The Dead Don't Bite (Part 2: Chapter 4-6)

📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3

 

บทที่ 4

สายลมหอบเอากลิ่นเครื่องเทศและกลิ่นเนื้อตากแห้งมาด้วย เรจิสหยุดเดิน ‘แถวนี้มีคนอื่นอยู่ด้วย’

เด็ตลาฟยืนยันอย่างเงียบ ๆ

พวกเขาเดินเท้าเลียบแม่น้ำยารูก้ามาได้สามวันแล้ว เหล่าเพื่อนร่วมทางที่เป็นมนุษย์ยังคงไม่ไว้วางใจสองสหาย พวกเขาพยายามหลบหน้าและสนทนาด้วยเพียงเล็กน้อย แวมไพร์ทั้งสองเป็นฝ่ายเดินตามหลังและรักษาระยะห่างประมาณสองสามก้าว

‘เจ้าเจอเพื่อนร่วมทางที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว’ เด็ตลาฟเอ่ยขึ้น ‘แม่ชีน้อยบอกว่าพวกเขาเป็นทหาร พวกเขายังมีกลิ่นอายของความกลัวและความฉ้อฉลอีกด้วย’

‘พวกเขาเป็นทหารหนีทัพ’

‘เจ้ารู้ได้ยังไง?’

‘ข้าอนุมานเอา ชายคนที่นอนเจ็บอยู่… ตราประจำหน่วยถูกดึงออกไปจากเสื้อนอกของเขา’

‘เราก็เลยต้องพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับมนุษย์โดยร่วมทางไปกับพวกหนีทัพที่สภาพรุ่งริ่งสินะ เยี่ยมไปเลย’

‘มันง่ายหากเจ้าจะตัดสินแบบนั้น ขอโทษทีที่ข้าต้องพูดซ้ำซาก แต่การอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์จะช่วยสอนให้รู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่ง่ายดายเลย เราไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร หรือมีสาเหตุอะไรที่ทำให้ต้องหลบหนี หรือกำลังหนีใครอยู่ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย’

พวกเขาหยุดเดินเมื่อโอเซียนส่งสัญญาณ เขาโบกมือและชี้ไปยังฟาร์มใกล้ ๆ ตรงชายป่ามีกระท่อมหลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่ เกวียนผุ ๆ เล่มหนึ่งจอดอยู่ริมรั้ว และม้าหลายตัวส่งเสียงร้องออกมาจากคอก เตาไฟส่งควันโขมงและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมานั้นเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไปใกล้ ๆ แวมไพร์ทั้งสองยืนมองระหว่างที่เพื่อนร่วมทางปรึกษาหารือกัน จากนั้นทุกคนก็ผละจากถนนและตรงเข้าไปที่บ้านหลังนั้น

‘ใช่แล้วล่ะ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย’ เด็ตลาฟกล่าว ‘แต่อีกเดี๋ยวก็คงได้รู้’


*

ชายชาวไร่กลับเข้ามาพร้อมถังไม้ เขาวางมันลงบนโต๊ะและเริ่มรินเบียร์ใส่ถ้วยดินเผา กลิ่นเครื่องดื่มลอยตลบไปทั่วทั้งห้อง ‘ขออภัยด้วย แต่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ’ เขากล่าว

เออร์สกินซดเบียร์แล้วเช็ดฟองที่ติดหนวดออกไป เขาหยิบป้ายผ้าแผ่นเล็กปักตราลิลลี่วางลงบนโต๊ะ ‘ก็… อย่างที่พวกเราอธิบายไปนั่นแหละ เราเป็นทหารเทเมเรียและกำลังทำภารกิจลับอยู่ ต้องพา… ตัวประกัน… เอาไปเรียกค่าไถ่จากพวกนิลฟ์การ์ด เราต้องรีบพาเขาข้ามแม่น้ำอินาไปให้เร็วที่สุด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องการเกวียนของเจ้า’

‘และม้าทั้งสองตัวด้วย’ โอเซียนเสริม

เนริสยืนข้างประตู พิงหลังของนางเข้ากับผนังห้อง ในมือถือดาบที่ดึงออกมาจากฝักพลางจิ้มปลายแหลม ๆ ลงบนพื้นกระดาน ‘และเสบียงในตู้เก็บอาหารด้วย’ นางกล่าวปิดท้าย

‘นี่มันไม่ชอบมาพากลแล้ว แล้วพวกเราจะเอาตัวรอดผ่านฤดูหนาวในที่ที่ห่างไกลแบบนี้ไปได้ยังไงถ้าไม่มีเกวียน?’

‘พวกเรา?’ โอเซียนสงสัย ‘ยังมีใครอยู่ที่นี่อีก?’

ชายชาวไร่เหลือบมองไปที่ประตู โอเซียนถ่มน้ำลายแล้วชักมีดสั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะ แสงไฟจากเตาในห้องสะท้อนวูบวาบกับใบมีด

‘ท่านผู้เจริญทั้งหลาย โปรดเมตตาด้วย…’

‘พวกเราไม่ใช่ผู้เจริญหรอก น่าเสียดายที่เจ้าต้องรู้ว่าเราเป็นคนยังไง’

‘โอเซียน…’ เนริสปราม

‘หุบปากน่า ให้เขาเลือกเอง’

เด็ตลาฟซึ่งยืนดูจากมุมมืดมานานได้ก้าวเท้าออกมาหาพวกเขาและโยนถุงใบหนึ่งลงบนโต๊ะ เหรียญจำนวนมากส่งเสียงกราวอยู่ในนั้น ‘อยากจะทำอะไรก็เชิญ’ เขาเอ่ยขึ้น ‘ข้าจะออกไปรอข้างนอก’

สิ้นเสียงกระแทกประตู เรจิสกวาดถุงเงินพร้อมขยับเข้าไปใกล้ ๆ ชายชาวไร่ ‘สหายข้าเป็นทหาร ไม่ใช่หัวขโมย’ เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องตาโอเซียน ‘พวกเขาต้องการม้าแค่เพียงตัวเดียวเพื่อเอาไปลากเลื่อน และเจ้าจะได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อแลกกับม้าตัวนี้’

เออร์สกินอ้าปากค้าง พยายามนึกหาถ้อยคำตอบโต้

แวมไพร์ยิ้มด้วยริมฝีปากปิดสนิท ‘ทหารเทเมเรียรู้ดีว่าพวกเขาจะไม่ยึดข้าวของไปจากเจ้า’ เขากล่าว ‘เพราะถ้าหากพวกเขาทำ ข่าวเรื่องภารกิจลับอาจแพร่งพรายไปถึงหูศัตรูได้ และนั่น… ก็… จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงเลยทีเดียว’


*

อาเนียรู้สึกถึงกิ่งไม้เล็ก ๆ ใต้รองเท้าบูท

เด็กหญิงใช้เท้าเขี่ยหิมะออก หยิบเศษกิ่งไม้ขึ้นมาแล้วโยนลงตะกร้าเก็บฟืน อาเนียคิดว่าเก็บมามากพอแล้วจึงตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าบ้าน

หนูน้อยเดินอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับฮัมเพลงโปรดไปตลอดทาง แต่แล้วก็ต้องหยุดลงตรงชายป่า อาเนียทิ้งตะกร้าลงกับพื้นและถอยหลังกลับทันที เด็กหญิงหลบหลังต้นไม้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ โผล่หน้าออกมา

มีพวกคนแปลกหน้าอยู่ที่กระท่อม ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยื้อสายบังเหียนดึงลุดก้าออกมาจากคอก เจ้าม้าสาวฉุนเฉียวและเตะขาอย่างกระสับกระส่าย ชายสองคนโผล่ออกมาจากตู้เก็บอาหาร ลากถุงกับถังไม้ติดมือไปด้วย ส่วนคนที่สี่ที่ดูแก่ที่สุดกำลังคุยอยู่กับพ่อข้างในกระท่อม

แล้วอาเนียก็รู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่ใกล้ ๆ ต้นไม้ด้วย

‘เจ้าควรจะรออยู่ที่นี่’ เสียงทุ้มต่ำราวกับมีมนต์สะกดเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง

‘แต่พ่อของข้า…’

ชายแปลกหน้าวางมือลงบนไหล่เด็กหญิง มือของเขาทั้งซีดและเย็นเฉียบ มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่บนฝ่ามือ ‘พ่อของเจ้าจะไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวพวกเขาก็ไปกันแล้ว ดูสิ ลองดูให้ดี โลกของเจ้าน่ะไม่มีอะไรที่ง่ายดายเลย’

‘ข้าไม่เข้าใจ’

‘ช่างมันเถอะ’

เด็กหญิงไม่พูดอะไรอีก ได้แต่จ้องมองชายผมเทาหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากถุงและวางมันลงบนมือของบิดา มีประกายสีทองสะท้อนออกมา

‘พวกเขาจะเอาลุดก้าไปแค่ตัวเดียวใช่ไหม?’ หนูน้อยเอ่ยถามหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง

‘ใช่แล้ว สหายข้ามีพรสวรรค์เรื่องพูดจาหว่านล้อมคนน่ะ’

‘ดีจัง’

‘ดีอะไร? เจ้าน่ะโชคดีขนาดไหนแล้ว พวกเขาจะมาปล้นเจ้านะ’

อาเนียหันกลับไปหาชายแปลกหน้าแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา ‘แต่เรามีคนช่วยปกป้องคุ้มครองอยู่แล้ว’

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 5

ลำน้ำอินาสะท้อนประกายแสงสุดท้ายของดวงตะวันที่กำลังลาลับ ป้อมปราการวิดอร์และคาร์คาโนตั้งตระหง่านเหนือลำน้ำ ก่อนหน้านี้มันเคยถูกเผาจนวอดไปในระหว่างสงคราม แต่ตอนนี้กองทัพเทเมเรียกำลังบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่อย่างช้า ๆ

โอเซียนทำให้ทุกคนมุ่งความสนใจไปทางทิศเหนือ

‘โน่น’ เขาเอ่ยขึ้น ‘แผ่นน้ำแข็งเป็นสะพานเชื่อมฝั่งแม่น้ำ เราจะไปทางนั้น’

เออร์สกินพ่นเสียงฮึดฮัดผ่านร่องนิ้วมือ ‘ข้าว่ามันไม่เข้าท่าเลย’ เขาแย้ง ‘แผ่นน้ำแข็งมันบาง แถมมีรูซ่อนอยู่เต็มไปหมด แล้วยังอยู่ใกล้ป้อมปราการเกินไปอีกด้วย เราจะเดินเลียบแม่น้ำอินาไปจนถึงตรงที่มันแตกสาขาเป็นแม่น้ำทราวา แล้วหามุมเงียบ ๆ เดินข้ามสันดอนไปดีกว่า น่าจะปลอดภัยกับนายจ่ามากกว่าด้วย’

‘ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทาง…’ เรจิสกล่าว ‘หากพวกเจ้าให้ความสำคัญกับนายจ่าเป็นอันดับแรก ข้าขอแนะนำว่าควรจะรีบไปให้เร็วที่สุด สิ่งที่ควรทำก็คือการไปขอความช่วยเหลือจากป้อมคาร์คาโน พวกเขาอาจมียาสำรองเหลืออยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าคงไม่ชอบวิธีนี้’

‘แน่ล่ะ เราไม่ชอบ’ เออร์สกินตอบ ‘ยืนยันด้วยคำพูดจากปากข้าเลย’

เด็ตลาฟยิ้ม ‘พลทหารเทเมเรีย พวกเจ้านี่ยังไงกันแน่?’ เขาถามด้วยความสงสัย ‘เป็นพวกเดียวกันแท้ ๆ แต่ทำไมไม่ยอมเข้าไปขอความช่วยเหลือล่ะ?’

‘ฟังนะ เจ้าคนอวดฉลาด’ โอเซียนตัดบท ‘เราเคยถามไปแล้วหรือยังว่าพวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน? หรือไปทำอะไรมาจนมีสภาพร่อแร่เหมือนคนตายแบบนี้?

เด็ตลาฟไม่ตอบ

‘ถ้าอย่างนั้นเราไปที่เฟนคาร์น [1] กันดีกว่า’ เรจิสเสนอ ‘ข้ามีกระท่อมเป็นที่พักช่วงหน้าร้อนอยู่แถวนั้น บางทีอาจยังพอมียาเหลืออยู่บ้าง’

‘บ้าไปแล้วหรือไงหมอ?’ เออร์สกินค้าน ‘เราจะไม่ถ่อไปที่แผ่นดินต้องคำสาปของพวกเอลฟ์เด็ดขาด เจ้าพูดเองไม่ใช่รึ? ว่ามันจะทำให้นายจ่าไม่ปลอดภัย เราจะข้ามแม่น้ำอินาตรงนี้นี่แหละ จะได้รีบไปให้ถึงเมืองดิลลิงเงินกันสักที’


*

พวกเขาเดินข้ามแม่น้ำภายใต้หมู่ก้อนเมฆหนาทึบ มีเพียงเสียงแผ่นน้ำแข็งแตกลั่นที่ดังแทรกขึ้นมาในความเงียบ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะข้ามแม่น้ำไปได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น แต่แล้วก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาจากด้านหลัง

โอเซียนสบถ ‘ทหารม้าสามคน พวกลาดตระเวนติดอาวุธ’

ทหารเทเมเรียเห็นพวกเขาเข้าแล้ว หนึ่งในนั้นเร่งฝีเท้าม้าและควบไปยังป้อมปราการ ส่วนที่เหลืออีกสองนายบังคับม้าให้วิ่งเหยาะ ๆ เลียบฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะลงจากหลังม้าแล้วชักดาบวิ่งลงมาบนแผ่นน้ำแข็ง

‘หยุด!’ พวกทหารตะโกน ‘หยุดเดี๋ยวนี้!’

ม้าสาวลากเลื่อนส่งเสียงครืดและเชื่อฟังแต่โดยดี

‘ไปสิ ไอ้ม้าโง่!’ เออร์สกินตะโกนพร้อมกระตุกสายบังเหียน แต่ก็ไร้ผล ครู่เดียวทหารเทเมเรียสองนายก็เข้าใกล้พวกเขาพอที่จะมองเห็นหน้าเห็นตากันได้

เรจิสหันไปมองเด็ตลาฟ ‘ลองเจรจาดูก่อนเถอะ’

โอเซียนถ่มน้ำลายแล้วสะบัดลูกกระสุนออกไปจากเชือกสลิง ลูกกระสุนส่งเสียงหวีดผ่านอากาศและพุ่งกระแทกเข้ากับหมวกเหล็กของทหารนายหนึ่ง เขาร้องครวญครางและล้มลงไปบนแผ่นน้ำแข็ง ทหารอีกนายกระโดดเข้าหาเนริสซึ่งอยู่ใกล้เขามากที่สุด ทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันก่อนที่จะเสียการทรงตัวและหล่นลงไปในหลุมกลางแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ใกล้ ๆ

‘เนริส!’ เออร์สกินคุมม้าไม่อยู่และมันกำลังไถลเข้าหารอยแยกบนแผ่นน้ำแข็ง

โอเซียนเข้ามาดึงแขนเขา ‘ปล่อยมือซะ!’ เขาตะโกน ‘เราต้องรีบหนีแล้ว!’

เรจิสหยุดวิ่งและกระโดดลงไปใต้ผิวน้ำที่ขุ่นมัว เขารับรู้ตำแหน่งของทหารหญิงที่ยื้อยุดกับทหารเทเมเรียและกำลังจมดิ่งลงไปทั้งคู่ ชุดเกราะหนัก ๆ ของทหารลาดตระเวนถ่วงพวกเขาลงไปสู่ก้นแม่น้ำ เนริสตะเกียกตะกายและพ่นลมหายใจออกมาทางปาก เรจิสว่ายลงไปคว้าตัวเธอหวังจะดึงขึ้นมา แต่เขาประมาทสภาพร่างกายตัวเองที่เพิ่งจะหายเจ็บมาหมาด ๆ เมื่อเขาออกแรงดึง กระดูกหัวไหล่ของเรจิสก็หลุดออกจากเบ้าทันที เขากัดฟันกรอดแต่ก็ลองพยายามดูอีกครั้ง กระดูกแขนของเขาหักและตามมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสจนแทบสิ้นสติ

แล้วเด็ตลาฟก็กระโดดตามลงมา

เขาผลักเรจิสออกไปข้าง ๆ แล้วคว้าตัวทหารหญิงไว้ด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็คว้าตัวทหารเทเมเรียเอาไว้ เขาแยกทั้งคู่ออกจากกันและโผขึ้นสู่ผิวน้ำ

เออร์สกินและโอเซียนหายพ้นไปจากสายตาจนกระทั่งพวกเขาคลานขึ้นมาบนหาดกรวดริมแม่น้ำอินา สัญญาณเตือนภัยดังไปทั่วป้อมปราการริมน้ำ เรจิสพยายามช่วยพยุงเนริสให้ยืนขึ้น แต่นางกลับปฏิเสธความช่วยเหลือและกระเสือกกระสนหนีเข้าป่าไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรจิสตามนางไปติด ๆ เขาหลังกลับไปมองอีกครั้งและเห็นเด็ตลาฟกำลังลากทหารเทเมเรียไปอีกทางก่อนที่แนวป่าจะบดบังสายตาเขา


*

พวกเขาวิ่งหนีเข้าไปในป่าอยู่นานจนเหนื่อยหอบ แต่ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงเนินสุสานแห่งเฟนคาร์น เนริสเคยได้ยินเรื่องสยองเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้แต่ก็อ่อนล้าเกินกว่าจะทักท้วง ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาจนถึงกระท่อมที่ภายในไม่ค่อยมีอะไรมากนัก บนโต๊ะมีขวดวางเรียงราย ส่วนบนผนังก็มีช่อสมุนไพรแห้ง ๆ แขวนเอาไว้ กลิ่นของมันฉุนเตะจมูกเนริส

เรจิสรื้อค้นเสื้อผ้าแห้ง ๆ จากบรรดาข้าวของเครื่องใช้เพื่อให้นางสวมแทนชุดที่เปียกโชก เขามองหาอะไรบางอย่างจากขวดที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ

‘กระท่อมของเจ้าหรือ?’ นางเอ่ยถาม

‘ของข้าเอง’ เรจิสตอบพลางนวดหัวไหล่ซึ่งเจ็บแปลบจนทำให้เขาสะดุ้ง ‘ที่นี่แหละ’

ทั้งสองออกไปนั่งผิงไฟข้างนอกกระท่อม เรจิสจัดแจงก่อกองไฟ เขาเช็ดคราบฝุ่นและหยากไย่ออกจากขวดแก้ว เปิดจุกมันออกแล้วส่งให้เนริส นางดื่มเข้าไปอึกใหญ่ แอลกอฮอล์แผลงฤทธิ์ระคายคอและช่วยทำให้นางรู้สึกอุ่นขึ้น

‘โอ้พระเจ้า… เหล้าอะไรกันเนี่ย?’

‘ใส่แมนเดรก [2] ลงไปด้วยน่ะ’

‘จะดื่มไหม?’

‘ขอบคุณ แต่ข้าไม่ดื่ม’

‘ชายผู้ไม่แตะต้องเหล้ามูนไชน์ แถมยังกระโดดลงไปสู่ก้นแม่น้ำเพื่อช่วยเหลือคนแปลกหน้าโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เจ้านี่ช่างลึกลับจริงนะ เรจิส’

‘ก็… ครั้งหนึ่งข้าเคยพบกับคนแคระที่เรียกตัวเองว่าคนเห็นแก่ตัวจนเปลี่ยนสันดานไม่ได้ อันที่จริงแล้วทัศนคติของเขาก็ใกล้เคียงกับข้ามากเลยทีเดียว’

ทั้งคู่นั่งผิงไฟเงียบ ๆ เนริสมองไปยังเงามืดที่กระเพื่อมไหวบนพื้นหิมะข้างหลังเรจิสอยู่นาน มีบางอย่างผิดปกติ จนในที่สุดนางก็รู้ว่ามันขาดอะไรไป ทหารหญิงตัวแข็งทื่อและครางออกมาเบา ๆ ‘เจ้าไม่มีเงา… เจ้าเป็น…’

‘ใช่แล้ว’

นางถอยหนีออกไปทันทีและยกมือขึ้นมาปิดต้นคอตัวเองไว้

เรจิสโยนท่อนฟืนลงไปในกองไฟ ‘ใจเย็นก่อน ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ดื่ม อีกอย่างนะ ถ้าข้าอยากจะทำร้ายเจ้า ข้าคงปล่อยให้เจ้าจมน้ำไปแล้ว’

‘แล้วเด็ตลาฟล่ะ?’

‘เด็ตลาฟก็เหมือนกัน แต่เจ้าควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับดีกว่า’

เสียงสะเก็ดไฟแตกออกมาจากท่อนฟืน เมื่อถูกเอ่ยถึง เด็ตลาฟก็โผล่ออกมาจากเงามืดและนั่งลงคั่นกลางพวกเขา

‘ทหารเทเมเรียคนนั้นจะไม่ตายหรอก’ เขาเอ่ย ‘ข้าลากเขาไปไว้ใกล้ ๆ กับกำแพง ให้แน่ใจว่าคนอื่น ๆ จะเห็นเขา’

เนริสตัวสั่น นางหัวหมุนไปหมด เสื้อผ้าของเรจิสระคายผิวนาง และกางเกงของเขาก็หลวมจนหลุดสะโพก นางดึงขอบกางเกงขึ้นมาและรัดเข็มขัดให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

‘เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?’ เด็ตลาฟถามนาง

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจได้ เนริสกระดกเหล้าแมนเดรกและส่งยิ้ม

‘เปล่า’ นางตอบ ‘ปกติดีทุกอย่าง’

 

หมายเหตุ:

[1] เฟนคาร์น (Fen Carn) เป็นสุสานโบราณอายุประมาณ 500 ปีของพวกเอลฟ์ในซ็อดเดน ช่วงฤดูร้อนของทุกปี เรจิสจะไปเก็บสมุนไพรละแวกนั้น และยังเป็นสถานที่ที่เขาพบกับเกรอลท์เป็นครั้งแรกอีกด้วย

[2] แมนเดรก (Mandrake) สมุนไพรมีพิษที่มีรากเป็นรูปร่างคล้ายคน หากนำมาสกัดอย่างถูกต้องจะมีสรรพคุณชะลอความแก่และช่วยให้มีลูกได้ง่ายขึ้น

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 6

ท่านที่ปรึกษาหอบสังขารขึ้นไปบนหอคอยจนหายใจแทบไม่ทัน คนอื่น ๆ ได้บอกเขาแล้วว่าข้างบนนั้นมีอะไรรออยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงเตรียมผ้าเช็ดหน้าพรมน้ำหอมเอาไว้ปิดจมูก โซเรนเซนตรวจดูสถานที่เรียบร้อยแล้ว รังของแวมไพร์มีศพจำนวนมากเน่าเปื่อยอยู่ในระยะที่แตกต่างกัน แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียนนี้จะไม่เป็นปัญหาต่อวิทเชอร์เลย

‘ท่านวิทเชอร์ เงินค่าจ้างรอท่านอยู่ที่คอกม้าแล้ว ท่านสาธุคุณอยากให้ท่านรีบไปจากเมืองโดยเร็วที่สุด’

วิทเชอร์ยักไหล่ เขาวัดระยะห่างของรอยเขี้ยวเทียบกับมือของตัวเอง ‘น่าแปลก รอยกัดมาจากขากรรไกรสองชุดที่แตกต่างกัน เจ้าแวมไพร์เผ่าการาแชมหิ้วเหยื่อมาที่นี่ แล้วหักกระดูกสันหลังเพื่อให้พวกเขาป้องกันตัวไม่ได้ เหมือนแม่นกที่เคี้ยวหนอนก่อนจะโยนให้ลูก ๆ ของมันกิน’

ท่านที่ปรึกษาขมวดคิ้ว ‘หมายความว่ายังไง?’

‘หมายความว่ามันกำลังเลี้ยงแวมไพร์อีกตน’


*

‘ซาบรินา’

ไม่มีเสียงตอบกลับมาเช่นเคย วิทยุเวทมนตร์ซีโนวอกซ์ติด ๆ ดับ ๆ ท่ามกลางความหนาวเย็น โซเรนเซนอยากโยนมันทิ้งลงแม่น้ำให้รู้แล้วรู้รอด แต่โชคร้ายที่เขายังคงต้องการคำตอบในเรื่องนี้ ความสงสัยของเขาเอาชนะอารมณ์หงุดหงิดรำคาญจนได้ วิทเชอร์จึงลองสื่อสารดูอีกครั้ง

‘ยายแก่หน้าโง่ซาบรินา’

‘โซเรนเซนที่รัก… ช่างสุภาพอะไรเช่นนี้’ อุปกรณ์สื่อสารส่งเสียงก้องกังวานแปลก ๆ เจ้าม้าขี้หงุดหงิดหูตั้งและผ่อนฝีเท้าลงจนวิทเชอร์ต้องกระทุ้งส้นใส่

‘เจ้าโกหกข้า’

‘อะไรล่ะ?’

‘มีแวมไพร์สองตน เจ้าต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มอีกเท่าตัว’

‘นี่คงเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เจ้ามารบเร้าข้าสินะ จะต่อรองค่าจ้างใช่ไหม?’

‘ข้าอยากรู้ตัวตนของเป้าหมายที่หลบหนีเจ้าไป และสถานการณ์ตอนที่มันหนีไปด้วย’

‘ข้อตกลงของเราคือ “ห้ามถาม” ไม่ใช่หรือ?’

‘ตอนนี้มันเสี่ยงมากขึ้น ข้าต้องรู้ว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร ไม่อย่างนั้นข้าจะกลับไปที่อังเกรน’

ความเงียบมีแต่จะเนิ่นนานยิ่งขึ้น จนโซเรนเซนเริ่มสงสัยว่าซีโนวอกซ์จะขัดข้องอีกแล้ว

‘ข้ากับสหายจอมเวทหญิงอีกสองคนได้รับมอบหมายให้มาตรวจสอบซากปราสาทสติกกา ซึ่งเป็นที่กบดานของจอมเวทวิลเกฟอตซ์แห่งร็อกเกวีนผู้ทรยศ เราเจอซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกสังหารด้วยเวทมนตร์ก็เลยลองฟื้นสภาพมันขึ้นมา และเราก็ทำสำเร็จด้วย’

‘เจ้าชุบชีวิตแวมไพร์อย่างนั้นหรือ? เพื่ออะไร?’

‘ก็เพื่อถามเขาน่ะสิ เขาต้องรู้ข้อมูลที่สำคัญแน่ ๆ มีเหตุการณ์บางอย่างที่สำคัญมากเกิดขึ้นในปราสาทสติกกา ซึ่งเราเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด’

‘ข้าคิดว่าเขาคงเป็นคู่สนทนาที่มีเสน่ห์น่าดู’

‘ก็ไม่เชิง ตอนอยู่กับพวกมนุษย์ เขาใช้ชื่อว่าเอมิล เรจิส มีข้อบ่งชี้มากมายที่บอกว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่เก่าแก่ แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมาเขาก็หิวโหยจนหน้ามืดและชิงหนีไปก่อนที่ข้าจะทันได้ถามอะไรมากกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าข้าประมาทเขาไปหน่อย’

‘หรือบางที่อาจมีใครคอยช่วยเหลือเขา อย่างที่ข้าบอกไง... มีแวมไพร์อยู่สองตน พวกเขาเดินทางไปด้วยกัน’

‘แล้วเจ้าจะทิ้งสัญญาว่าจ้างไหมนะ? หรือว่ายังอยากต่อรองราคาอยู่?’

โซเรนเซนไม่แยแสคำพูดของนาง กระท่อมโทรม ๆ หลังเล็กโผล่ออกมาจากโค้งถนน เขารั้งสายบังเหียนให้ม้าเดินเลี้ยวไปยังที่นั่น

‘ข้าต้องไปแล้ว มีงานต้องทำ’

‘เป็นเด็กดีจริง ๆ’


*

‘พวกโจรเทเมเรีย หัวขโมยทั่ว ๆ นั่นแหละ พวกมันจะมาปล้นเรา แต่ชายผมเทาก็ห้ามเอาไว้ เขาทำให้พวกนั้นสงบเสงี่ยมลงโดยไม่ต้องขึ้นเสียงเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ยอมให้คนอื่น ๆ ขนสเบียงไปจนหมด แล้วยังจ่ายค่าม้าให้เราอีกด้วย’

‘ด้วยเหรียญทอง…’ อาเนียรีบก้มหน้า เด็กสาวหลุดปากออกมาโดยไม่ทันได้ยั้งคิด

‘ขอข้าดูหน่อย’ วิทเชอร์กล่าวพลางนวดคลึงรอยแผลเป็นที่ต้นคอของเขา

ชายชาวไร่เหลือบมองลูกสาว ผู้มาเยือนคนนี้ขนอาวุธมาเต็มหลังม้า มากพอที่จะให้ทหารเกินกว่าสิบนายเอาไปใช้ได้ และดวงตาของเขายังดูเหมือนดวงตาของอสรพิษหรือกิ้งก่าอีกต่างหาก ดูไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยเลยสักนิด แต่ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ชายชาวไร่ก็ถอดรองเท้าออกแล้วใช้ปลายมีดงัดพื้นรองเท้าขึ้นและหยิบเหรียญออกมาหนึ่งเหรียญ

ด้านหน้าของเหรียญทองเก่าคร่ำครึประทับตรารูปสิงโตมีปีกที่มีส่วนหัวเป็นคน ส่วนด้านหลังเป็นรูปรถศึกเทียมม้า โซเรนเซนเคยเห็นเหรียญชนิดนี้มาแล้วที่เนินสุสานแห่งดูร์ลูกัลอิดดิน รอยยิ้มของสุนัขป่าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวิทเชอร์ เพราะตอนแรกเขาคิดว่าคงไม่เหลือร่องรอยอะไรให้ติดตามได้อีกแล้ว

‘พวกโจรปล้นสุสานอย่างนั้นหรือ? พวกที่หากินกับคนตายใช่ไหม?’

โซเรนเซนขยับสายรัดอานม้า ก่อนจะสอดเท้าเข้าไปในโกลนแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนอาน ‘เลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีก เป็นบางอย่างที่เคยผ่านยุคสมัยนั้นมาแล้วต่างหาก’

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

 

📜 อ่าน Part 3: บทที่ 7-9

 

ชื่อตัวละครเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ

เรจิส = Regis / เด็ตลาฟ = Dettlaff / เออร์สกิน = Erskine / เนริส = Néris / โอเซียน = Osyan / โซเรนเซน = Sorensen / อาเนีย = Aine / ซาบรินา = Sabrina / วิลเกฟอตซ์แห่งร็อกเกวีน = Vilgefortz of Roggeveen

ชื่อเฉพาะอื่น ๆ

อังเกรน = Angren / แม่น้ำอินา = Ina / แม่น้ำทราวา = Trava / ป้อมปราการวิดอร์ = Vidor / ป้อมปราการคาร์คาโน = Carcano / เฟนคาร์น = Fen Carn / ปราสาทสติกกา = Stygga / ดูร์ลูกัลอิดดิน = Dur Lugal Iddin / เผ่าการาแชม = Garasham

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.