฟก็ลุกโชน ส่งสะเก็ดไฟปลิวว่อนและกระแสเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
“เราจับคนของเจ้าได้ เจ้านั่นยอมเปิดปากว่าเจ้าส่งเขาไปที่ไหน ตอนนี้เรากำลังรอคนที่จะเดินทางมาจากมาเยนา” ชายผู้สวมหมวกทรองจงอยปากนกกล่าวต่อ “ใช่แล้ว มิคูลา เจ้าน่ะแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง แล้วมันยังนำความเดือดร้อนแสนสาหัสมาให้เจ้าด้วย ข้าคิดว่าเจ้าสมควรถูกเสียบประจาน แถวนี้มีเสาเหมาะ ๆ สักต้นไหมล่ะ? หรือจะใช้วิธีอื่นที่ดีกว่า… อย่างจับเจ้าห้อยหัวมัดติดไว้กับประตูโรงนา แล้วถลกหนังออกเหมือนถลกหนังปลาไหล”
“เอาล่ะ พูดกันมามากพอแล้ว” วรานร่างสูงผู้สวมหมวกติดตราดวงอาทิตย์กล่าวพลางโยนคบเพลิงผ่านประตูโรงตีเหล็กที่เปิดทิ้งไว้ “อีกเดี๋ยวก็แห่กันมาทั้งหมู่บ้าน รีบ ๆ จัดการให้เสร็จ เอาม้าออกมาจากคอกแล้วเผ่นกันดีกว่า ทำไมพวกมนุษย์ถึงมีความสุขเวลาทรมานคนอื่นกันนัก? จำเป็นต้องทำด้วยรึ? เร็วเข้า จัดการเขาซะ”
ชายผู้มีดวงตาสีฟ้าซีดไม่หันไปมองวรานตนนั้น เขาโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วบังคับม้าให้เดินเข้าหาช่างตีเหล็ก “เข้าไป” เขากล่าว ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหฤหรรษ์ของผู้ล่า “เข้าไปข้างใน ข้าไม่มีเวลาจะจัดการเจ้าอย่างสาสม แต่อย่างน้อยข้าก็ยังพอมีเวลาย่างเจ้าให้สุกได้”
มิคูลาก้าวเท้าถอยหลัง แผ่นหลังของเขารู้สึกถึงความร้อนที่กำลังแผดเผาโรงตีเหล็ก ไม้คานถล่มลงมากระแทกพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เขาถอยหลังไปอีกก้าว สะดุดเข้ากับร่างของช็อพและแท่งเหล็กที่เด็กหนุ่มถลาล้มใส่จนกระเด็นออกจากผนัง
แท่งเหล็ก
ช่างตีเหล็กก้มลงด้วยความเร็วปานสายฟ้า หยิบแท่งเหล็กหนักอึ้งยกขึ้นเสียบเข้ากลางอกของชายผู้มีดวงตาสีฟ้าซีดทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ทันลุกขึ้น เขาแทงด้วยพละกำลังทั้งหมดเท่าที่โทสะจะบันดาลให้ ปลายเหล็กเรียวแหลมทะลุเสื้อเกราะโซ่ถัก มิคูลาไม่เสียเวลารีรอให้ชายผู้นั้นตกจากหลังม้า เขาวิ่งตัดลานกว้างออกไปทันที เสียงฝีเท้าม้าและเสียงตะโกนโหวกเหวกไล่หลังมาติด ๆ เขาวิ่งไปจนถึงโรงเก็บฟืน คว้าท่อนเสาปลายแหลมที่วางพิงผนังอยู่ หมุนตัวครึ่งรอบแล้วหวดโดยไม่ได้หันไปมอง มันปะทะเข้ากับจมูกเจ้าม้าสีเทาที่ห่มผ้าคลุมเขียว มันดีดขาหน้าขึ้นกลางอากาศจนวรานที่สวมหมวกติดตราดวงอาทิตย์กระเด็นตกลงไปคลุกฝุ่นเบื้องล่าง มิคูลาก้มหลบ หอกสั้นเล่มหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามายังโรงเก็บฟืน มันปักแน่นติดผนังและสั่นสะเทือนจากแรงปะทะ วรานตนที่สองชักดาบและกระตุ้นม้าให้หลบหลีกท่อนไม้ที่หวดวืดไปมา วรานอีกสามตนควบม้าประชิดเข้ามาพร้อมกับโห่ร้องและกวัดแกว่งอาวุธ มิคูลาส่งเสียงคำรามขณะป้องกันตัวด้วยเสาหนัก ๆ ท่อนนั้น เขาหวดโดนอะไรบางอย่าง ม้าอีกตัวร้องลั่นและดีดขาหลังอย่างแรง แต่วรานยังทรงตัวอยู่บนอานของมันได้
ข้างนอกแนวรั้วมีม้าตัวหนึ่งเร่งฝีเท้ามาจากชายป่า พุ่งตรงเข้าปะทะเจ้าม้าสีเทาห่มผ้าคลุมเขียวอย่างเต็มแรง มันชะงักก่อนจะสะบัดหัวและเซถลาล้มทับวรานร่างสูงที่กำลังพยายามขึ้นขี่บนหลังมัน มิคูลาแทบไม่เชื่อสายตัวเอง เขาเห็นร่างของผู้มาใหม่สองร่างอยู่บนหลังม้าตัวเดียว ร่างหนึ่งคือคนตัวเล็กสวมฮู้ดโน้มตัวแนบไปกับแผงคอม้า อีกร่างเป็นชายผมบลอนด์ถือดาบนั่งอยู่ข้างหลัง
ใบดาบยาวเรียวตวัดวาดเป็นรูปครึ่งวงกลมสองรอบ สะท้อนแสงเป็นประกายดุจสายฟ้าฟาด วรานสองตนกระเด็นตกจากหลังม้า ร่วงลงกระแทกพื้นและจมอยู่ใต้ฝุ่นที่ลอยตลบ วรานตนที่สามซึ่งแตกกลุ่มไปอยู่ตรงหน้าโรงเก็บฟืนหันมาเผชิญหน้ากับร่างประหลาดทั้งสองบนหลังม้า มันถูกแทงเข้าที่ใต้คางตรงขอบบนของแผ่นเกราะโลหะส่วนหน้าอก ใบดาบสะท้อนแสงชั่วขณะที่มันปักคาลำคอ ชายผมบลอนด์ไถลลงจากหลังม้าและวิ่งตัดลานกว้างเข้าปะทะกับวรานร่างสูงจนตกม้า วรานตนนั้นชักดาบออกมา
ตรงกลางลานนั้น วรานตนที่ห้าพยายามควบคุมม้าของมันที่ตื่นตระหนกเพราะเปลวไฟจากโรงตีเหล็ก มันเงื้อขวานศึกพลางสอดส่ายสายตาด้วยความลังเล ในที่สุดก็กู่ร้องและควบม้าเข้าหาคนตัวเล็กที่นั่งเกาะแผงคอม้าอยู่ มิคูลาเห็นเจ้าหนูนั่นถอดหมวกฮู้ดแล้วดึงแถบคาดศีรษะออก จึงได้รู้ว่าเขามองผิดไปขนาดไหน หญิงสาวผู้นั้นสะบัดผมสีแดงอิฐและตะโกนถ้อยคำที่เขาฟังไม่รู้เรื่องออกมาพร้อมกับยื่นมือไปทางวรานตนนั้น ลำแสงสีเงินเส้นบาง ๆ แวววาวเหมือนปรอทแผ่ออกมาจากปลายนิ้วของนาง วรานกระเด็นลอยโค้งขึ้นไปในอากาศแล้วตกลงมากระแทกกองทราย เสื้อผ้าคุกรุ่นจนมีควันลอยขึ้นมา เจ้ามาล้มลงนอนพังพาบ สะบัดหัวไปมาและส่งเสียงร้องลั่น
วรานร่างสูงที่สวมหมวกตราดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ถอยหนีจากชายผมบลอนด์ไปทางโรงตีเหล็ก มันย่อตัวลงแล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อม มือขวากระชับดาบ ชายผมบลอนด์กระโจนไปข้างหน้าและประดาบกับวรานเพียงไม่กี่ครั้ง ดาบของมันก็กระเด็นหลุดมือไป ร่างของวรานติดอยู่กับดาบที่แทงทะลุลำตัว ชายผมบลอนด์ถอยเท้าแล้วกระชากดาบออกอย่างรวดเร็ว วรานทรุดลงนั่งโงนเงนก่อนจะล้มคะมำคว่ำหน้าลงกับพื้น
วรานที่ถูกหญิงสาวผมสีแดงอิฐใช้สายฟ้าโจมตีใส่จนตกม้าพยายามยันตัวขึ้นในท่าคลานพร้อมกับควานหาอาวุธ มิคูลาหายตื่นตระหนกแล้ว เขาเงื้อท่อนเสาพร้อมกับก้าวกระโดดแล้วฟาดเข้าที่ต้นคอของวรานตนนั้น เสียงกระดูกหักดังลั่น
“ไม่จำเป็นเลย” เขาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาข้าง ๆ
หญิงสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของบุรุษมีดวงตาสีเขียวและรอยกระบนใบหน้า อัญมณีแปลกประหลาดบนหน้าผากของนางส่องประกายสว่าง
“ไม่จำเป็นเลย” นางย้ำ
“ท่านหญิงที่เคารพ” ช่างตีเหล็กละล่ำละลักขณะถือเสาไม้ราวกับทหารยามถือง้าว “โรงตีเหล็ก… ถูกพวกมันเผาทิ้ง มันฆ่าเด็กคนนั้น ฆ่าราดิมด้วย พวกมันเป็นฆาตรกรนะ ท่านหญิง…”
ชายผมบลอนด์ใช้เท้าพลิกศพของวรานร่างสูง จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกมาพร้อมกับเก็บดาบเข้าฝัก
“นี่… วิเซนนา” เขากล่าว “ตอนนี้ข้าก็เข้ามาพัวพันเรื่องนี้อีกหน่อยแล้วนะ แต่เรื่องที่กวนใจข้าก็คือ ข้าไม่ได้ฆ่าผิดคนใช่ไหม?”
“เจ้าคือช่างตีเหล็กที่ชื่อมิคูลา?” วิเซนนากลอกตาขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว และพวกท่านคือยอดฝีมือจากอาศรมดรูอิดใช่ไหม? จากมาเยนา?
วิเซนนาไม่ตอบ นางเหลียวมองไปยังชายป่าที่พวกชาวบ้านกำลังแห่มาสมทบ
“นั่นคือคนฝ่ายเรา” ช่างตีเหล็กอธิบาย “ชาวบ้านจากหมู่บ้านคลูช”
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
📜 อ่าน Part 4 (บทที่ 5) ที่นี่
หมายเหตุ
[5] เบิร์ช (Birch) เป็นไม้เนื้อแข็งผลัดใบในวงศ์กำลังเสือโคร่ง ทรงพุ่มสูงชะลูดและไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน เนื้อไม้และเปลือกไม้มีสีขาวสะอาด หากนำมาทำเป็นไม้ฟืนจะให้ความร้อนสูงมากและเกิดเปลวไฟสีฟ้าแทรกขึ้นมาในบางครั้ง (ที่มา Premier Firewood Company)
[6] ครอสการ์ด (crossguard) หรือ ควิลลอน (quillon) เป็นส่วนประกอบของดาบที่ช่วยป้องกันมือ ในอาวุธประเภทดาบยาวและดาบสองคมครอสการ์ดจะมีลักษณะเป็นแท่งเหล็กตรง ๆ หรือแผ่นโลหะกลมรีสวมเข้าไประหว่างใบดาบกับด้ามจับในแนวขวางคล้ายกับไม้กางเขน ดาบบางชนิดจะมีโกร่งดาบ (knuckle bow) เป็นส่วนโค้งต่อออกมาจากครอสการ์ดเพื่อป้องกันนิ้วด้วย (ที่มา Wikipedia)
ไม่มีความคิดเห็น