เรื่องสั้น "เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน" Part 2 (บทที่ 2-3)

เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน

แปลจากเรื่องสั้น Droga, z której się nie wraca

โดย อันด์เชย์ ซัพคอฟสกี

📜 อ่าน Part 1 (บทที่ 1)

 

 

- II -

 

ทั้งคู่ขี่ม้าของวิเซนนาผ่านป่ารกชัฏและเส้นทางขรุขระ นางนั่งข้างหน้าบนอาน ส่วนโครินคร่อมสะโพกม้าอยู่ข้างหลัง แขนของเขาโอบรอบเอวนาง วิเซนนาเริ่มคุ้นเคยและเพลิดเพลินกับความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โชคชะตามอบให้โดยไม่รู้สึกเคอะเขิน ดังนั้นนางจึงเอนกายแอบอิงอ้อมอกชายผู้นี้อย่างพึงใจ ทั้งคู่ยังคงนิ่งเงียบ

“วิเซนนา” โครินเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาหลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง

“มีอะไร?”

“ท่านไม่ได้เป็นแค่หมอพื้นบ้านทั่วไป ท่านมาจากอาศรมใช่ไหม?”

“ใช่”

“ดูจาก… ฝีมือเมื่อครู่ ท่านคงเป็นเจ้าอาศรมล่ะสิ?

“ใช่”

โครินละแขนจากเอวนางแล้วเลื่อนมือไปจับปุ่มบนอานม้าแทน วิเซนนาหรี่ตาลงอย่างขุ่นเคือง แน่นอนว่าเขามองไม่เห็น

“วิเซนนา”

“มีอะไร?”

“ท่านเข้าใจสิ่งที่ศพนั่น… มัน… พูดบ้างหรือเปล่า?”

“นิดหน่อย”

แล้วทั้งสองคนก็เงียบไปอีก นกน้อยหลากสีตัวหนึ่งโผทะยานจากพุ่มไม้เหนือศีรษะพวกเขาแล้วแผดเสียงดังก้อง

“วิเซนนา?”

“ขอทีเถอะ โคริน”

“หืม?”

“หยุดพูดได้แล้ว ข้าจะใช้ความคิด”

เส้นทางในป่าพาพวกเขาลงไปสู่ร่องผา สู่ลำธารตื้น ๆ ที่ไหลเลื้อยลัดเลาะแนวก้อนหินและขอนไม้สีดำอย่างเกียจคร้าน กลิ่นสะระแหน่และตำแยลอยฉุนขึ้นมาในอากาศ บางครั้งเจ้าม้าก็ลื่น เพราะก้อนหินเหล่านั้นเต็มไปด้วยเมือกโคลนและตะกอน โครินโอบเอววิเซนนาอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้นางพลัดตกลงไป เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองเดินทางรอนแรมผ่านป่าเขาและเส้นทางกันดารอย่างไร้จุดหมายมานานเกินไปแล้ว

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

โครินและวิเซนนาเดินทางถึงหมู่บ้านคลูช ภาพจากคอมิกส์  Droga bez powrotu

 

- III -

 

ชุมชนแห่งนี้ก็เหมือนกับหมู่บ้านริมทางทั่ว ๆ ไป ตั้งอยู่ตรงเชิงเขา กระท่อมไม้มุงแฝกซอมซ่อแทรกตัวอยู่ระหว่างแนวรั้วคดโค้ง สุนัขเริ่มเห่าเมื่อพวกเขาขี่ม้าเข้าไปใกล้ ม้าของวิเซนนายังคงมุ่งหน้าไปตามแนวกึ่งกลางถนนอย่างเงียบ ๆ โดยไม่สนใจปากสุนัขที่มีน้ำลายฟองฟอดซึ่งยื่นออกมานอกรั้ว หมายจะฝังคมเขี้ยวลงบนบั้นท้ายของมัน

ตอนแรกพวกเขาไม่เห็นใครเลยสักคน แต่แล้วเมื่อมองไปข้างหลังรั้วตรงถนนที่มุ่งหน้าไปยังไร่นา พวกชาวบ้านก็ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมา พวกเขาย่องเข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยเท้าเปล่าเปลือยและใบหน้าที่มุ่งร้าย ในมือมีทั้งส้อมตักฟาง ท่อนไม้ และกระบอง ชาวบ้านคนหนึ่งก้มลงเก็บก้อนหินบนพื้น

วิเซนนารั้งสายบังเหียนแล้วยกมือขึ้นข้างหนึ่ง โครินเห็นนางกำมีดสั้นเล่มเล็กรูปจันทร์เสี้ยวสีทองไว้ในมือด้วย

“ข้าเป็นหมอ” นางเอ่ยอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงก้องกังวานแต่ไม่ดังจนเกินไป

พวกชาวบ้านลดอาวุธลง ส่งเสียงซุบซิบและมองหน้ากันไปมา ผู้คนเริ่มออกมาสมทบเรื่อย ๆ บางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ถอดหมวกออก

“หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าอะไร?”

“คลูช” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากฝูงชนหลังจากพวกเขาเงียบปากกันอยู่นาน

“ใครเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน?”

“โทปินน่ะท่านหญิง กระท่อมของเขาอยู่ทางโน้น”

ก่อนที่พวกเขาจะออกเดิน หญิงคนหนึ่งแทรกตัวฝ่าฝูงชนออกมา นางอุ้มทารกไว้ในอ้อมอก

“ท่านหญิง…” นางคร่ำครวญและสัมผัสเข่าของวิเซนนาอย่างระวังมือ “ลูกสาวข้า… ตัวร้อนเป็นไฟเลยเจ้าค่ะ”

วิเซนนากระโดดลงจาหลังม้า วางมือลงบนหน้าผากน้อย ๆ แล้วหลับตา

“นางจะหายเป็นปกติในวันพรุ่งนี้ อย่าห่อตัวนางแน่นนักล่ะ”

“ขอบคุณ...ท่านหญิง ขอบคุณเหลือเกิน…”

หัวหน้าหมู่บ้านที่ชื่อโทปินนั้นยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมานานแล้ว เขาได้ข้อสรุปแล้วว่าควรทำอย่างไรกับส้อมตักฟางที่ถือมา สุดท้ายเขาก็ใช้มันขูดขี้ไก่ออกจากขั้นบันได

“ต้องขออภัยด้วย” เขากล่าวขณะพิงส้อมตักฟางกับฝาบ้าน “ท่านหญิงและนายท่าน ช่วงนี้มันไม่ปลอดภัยเลย… เชิญเข้ามาเถิด ให้พวกเราได้ต้อนรับท่าน”

พวกเขาจึงเข้าไปในบ้าน

ภรรยาของโทปินนำไข่กวน ขนมปังและนมเปรี้ยวมาเสิร์ฟ เด็กหญิงผมสีฟางข้าวสองคนเดินตามติดชายผ้ากันเปื้อนผู้เป็นแม่ไม่ยอมห่าง หลังจากนั้นนางก็หายเข้าไปในห้อง วิเซนนารับประทานเพียงเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบด้วยสีหน้าหม่นหมอง ตรงกันข้ามกับโคริน โทปินกลอกตาแล้วเล่าเรื่องหมู่บ้านพร้อมกับเกาโน่นเกานี่ไปทั่ว

“ช่วงนี้มันไม่ปลอดภัยเลย ไม่ปลอดภัยจริง ๆ พวกเราลำบากมากเลยล่ะท่านหญิง เราเลี้ยงแกะไว้ตัดขนไปขาย แต่พอไม่มีพ่อค้ามารับซื้อ พวกเราก็ต้องเชือดมันมากินเนื้อแทน เราเชือดแกะเพื่อให้มีอะไรตกถึงท้องบ้าง ก่อนหน้านี้พวกพ่อค้าจะมารับซื้อหินเขียวกับหินเลือด [3] จากเทือกเขาอาเมลล์ ผ่านช่องเขาไปจะมีเหมืองอยู่ตรงนั้น เวลากองคาราวานของพวกพ่อค้าผ่านมา พวกเขาก็จะซื้อขนแกะติดมือไปด้วย จ่ายเป็นเงินหรือไม่ก็แลกกับสินค้าอย่างอื่น ตอนนี้ไม่มีพ่อค้าผ่านมาอีกแล้ว พวกเราไม่มีแม้กระทั่งเกลือที่จะใช้ถนอมอาหาร… หากเชือดแกะสักตัวก็ต้องรีบกินให้หมดภายในสามวัน”

“กองคาราวานไม่แวะมาทางนี้หรือ? ทำไมกัน?” วิเซนนาถามอย่างครุ่นคิดพลางใช้มือแตะรัดเกล้าเช่นเคย

“พวกเขาอ้อมไปทางอื่น” โทปินทำเสียงฮึดฮัด “เส้นทางผ่านภูเขาอาเมลล์ถูกปิดไปแล้ว ไอ้ตัวโคชชีย์ห่าเหวนั่นดันมาออกอาละวาดบนถนน ใครผ่านไปก็ถูกฆ่าเรียบ แล้วพวกพ่อค้าจะผ่านไปทำไมล่ะ? ไปหาที่ตายอย่างนั้นรึ?”

โครินนิ่งอึ้ง ถือช้อนค้างอยู่กลางอากาศ

“โคชชีย์? โคชชีย์นี่มันตัวอะไร?”

“ก็… ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะท่าน? ว่ากันว่าตัวโคชชีย์มันกินคน มันออกล่าอยู่ตรงทางผ่านช่องเขา”

“มันไม่เคยปล่อยกองคาราวานให้ผ่านไปบ้างเลยหรือ?”

โทปินมองไปรอบ ๆ กระท่อม “ว่ากันว่าบางทีมันก็ปล่อยให้บางคนผ่านไปได้ เฉพาะคนของมันเอง”

วิเซนนาขมวดคิ้ว “‘คนของมัน’ นี่หมายถึงใคร?”

“ก็คนของมันนั่นแหละ” โทปินบ่นพึมพำและเริ่มหน้าซีด “ชาวบ้านบนภูเขาอาเมลล์น่ะลำบากยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก อย่างน้อยเรายังมีป่าให้หากินได้ แต่พวกเขาน่ะมีแต่ก้อนหิน ต้องขายหินเขียวกับหินเลือดให้กองกำลังโคชชีย์อย่างเดียว ซึ่งมันไม่เข้าท่าเลย เพราะพวกเขาควรได้ราคาที่ดีกว่านี้ แต่ชาวบ้านบนภูเขาอาเมลล์จะทำอย่างไรได้ล่ะ? พวกเขากินก้อนหินเป็นอาหารไม่ได้นี่นา”

“กองกำลังโคชชีย์นี่เป็นใครกัน? เป็นมนุษย์?”

“ก็มีทั้งมนุษย์ ทั้งพวกวราน แล้วก็เผ่าพันธุ์อื่นด้วย พวกมันก็คือโจรห้าร้อยนั่นแหละท่านหญิง เอาของที่ได้จากเราไปแลกกับหินเลือดและหินเขียวบนภูเขาอาเมลล์ ใช้กำลังขู่เข็ญเอาข้าวของไปจากพวกเรา มาปล้นหมู่บ้าน ข่มขืนผู้หญิง ฆ่าชาวบ้านแล้วยังจุดไฟเผาพวกเขาด้วย ไอ้พวกโจร ไอ้พวกโคชชีย์”

“พวกมันมีกันกี่คน?” โครินถาม

“ใครจะไปนั่งนับอยู่ล่ะนายท่าน พวกชาวบ้านก็ได้แต่จับกลุ่มป้องกันตัวเอง แต่จะไปทำอะไรได้ ถ้าพวกมันบุกมาตอนกลางคืนแล้วจุดไฟเผาหมู่บ้านล่ะ? ยอมให้พวกมันเอาข้าวของที่ต้องการไปเสียดีกว่า แล้วมันยังขู่ว่า....” โทปินหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

“พวกมันขู่ว่าอะไร? โทปิน”

“พวกมันขู่ว่า... ถ้าโคชชีย์โมโหขึ้นมา มันจะลงมาทางช่องเขา มาที่หมู่บ้านของเรา”

วิเซนนาลุกขึ้นทันที สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โครินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

“โทปิน” ผู้วิเศษเอ่ยถาม “ช่างตีเหล็กที่ใกล้ที่สุดอยู่แถวไหน? เกือกม้าข้าหายไประหว่างทางข้างหนึ่ง”

“ตรงถนนเส้นเล็ก ๆ หลังหมู่บ้านติดชายป่าน่ะท่าน มีช่างตีเหล็กแล้วก็มีโรงนาด้วย”

“ดีเลย บอกชาวบ้านที่เจ็บป่วยให้ตามไปที่นั่นด้วย”

“ขอบคุณท่านหญิงผู้เปี่ยมเมตตา”

 

“วิเซนนา” โครินเอ่ยขึ้นทันทีที่ประตูปิดลงหลังจากโทปินก้าวเท้าออกไป ดรูอิดหญิงหันไปสบตาเขา

“เกือกม้าของท่านยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ทุกชิ้น”

วิเซนนาไม่ตอบ

“หินเลือดคือหินแจสเปอร์ [4] อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนหินเขียวก็คือหยก ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อจากเหมืองบนภูเขาอาเมลล์” โครินอธิบายต่อ “และการจะไปยังภูเขาอาเมลล์ก็ต้องใช้เส้นทางผ่านช่องเขาคลามัท... เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน ศพผู้หญิงที่ตายตรงทางแยกพูดว่าอะไร? ทำไมนางถึงอยากจะฆ่าข้า?”

วิเซนนายังคงเงียบ

“ท่านไม่อยากพูด? ไม่เป็นไร… ทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้ว ยายแก่นั่นมาดักรออยู่ตรงทางแยก รอให้ใครบางคนเดินมาอ่านป้ายที่เขียนไว้ว่าห้ามไปทางตะวันออก นี่คือบททดสอบแรก และถ้าเกิดว่าเขาอ่านออก นางก็จะพิสูจน์ต่อไปว่าคนคนนั้นคือผู้เปี่ยมเมตตาจากอาศรมดรูอิดหรือเปล่า ใครกันล่ะที่จะมีน้ำใจช่วยเหลือหญิงชราผู้น่าสงสารให้พ้นจากความหิวโหย? ข้ากล้าพนันเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงจะแย่งไม้เท้าของนางไปด้วยซ้ำ นางเฒ่าสารเลวนั่นยังเล่นละครตบตาต่อไปอีก พูดพร่ำถึงเหล่าผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ต้องการความช่วยเหลือ หากนักเดินทางผู้นั้นไม่ทำร้ายหรือด่าทอนางด้วยวิสัยของคนในละแวกนี้ล่ะก็... หากเขาเขยิบเข้ามาฟังใกล้ ๆ ใช่… นางมั่นใจแล้วว่าคนผู้นั้นต้องเป็นดรูอิดที่ถูกส่งมาปราบพวกโจรที่กำลังออกอาละวาดแถวนี้อย่างแน่นอน และเมื่อนางมั่นใจแล้วว่าเป็นดรูอิดที่ถูกส่งมาปราบโจร นางก็ชักมีดออกมา ฮ่า! วิเซนนา! ข้าน่ะฉลาดล้ำไปเลยใช่ไหมล่ะ?”

วิเซนนาไม่ตอบ นางยืนหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง ข้างนอกนั่น นางเห็นถุงลมเป็นเงากึ่งโปร่งแสง ซึ่งก็คือร่างของเจ้านกน้อยหลากสีที่เกาะอยู่บนพุ่มต้นเชอร์รี มันไม่อาจบดบังทัศนวิสัยของนางได้

“วิเซนนา?”

“ว่ามา”

“โคชชีย์มันคือตัวอะไรกันแน่?

“โคริน” วิเซนนาพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดพร้อมกับหันมาเผชิญหน้าเขา “ทำไมเจ้าต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องของคนอื่นด้วย?”

“ฟังนะ” โครินไม่สนใจน้ำเสียงของนาง “อย่างไรเสียข้าก็เข้ามาพัวพันกับเรื่องของท่านแล้วนี่ เหมือนที่ท่านพูดนั่นแหละ ก็อย่างที่เห็น… ข้าต้องถูกสังหารแทนท่าน”

“มันเป็นเรื่องบังเอิญ”

“ข้าไม่คิดว่าพวกผู้วิเศษจะเชื่อเรื่องความบังเอิญหรอกนะ เว้นแต่ว่าความบังเอิญนั้นเกิดจากการใช้เวทมนตร์ชักนำ บิดเบือน และเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่าง ๆ เห็นไหม… พวกเราน่ะขี่ม้าตัวเดียวกันแล้ว ขี่จริง ๆ แล้วก็ขี่ในเชิงอุปมาด้วย เข้าเรื่องเลยนะ... ข้าเสนอตัวช่วยเหลือท่านทำภารกิจนี้ ภารกิจที่ข้าเข้าใจจุดประสงค์เป็นอย่างดี หากท่านปฏิเสธ ข้าจะถือว่าเป็นกระทำที่เย่อหยิ่ง ข้ารู้มาว่าคนของอาศรมน่ะไม่เห็นพวกมนุษย์ปุถุชนอยู่ในสายตาหรอก”

“ไม่จริงสักหน่อย”

“เยี่ยมไปเลย” โครินยิ้มจนเห็นฟันเป็นประกาย “แล้วจะมัวเสียเวลาอยู่ใย รีบขี่ม้าไปหาช่างตีเหล็กกันเถอะ”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

📜 อ่าน Part 3 (บทที่ 4) ที่นี่

 

หมายเหตุ

[3] หินเลือด (Bloodstone) หรือหินเฮลิโอโทรป (Heliotrope) เป็นหินที่มีส่วนประกอบของผลึกแร่ควอตซ์ ลักษณะที่พบเจอได้บ่อยคือก้อนหินสีเขียวเข้มแบบหินแจสเปอร์ที่มีจุดสีแดงเล็ก ๆ ของแร่ฮีมาไทต์กระจายอยู่ในเนื้อหินเหมือนรอยเลือดกระเซ็น นิยมนำมาทำเป็นเครื่องรางนำโชค (ที่มา Wikipedia)

[4] แจสเปอร์ (Jasper) เป็นหินที่มีส่วนประกอบของผลึกแร่ควอตซ์ มีทั้งสีแดง สีเหลือง สีน้ำตาล และสีเขียว ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของผลึกแร่ มีลักษณะทึบแสงและมีความแข็งพอที่จะตัดเป็นรูปทรงต่าง ๆ และขัดผิวให้มันวาวได้ จัดเป็นหินมีค่าที่ถูกนำมาทำเป็นเครื่องประดับตั้งแต่ยุคโบราณ (ที่มา Wikipedia)

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.