เรื่องสั้น "เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน" Part 4 (บทที่ 5)

เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน

แปลจากเรื่องสั้น Droga, z której się nie wraca

โดย อันด์เชย์ ซัพคอฟสกี

📜 อ่าน Part 1 (บทที่ 1) | Part 2 (บทที่ 2-3) | Part 3 (บทที่ 4)

 

 

วิเซนนาเดินมาหาโครินข้าง ๆ กองไฟ ภาพจากคอมิกส์  Droga bez powrotu

 

- V -

 

“เราจัดการไปสาม” ชายเคราดำคุยโม้เสียงดังลั่นพลางเขย่าด้ามเคียวในมือ เขาคือผู้นำจากหมู่บ้านโพร็อก “ตั้งสามคนเลยนะ มิคูลา พวกมันไล่ตามผู้หญิงเข้าไปในทุ่ง แล้วพวกเราก็… ทำหลุดมือไปคนหนึ่ง มันวิ่งหนีไปขึ้นม้าได้ทันเวลาพอดี ไอ้สารเลว!”

ลูกบ้านของเขาพากันมานั่งรอบกองไฟกลางลานโล่ง สะเก็ดไฟลอยขึ้นแต่งแต้มท้องฟ้ามืดมิดในยามราตรี พวกเขาตะโกน โห่ร้อง และเขย่าอาวุธของตัวเอง มิคูลาชูมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นสัญญาณให้เงียบเสียงลงเพื่อฟังเรื่องราวอื่น ๆ ต่อไป

“เมื่อคืนนี้พวกมันสี่คนขี่ม้ามาที่หมู่บ้านของพวกเรา” ชายชราผอมแห้งซึ่งเป็นผู้นำของหมู่บ้านคะชานกล่าวขึ้น “จะด้วยอะไรก็ตามแต่ มีคนปากโป้งเรื่องที่ข้าร่วมมือกับเจ้าน่ะสิ ช่างตีเหล็ก ข้าหนีขึ้นไปบนชั้นลอยของโรงนาได้อย่างฉิวเฉียด ดึงบันไดขึ้นมา คว้าส้อมตักฟางแล้วตะโกนว่า ‘มาเลย!... ไอ้ชั่วตัวไหนอยากลองดีก็เข้ามา!’ พวกมันเลยทำท่าจะจุดไฟเผาโรงนา นั่นเกือบจะเป็นวาระสุดท้ายของข้าแล้ว แต่พวกชาวบ้านน่ะทนยืนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ พวกเขากรูกันเข้าไปจับตัวพวกโจร แต่พวกมันก็ขี่ม้าฝ่าไปจนได้ เราเสียคนไปบางส่วน แต่ก็ลากตัวพวกโจรลงจากหลังม้าได้คนหนึ่ง”

“มันยังมีชีวิตอยู่ไหม?” มิคูลาถาม “ข้าบอกให้จับเป็น”

“ก็…” ชายชราผอมบางโบกมือทำนองปฏิเสธ “เราทำไม่ได้ นางหนูพวกนั้นมีน้ำเดือดปุด ๆ พอดี ก็เลยจัดการมันได้ก่อน...”

“นี่แหละ ข้าถึงพูดเสมอว่าสาว ๆ หมู่บ้านคะชานน่ะร้อนแรงชะมัด” ช่างตีเหล็กพึมพำพลางเกาท้ายทอยแกรก ๆ “แล้วไอ้คนที่ปากโป้งล่ะ?”

“เจอตัวแล้ว” ชายชราผอมแห้งตอบโดยไม่ลงรายละเอียด

“ดีแล้ว เอาล่ะ… พี่น้องทั้งหลายจงฟัง ตอนนี้เรารู้ที่กบดานของพวกมันแล้ว ตรงเชิงเขาไม่ไกลจากกระท่อมคนเลี้ยงแกะมีถ้ำอยู่ในผาหิน ถ้ำที่พวกโจรมันมุดหัวอยู่ และพวกเราจะตามไปจับมันถึงที่ เราจะขนกองฟางกับกิ่งไม้ใบหญ้าใส่เกวียนแล้วสุมไฟเหมือนรมควันไล่ตัวแบดเจอร์ [7] ออกจากรู เราจะปิดทางเข้าออกไว้ไม่ให้พวกมันหนีออกมาได้ นี่เป็นแผนที่ข้าปรึกษาหารือกับท่านอัศวินผู้นี้ซึ่งมีนามว่าโคริน และอย่างที่พวกท่านรู้กันดี นี่ไม่ใช่การสู้รบครั้งแรกของข้า ตอนเกิดสงครามข้าเคยติดตามท่านแม่ทัพโกรซิมออกไปต่อสู้กับพวกวรานมาแล้ว ก่อนที่ข้าจะมาลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านคลูช”

เสียงโห่ร้องดังขึ้นมาจากฝูงชนอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อใครคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและไม่มั่นใจในตอนแรก แต่ต่อมาเสียงนั้นก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดทุกคนก็เงียบสนิท

วิเซนนาก้าวออกมาจากทางด้านหลังของมิคูลา แล้วหยุดยืนข้าง ๆ เขา นางสูงไม่พ้นไหล่ช่างตีเหล็ก พวกชาวบ้านเริ่มส่งเสียงซุบซิบ มิคูลาชูมือทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง

“ถึงเวลาแล้ว...” เขาตะโกน “ที่จะไม่ต้องปิดปังอีกต่อไปว่าข้าได้ร้องขอความช่วยเหลือจากอาศรมดรูอิด เพราะผู้ว่าการเมืองมาเยนาไม่ยอมช่วยเหลือเรา ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าบางคนต้องไม่พอใจเรื่องนี้”

ฝูงชนค่อย ๆ ลดระดับเสียงลง แต่ยังคงขยับตัวและกระซิบกระซาบ

“นี่คือท่านหญิงวิเซนนา” มิคูลาพูดอย่างช้า ๆ “จากอาศรมแห่งมาเยนา นางตอบรับเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเรา ใครที่มาจากหมู่บ้านคลูชคงคุ้นเคยกับนางแล้ว นางช่วยเยียวยารักษาผู้คน ฟื้นฟูสภาพร่างกายพวกเขาด้วยพลังของนาง ใช่แล้วล่ะ พี่น้องเอ๋ย นางอาจดูเป็นสตรีผู้บอบบาง แต่พลังของนางนั้นแก่กล้ามาก พวกเราไม่อาจเข้าใจพลังพวกนี้ได้และมันก็ทำให้เราหวาดกลัว แต่มันจะช่วยเราในการต่อสู้ครั้งนี้!”

วิเซนนาไม่ได้แสดงความคิดเห็น นางไม่ได้กล่าวถ้อยคำหรือแสดงท่าทางใด ๆ ต่อฝูงชนที่มารวมตัวกัน แต่มีพลังมากมายมหาศาลที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างเล็ก ๆ ของผู้วิเศษหญิงแก้มตกกระผู้นี้ โครินรู้สึกถึงความตื่นเต้นแปลกประหลาดที่ไหลท่วมท้น ความกลัวในสิ่งที่รอเขาอยู่ตรงทางผ่านช่องเขาและความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ได้หดหายกลายเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ ตราบใดที่อัญมณีบนหน้าผากของวิเซนนายังคงเปล่งประกายสุกสว่าง

“ทีนี้พวกเจ้าคงเข้าใจกันแล้ว” มิคูลากล่าวต่อไป “ว่ายังคงมีสิ่งที่พวกเราสามารถใช้ต่อกรกับโคชชีย์ได้ พวกเราจะไม่โดดเดี่ยวหรือป้องกันตัวเองไม่ได้อีกต่อไป แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น พวกเราต้องกำจัดไอ้พวกโจรห้าร้อยนั่นให้ได้เสียก่อน!”

“มิคูลาพูดถูกแล้ว!” ชายเคราดำจากหมู่บ้านโพร็อกตะโกนขึ้น “จะเวทมนตร์หรืออะไรก็ตามแต่ ใครจะไปสน! พี่น้องข้า เราจะบุกขึ้นไปบนช่องเขากัน! ไปถล่มไอ้พวกโจรโคชชีย์!”

ฝูงชนโห่ร้องรับข้อตกลงนี้อย่างพร้อมเพรียง เคียว หลาว ขวาน และส้อมตักฟางถูกชูขึ้นไปในอากาศ สะท้อนแสงแปลบปลาบกับเปลวไฟตรงกลางลานชุมนุม

โครินเบียดเสียดแถวที่นั่งของผู้คนรอบ ๆ ตัวเขาเพื่อหาทางออกไปยังชายป่า เขาเจอหม้อใบหนึ่งแขวนอยู่เหนือกองไฟ มีถ้วยและช้อนวางไว้อย่างละชิ้น เขาขูดเอาเบคอนและซุปข้น ๆ ที่ไหม้ติดก้นหม้อขึ้นมา นั่งลงและวางถ้วยอาหารไว้บนตัก เขากินอย่างไม่รีบร้อน ถ่มเปลือกข้าวบาร์เลย์ที่ปะปนมา สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่ามีใครบางคนปรากฏตัวขึ้น

“นั่งก่อนสิ วิเซนนา” เขาพูดทั้งที่อาหารยังเต็มปาก

เขายังกินไปเรื่อย ๆ ขณะแอบชำเลืองมองรูปโฉมของนาง เรือนผมที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมาครึ่งหนึ่งสะท้องแสงจากกองไฟเป็นประกายสีเลือด วิเซนนายังคงนิ่งเงียบ ดวงตาของนางจดจ้องไปยังกองไฟ

“นี่… วิเซนนา เราจะนั่งเงียบเป็นนกฮูกกันไปทำไม?” โครินวางถ้วยลง “ข้าทนไม่ได้หรอกนะ มันทำให้ข้าทั้งเหงาและเศร้าเลยล่ะ พวกเขาซ่อนเหล้ามูนไชน์ไว้ที่ไหนกันนะ? นาทีก่อนมันยังมีถังเล็ก ๆ ถังหนึ่งวางอยู่ตรงนี้แท้ ๆ แต่ช่างหัวมันเถอะ มันมืดอย่างกับ…”

ดรูอิดหญิงหันมามองเขา ดวงตาของนางเปล่งประกายสีเขียวแปลกตา โครินตกอยู่ในความเงียบ

“ใช่แล้ว ความจริงคือ…” เขากระแอมและพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “ข้าเป็นโจร เป็นทหารรับจ้าง เป็นหัวขโมย ข้าอยากมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้เพราะว่าข้าชอบต่อสู้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใครก็ตาม ข้ารู้เรื่องราคาของหยก หินแจสเปอร์ และหินมีค่าอื่น ๆ จากเหมืองบนภูเขาอาเมลล์ ข้าต้องการของมีค่า ต้องการผลประโยชน์ ข้าไม่สนใจว่าจะมีสักกี่คนที่ต้องตายไปในวันพรุ่งนี้ ท่านอยากรู้เรื่องอะไรอีกล่ะ? ข้าจะสารภาพออกมาเอง ท่านไม่จำเป็นต้องใช้อัญมณีที่ซ่อนไว้ใต้แถบหนังงูนั่นหรอก ข้าไม่ได้อยากจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว ท่านพูดถูก ข้าไม่คู่ควรกับภารกิจอันทรงเกียรตินี้หรอก... จบแล้ว ราตรีสวัสดิ์ ข้าจะไปนอนล่ะ”

แต่เขาก็ไม่ได้ลุกไปนอนอย่างที่พูดเอาไว้ เขาแค่เดินไปหยิบกิ่งไม้มาเขี่ยฟืนที่กำลังลุกไหม้

“โคริน” วิเซนนากล่าวอย่างเงียบเชียบ

“อะไรรึ?”

“อย่าเพิ่งไป”

โครินก้มศีรษะลง เปลวไฟสีน้ำเงินพวยพุ่งขึ้นมาจากท่อนฟืนไม้เบิร์ช เขาจ้องมองนางแต่ไม่อาจทานทนต่อแววตาที่เปล่งประกายแปลกประหลาดนั้นได้ จึงหันไปมองกองไฟแทน

“เจ้าอย่าฝืนตัวเองนักเลย” วิเซนนากล่าวพลางดึงผ้าคลุมของนางมาห่มกาย “เป็นธรรมดาที่สิ่งเหนือธรรมชาติจะทำให้ผู้คนหวาดกลัว... และรังเกียจ”

“วิเซนนา…”

“อย่าเพิ่งขัดคอข้า เจ้าพูดถูก โคริน ผู้คนต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเขาขอบคุณเรา บ่อยครั้งก็พูดออกมาจากใจจริง แต่พวกเขาก็รังเกียจเรา หวาดกลัวเรา ไม่กล้าสบตาเรา พอลับหลังก็ถ่มน้ำลายใส่ คนเราน่ะยิ่งฉลาดเท่าไรก็ยิ่งซื่อสัตย์น้อยลงเท่านั้น เหมือนกับเจ้า... โคริน เจ้าก็ไม่ต่างจากคนพวกนั้น ข้าได้ยินมานักต่อนักว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับการได้นั่งข้าง ๆ กองไฟกับข้า แต่กลายเป็นว่าพวกเราต่างหากที่ต้องการความช่วยเหลือจาก… คนธรรมดา ๆ หรือจากพรรคพวกของเขา”

โครินนิ่งเงียบ

“ข้ารู้” วิเซนนากล่าวต่อ “มันคงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้า หากข้ามีเคราหงอก ๆ ยาวจนถึงเอวและจมูกงองุ้ม ความรังเกียจต่อรูปลักษณ์นั้นคงไม่ทำให้จิตใจของเจ้าว้าวุ่น ใช่แล้วล่ะ โคริน... ความรังเกียจ... สิ่งที่เปล่งแสงอยู่บนหน้าผากข้าคือหินแคลเซโดนี [8] … พลังเวทย์ส่วนใหญ่ของข้ามาจากหินก้อนนี้ เจ้าพูดถูก ข้าสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้อย่างชัดเจนด้วยความช่วยเหลือจากหินแคลเซโดนี ความคิดของเจ้าน่ะชัดเจนมาก ไม่ต้องขอให้ข้าอภิรมย์กับมันหรอก ข้าเป็นผู้วิเศษ เป็นแม่มด แต่ข้าก็เป็ผู้หญิงด้วย ข้ามาที่นี่ก็เพราะว่าอยากนอนกับเจ้า”

“วิเซนนา…”

“แต่ตอนนี้ไม่ล่ะ ข้ายังไม่อยากนอนกับเจ้าคืนนี้หรอกนะ”

ทั้งคู่นั่งกันอย่างเงียบ ๆ นกน้อยหลากสีเกาะพักบนกิ่งไม้ในป่าลึกอันมืดมิด มันหวาดกลัว ในป่านั้นมีนกฮูกอยู่ด้วย

“ท่านก็พูดเกินไป” โครินเอ่ยปากในที่สุด “เรื่องความรังเกียจน่ะ แต่ขอยอมรับว่าท่านทำให้ข้ารู้สึก… ปั่นป่วน ที่ทางแยกนั่นท่านไม่น่าปล่อยให้ข้ามองดูพิธีกรรมเลย ศพนั่นน่ะ ท่านก็รู้ใช่ไหม?”

“โคริน” ผู้วิเศษกล่าวอย่างสุขุม “ตอนเจ้าใช้ดาบแทงเข้าไปที่คอของวรานหน้าโรงตีเหล็ก ข้าก็เกือบอาเจียนใส่แผงคอม้าเหมือนกัน แต่ช่างเรื่องความสามารถพิเศษของเราเถิด คุยไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”

“เราคุยกันพอแล้วล่ะ วิเซนนา”

ผู้วิเศษกระชับผ้าคลุมให้แน่นยิ่งขึ้น โครินหยิบลูกสนขึ้นมาสองสามลูกแล้วโยนเข้าไปในกองไฟ

“โคริน”

“ว่าไง?”

“ข้าไม่อยากให้เจ้านิ่งดูดายเรื่องที่หลายชีวิตจะต้องล้มตายลงในวันพรุ่งนี้ ทั้งมนุษย์และ… และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ด้วย ข้าหวังพึ่งเจ้านะ”

“ข้าจะช่วยท่าน”

“ยังมีเรื่องอื่นอีก ช่องเขานั่นยังมีปัญหาอยู่อีกอย่าง ข้าต้องเปิดเส้นทางไปยังช่องเขาคลามัท”

โครินชี้กิ่งไม้ที่ปลายข้างหนึ่งกำลังเรืองแสงไปทางกองไฟอีกกองหนึ่งที่มีชาวบ้านสองคนกำลังนอนหลับหรือไม่ก็นอนคุยกันอย่างเงียบ ๆ

“ไม่มีปัญหาหรอก ด้วยกองกำลังอันยิ่งใหญ่ของเรา”

“กองกำลังของเราจะวิ่งหนีกลับบ้านทันทีที่ข้าหยุดใช้เวทมนตร์ควบคุมพวกเขา” วิเซนนายิ้มอย่างเศร้าสร้อย “แต่ข้าจะไม่สะดจิตพวกเขาหรอก ข้าไม่อยากให้ใครต้องมาตายในศึกที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนเริ่ม และการกำจัดโคชชีย์ก็ไม่ใช่งานของพวกชาวบ้าน แต่เป็นหน้าที่ของอาศรม ข้าจะเดินทางไปที่ช่องเขาคนเดียว”

“ไม่หรอก ท่านจะไม่ไปที่นั่นคนเดียว” โครินกล่าว “ข้าจะไปกับท่าน วิเซนนา ข้าเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่าตอนไหนที่ควรหนีและตอนไหนที่ยังไม่ถึงเวลา ข้าเรียนรู้จากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายปี และมันก็ทำให้ข้าได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้า ข้าไม่ได้อยากจะโต้แย้งความคิดเห็นของท่านหรอกนะ ไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์สะกดจิตข้าด้วย แต่ก่อนอื่นข้าอยากรู้ว่าโคชชีย์มันมีหน้าตาเป็นแบบไหนกันแน่ ว่าแต่...ท่านคิดว่าโคชชีย์มันเป็นตัวอะไร?”

วิเซนนาก้มศีรษะลง “ข้าเกรงว่า...” นางกระซิบ “มันคือความตาย”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

📜 อ่าน Part 5 (บทที่ 6) ที่นี่

 

หมายเหตุ

[7] แบดเจอร์ (Badger) เป็นสัตว์ในวงศ์เพียงพอน ศีรษะเล็กเรียวและมักมีแถบลายสีขาวสลับดำตลอดความยาวของใบหน้า ใบหูเล็ก ฟันแหลมคม ลำตัวค่อนข้างกลม ขาสั้น มีกรงเล็บแหลมสำหรับขุดดิน แบดเจอร์มักขุดดินเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีอุโมงค์เชื่อมต่อกันและมีทางเข้าออกหลายทาง (ที่มา Encyclopedia Britannica)

[8] แคลเซโดนี (Chalcedony) เป็นกลุ่มหินรัตนชาติที่มีส่วนประกอบของผลึกควอตซ์ เนื้อหินมีความขุ่นนวลและเรียบลื่นคล้ายหยก มีสีสันหลากหลายขึ้นอยู่กับแร่ธาตุที่เจือปนอยู่ในผลึก แต่ส่วนใหญ่มีสีขาว เทา และฟ้า นอกจากนี้ยังแบ่งเป็นชนิดย่อยตามลักษณะเนื้อหินและสีสัน เช่น หินอะเกต (โมรา) หินแจสเปอร์ หินคริโซเพรส หินโอนิกซ์ ฯลฯ (ที่มา mindat.org)

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.