เรื่องสั้น "เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน" Part 5 (บทที่ 6)

เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน

แปลจากเรื่องสั้น Droga, z której się nie wraca

โดย อันเชย์ ซัพคอฟสกี

📜 อ่าน Part 1 (บทที่ 1) | Part 2 (บทที่ 2-3) | Part 3 (บทที่ 4) | Part 4 (บทที่ 5)

 

 

แวร์บับบ์ผู้มีนามว่า "เคห์ล" ภาพจากคอมิกส์  Droga bez powrotu

 

- VI -

 

ฝ่ายตรงข้ามไม่รีรออยู่ในถ้ำให้พวกชาวบ้านมาดักซุ่มโจมตี พวกเขารออยู่บนหลังม้า นั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน สายตาจดจ้องไปยังพวกชาวบ้านที่ตั้งแถวออกมาจากป่า สายลมพัดให้ผ้าคลุมแผ่สยายจนทำให้พวกเขาดูคล้ายกับนกนักล่าที่กำลังพองขน ดูอันตราย น่าเกรงขาม และน่าหวาดกลัว

“มีสิบแปด” โครินยืนนับอยู่บนโกลนม้า “ขี่ม้ากันหมดทุกคน ม้าสำรองอีกหก เกวียนอีกเล่ม มิคูลา!”

ช่างตีเหล็กเปลี่ยนกระบวนแถวพรรคพวกของเขา คนที่ถือหอกและหลาวคุกเข่าลงตรงแนวพุ่มไม้ กระทุ้งปลายอาวุธลงกับพื้นดิน มือธนูเข้าประจำตำแหน่งหลังต้นไม้ ส่วนคนที่เหลือถอยกลับเข้าไปในป่า

ฝ่ายตรงข้ามขี่ม้าเข้ามาหาพวกเขาเพียงลำพัง เขาหยุดม้าแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะพร้อมตะโกนอะไรบางอย่าง

“แผนลวง” มิคูลาบ่นพึมพำ “ข้ารู้นะ ไอ้พวกสารเลว”

“ดูให้แน่ใจก่อนดีกว่า” โครินออกความเห็นขณะโดดลงจากหลังมา “มาเถอะ”

ทั้งสองคนค่อย ๆ เดินเข้าหาฝ่ายตรงข้ามที่ขี่ม้าเข้ามา ผ่านไปครู่หนึ่งโครินจึงสังเกตว่าเห็นวิเซนนาเดินตามมาด้วย

ฝ่ายตรงข้ามที่นั่งอยู่บนหลังม้าเป็นแวร์บับบ์

“จะพูดสั้น ๆ ก็แล้วกัน” เขาตะเบ็งเสียงโดยไม่ลงจากหลังม้า ครึ่งหนึ่งของดวงตาเล็ก ๆ อันเป็นประกายซุกซ่อนอยู่ใต้ขนที่ปกคลุมทั่วทั้งใบหน้า “ข้าคือหัวหน้าคนปัจจุบันของกลุ่มที่พวกเจ้าเห็นอยู่ตรงโน้น แวร์บับเก้าตน มนุษย์ห้า วรานสาม และเอลฟ์อีกตน ที่เหลือตายหมดแล้ว ความเห็นไม่ตรงกันกันน่ะ หัวหน้ากลุ่มคนก่อนที่พาพวกเรามาที่นี่โดนจับมัดทิ้งไว้ในถ้ำ อยากทำอะไรกับเขาก็เชิญ พวกเราจะไปกันแล้ว”

“สรุปได้สั้นดีนี่” มิคูลาทำเสียงครืดขึ้นจมูก “พวกเจ้าอยากจะไป แต่ถ้าเราอยากกระซวกไส้พวกเจ้าล่ะ จะว่ายังไง?”

แวร์บับบ์แยกเขี้ยวแหลม ๆ ออกมา ยืดร่างกายเล็ก ๆ ขึ้นมาจากอานม้า

“เจ้าคิดว่าพวกเราจะกลัวจนยอมอ่อนข้อให้อย่างนั้นรึ? พวกเจ้ามีแต่คนขี้ขลาดใส่รองเท้าเชือกฟาง นี่…ถ้าพวกเจ้ายังดื้อดึง เราจะควบม้าแล้วทะลวงพุงพลุ้ย ๆ ของพวกเจ้าไปก็ได้ นี่คือข้อแลกเปลี่ยนของเรา เจ้าพวกชาวบ้านเอ๋ย ข้ารู้ว่าพวกเราต้องเสี่ยงดู ถึงแม้จะมีใครต้องตายไปบ้าง แต่พวกเราที่เหลือก็จะฝ่าออกไปจนได้ ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ”

“เกวียนน่ะผ่านไปไม่ได้หรอก” โครินเสียงแข็ง “ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ”

“เราหาทางเอาไว้แล้ว”

“อะไรอยู่ในเกวียนนั่น?”

แวร์บับบ์ถ่มน้ำลายข้ามไหล่ขวาตัวเอง

“ยี่สิบส่วนของอะไรก็ตามที่อยู่ในถ้ำ ขอพูดชัด ๆ นะ หากพวกเจ้าจะให้เราทิ้งเกวียนเอาไว้ล่ะก็ เราจะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด ถ้าพวกเราต้องกลับบ้านมือเปล่าจริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องขอลองสู้กันสักตั้ง แล้วจะว่ายังไง? ถ้าอยากสู้กันนักก็รีบ ๆ ลงมือเดี๋ยวนี้เลย ตอนเช้า ๆ แบบนี้แหละ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็โดนแดดเผากันพอดี”

“เจ้านี่ช่างกล้าหาญเสียจริง” มิคูลากล่าว

“ครอบครัวข้าก็เป็นแบบนี้กันหมดนั่นแหละ”

“หากพวกเจ้ายอมทิ้งอาวุธ เราจะปล่อยพวกเจ้าไป”

แวร์บับบ์ถ่มน้ำลายข้ามหัวไหล่อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นข้างซ้ายเพื่อแก้เคล็ด

“ไม่มีทาง” เขาส่งเสียงคำรามห้วน ๆ

“แทงใจดำเข้าล่ะสิ” โครินหัวเราะ “ถ้าไม่มีอาวุธ พวกเจ้าก็เป็นแค่ขยะดี ๆ นี่เอง”

“แล้วถ้าเจ้าไม่มีอาวุธบ้างล่ะ เจ้าจะเป็นอะไรได้?” เจ้าตัวเล็กถามอย่างไร้อารมณ์ “เป็นเจ้าชายรึ? ข้ารู้จักคนแบบเจ้าดีเลยแหละ คิดว่าข้าตาบอดรึไง?”

“ถ้าเอาอาวุธไปด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเจ้าก็จะย้อนกลับมาอีก” มิคูลาพูดดักทางไว้ก่อน “มากอบโกยสมบัติที่เหลือในถ้ำ อย่างที่เจ้าพูดไง”

แวร์บับบ์แยกเขี้ยว “นั่นก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่หลังจากคุยกัน พวกเราก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปแล้ว”

“เจ้าคิดถูกแล้ว” จู่ ๆ วิเซนนาก็เอ่ยขึ้น นางเดินออกมาจากทางด้านหลังของโครินและก้าวเท้าไปยืนประจันหน้าใกล้ ๆ กับแวร์บับบ์ “เจ้าคิดถูกแล้วที่ล้มเลิกมันไป เคห์ล”

โครินรู้สึกถึงสายลมที่พัดแรงขึ้นมาอย่างฉับพลัน ส่งเสียงหวีดหวิวเมื่อมันพัดผ่านซอกหินและทิวทุ่งหญ้า ถาโถมใส่ด้วยความเย็นยะเยือก วิเซนนากล่าวต่อด้วยเสียงก้องกังวานอย่างประหลาด

“พวกเจ้าคนใดก็ตามที่หวนกลับมาที่นี่จะต้องตาย ข้ามองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าและจะขอเตือนไว้ รีบไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้เลย ใครที่หวนกลับมาจะต้องตาย”

แวร์บับบ์โน้มตัวไปข้าหน้าและจ้องมองวิเซนนาผ่านต้นคอม้าที่เขาขี่ เขาอายุมากแล้ว เส้นขนของเขาเป็นสีเทาเกือบทั้งหมด มีสีขาวแทรกอยู่ประปราย

“เป็นเจ้าเองหรอกหรือ? ข้าคิดว่าใช่ ดีแล้วแหละที่… แต่เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ข้าบอกแล้วว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีก เราร่วมมือกับเฟรเกนอลเพราะหวังผลกำไร แต่มันจบแล้ว ตอนนี้คนของอาศรมกำลังไล่ล่าพวกเรา ไหนจะพวกชาวบ้านแถบนี้อีก แต่เฟรเกนอลยังไม่หยุดพล่ามเรื่องการครองโลก เราหมดความอดทนกับเขาแล้ว ไอ้สัตว์ประหลาดบนช่องเขานั่นด้วย”

เขากระตุกสายบังเหียนให้ม้าหันหน้าไปอีกทาง

“ทำไมข้าต้องพูดถึงเรื่องนี้ด้วยนะ? เราจะไปกันแล้ว ลาก่อน ขอให้โชคดี”

ไม่มีใครขานรับเลยสักคน แวร์บับบ์มองไปที่ชายป่าอย่างลังเล จากนั้นจึงกวาดสายตาไปยังพรรคพวกของเขาที่นั่งนิ่งอยู่บนหลังม้า เขาโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาของวิเซนนาอีกครั้ง

“ข้าคัดค้านไม่ให้เขาทำร้ายเจ้า” เขาเอ่ย “เห็นได้ชัดเลยว่าข้าคิดถูก ต่อให้ข้าบอกว่าโคชชีย์มันหมายถึงความตาย เจ้าก็ยังจะขึ้นไปที่ช่องเขาอยู่ดี ใช่ไหมล่ะ?”

“ใช่”

เคห์ลยืดตัวตรง ตะโกนออกคำสั่งม้าแล้วควบไปสมทบกับพรรคพวกของเขา ครู่หนึ่งก็เกิดเป็นแถวขบวนล้อมรอบเกวียนและมุ่งหน้าไปยังถนน มิคูลากลับไปหาพวกชาวบ้าน อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นและบอกทุกคนให้ใจเย็นลง โดยเฉพาะชายเคราดำจากหมู่บ้านโพร็อกและคนอื่น ๆ ที่ต้องการต่อสู้เพื่อล้างแค้น โครินกับวิเซนนายืนดูอย่างเงียบ ๆ ขณะที่กองคาราวานเคลื่อนผ่านไป พวกเขาขี่ม้าไปอย่างช้า ๆ สายตามองตรงไปข้างหน้า แสดงออกถึงความเย็นชาและดูหมิ่นเหยียดหยาม มีแต่เคห์ลเท่านั้นที่ยกมือขึ้นมาเป็นการบอกลาเมื่อเขาขี่ม้าผ่านสองคนนั้นไป เขาแสดงสีหน้าแปลก ๆ ขณะจ้องมองไปยังวิเซนนา จากนั้นก็กระทุ้งส้นให้ม้าพุ่งทะยานไปยังหัวขบวนที่ค่อย ๆ ลับตาไปในทิวแมกไม้

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

📜 อ่าน Part 6 (บทที่ 7) ที่นี่

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.