Memoirs of a Mage (Part 3: Chapter 7-9)

📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3 | อ่าน Part 2: บทที่ 4-6

 

บทที่ 7

อาณาจักรทั้งสี่ในแดนเหนือมีโรงเรียนเวทมนตร์อันเป็นที่เชิดหน้าชูตาอยู่สองแห่ง ได้แก่ โรงเรียนบานอาร์ดสำหรับนักเวทชายที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรเคดเวน และโรงเรียนอาเรทูซาสำหรับนักเวทหญิงซึ่งอยู่ในอาณาจักรเทเมเรีย (บางทีสักวันหนึ่งพวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องแยกเพศผู้เรียนอีกต่อไป แต่สำหรับตอนนี้... นี่คือวิถีทางของมัน) แม้แต่ผู้ที่ไม่ประสีประสาเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ก็คงคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นได้ ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นคู่แข่งกันตั้งแต่ตอนที่โรงเรียนถูกก่อตั้งขึ้นมา

คณาจารย์ของทั้งสองโรงเรียนจะประชุมหารือกันอยู่เสมอ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการใช้เวทมนตร์ และเริ่มเน้นหนักไปทางสถานการณ์การเมืองของอาณาจักรต่าง ๆ ในแดนเหนือ แต่ท่านอาจารย์ทั้งหลายจะใช้เวลาส่วนมากไปกับการซุบซิบนินทาและคุยโม้โอ้อวดถึงความสำเร็จของสถาบันที่ตนเองดูแลอยู่ ข้าเคยพบพวกนักเรียนชายจากบานอาร์ดอยู่หลายคน ดังนั้นจึงสามารถกล่าวในเชิงวิชาการโดยไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมได้ว่า เหล่านักเรียนหญิงของอาเรทูซาสามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างขาดลอยแทบทุกปี ทว่าการแข่งขันที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่การสอบหรือการประเมินผลการเรียนใด ๆ … โอ้! ไม่ใช่เลย... บรรดาศิษย์เก่าต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอเพื่อนำมาคุยข่มกันก็คือเรื่องผู้ชนะศึกประลองเวท “แคลช ออฟ เคออส” (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่พวกนักเรียนเรียกกัน) ต่างหาก

ในแต่ละปีทั้งสองโรงเรียนจะจัดกิจกรรมเพื่อสาธิตการใช้เวทมนตร์ (หรือจะเรียกว่าการประชันก็ได้) ทั้งในเชิงวิชาการและทักษะการใช้ ซึ่งโรงเรียนที่ชนะการแข่งขันก็จะได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในปีถัดไป ข้าเลิกนับไปแล้วว่าฝ่ายไหนชนะมากที่สุด แต่สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่ามันสูสีกันมาก ๆ สถิติดังกล่าวนำมาซึ่งความยินดีปรีดาของเหล่านักเรียนหญิงแห่งอาเรทูซา ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่าพวกนักเรียนชายนั้นจริงจังกับเรื่องการแข่งขันมาก ดังนั้นพวกนักเรียนจึงมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งในศึกประลองเวทมากกว่าที่จะสนใจบทเรียนตามหลักสูตร ซึ่งก็พอจะอธิบายได้ว่าเหตุใดโรงเรียนอาเรทูซาจึงมักจะเหนือกว่าในด้านนี้

นอกเหนือไปจากเรื่องของการใช้เวทมนตร์แล้ว งานนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเลย เหมือนกับงานอื่น ๆ ทั่วไปที่จัดขึ้นทั่วโลก ที่ผู้คนส่วนใหญ่จะสนุกสนานไปกับการคับเคี่ยวอย่างดุเดือด แต่ละปีทั้งสองโรงเรียนจะใช้เวลาไปกับกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่าสามวัน ตั้งแต่การปรุงยาวิเศษ การใช้เวทมนตร์แก้โจทย์ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ไปจนถึงการดวลเวทมนตร์ (การแข่งขันอย่างหลังนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดและถูกจัดให้เป็นกิจกรรมปิดท้ายของทุกปี) คะแนนจากทุกกิจกรรมจะถูกนำมารวมกัน และผู้ชนะจะได้รับถ้วยรางวัลผู้มีพรสวรรค์และทักษะแห่งการใช้เวทมนตร์ (หรือ ‘ถ้วยศึกประลองเวท’) หลังจากนั้นทุกคนก็จะมาร่วมสังสรรค์กันตลอดทั้งคืนกับอาหารและเครื่องดื่ม การเต้นรำ การละเล่นแผลง ๆ และการเฉลิมฉลองแด่ผู้ชนะ (หรือไม่ก็ปลอบใจผู้แพ้) ว่ากันตามตรงนี่คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของปี และมักจะมีข่าวลือสนุก ๆ ออกมาตลอดหลายสัปดาห์ก่อนการแข่งขันในสมัยที่ข้ายังเป็นนักเรียนอยู่ และข้าก็มั่นใจว่ามันยังคงเป็นแบบนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

แม้นักเรียนส่วนใหญ่จะได้มีส่วนร่วมกับศึกประลองเวทพอสมควร (การทำงานเป็นทีมคือประสบการณ์ที่สำคัญจากกิจกรรมนี้) แต่การแข่งขันรายการหลักที่ดึงดูดทุกความสนใจกลับเป็นเรื่องของการดวลฝีมือแบบตัวต่อตัวตามประเพณีที่สืบทอดกันมา นักเรียนผู้มีความสามารถโดดเด่นจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนที่เรียกว่า “นารีผู้พิชิตแห่งอาเรทูซา” (หรือ “บุรุษผู้พิชิตแห่งบานอาร์ด”) และตัวแทนของทั้งสองโรงเรียนจะต้องเผชิญหน้ากับการดวลเวทมนตร์ที่ทั้งลุ้นระทึกและค่อนข้างอันตราย ผู้ชนะในรายการสุดท้ายนี้จะได้คะแนนเยอะมาก ดังนั้นผลการประลองจึงเป็นตัวกำหนดผลคะแนนรวมทั้งหมด และโรงเรียนที่ชนะการดวลก็มักจะเป็นผู้ชนะของปีนั้นด้วย (แต่ก็ไม่แน่เสมอไป) ท่านคงพอนึกภาพออกว่านักเรียนที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนจะต้องเผชิญกับความกดดันขนาดไหน

ตอนข้าเรียนชั้นปีที่สาม ท่านอาจารย์เดอวินเทอร์เลือกข้าให้เป็นตัวแทนของโรงเรียน นั่นทำให้ยานนาต้องผิดหวังอย่างมากเพราะนางเคยเป็นตัวแทนเข้าร่วมประลองมาสองปีติดต่อกันแล้ว ข้าเคยเห็นนางแสดงความเกรี้ยวกราดอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเหมือนกับตอนที่ข้าถูกประกาศให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนในการดวลเวทมนตร์ ‘นางจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับอาเรทูซาได้อย่างไรกัน!?’ ยานนาแผดเสียงดังลั่น ‘นางยังไม่ได้ผ่านการแปลงโฉมเลยด้วยซ้ำ!’

นางพูดถูกแล้ว ข้าไม่ได้ผ่านการแปลงโฉม ข้ายังคงมีความไม่สมบูรณ์แบบทุกอย่างที่ทำให้ข้า… ก็นะ ยังคงเป็นตัวข้าเอง ท่ามกลางความสับสนของบรรดาเพื่อน ๆ ข้าไม่เคยคิดที่จะใช้เวทมนตร์เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองเลย ข้าจึงปฏิเสธที่จะเข้ารับการแปลงโฉมมาโดยตลอด

ต่างจากยานนาที่คว้าโอกาสนั้นไว้ทันทีตั้งแต่แรก ข้าไม่เคยเห็นสภาพของนางว่าเป็นเช่นใดมาก่อน แต่มีข่าวลือเรื่องนี้อย่างแน่นอน ว่ากันว่าก่อนแปลงโฉมนั้นยานนามีรอยกระด่างกระดำทั่วตัวและฟันบนของนางก็เหยินยื่นออกมา ต่างจากยานนาในตอนนี้ที่มีผิวขาวเรียบลื่นเหมือนกระเบื้อง รอยยิ้มของนางก็สมบูรณ์แบบราวกับเป็นภาพวาด ผมสีน้ำตาลแดงยาวสลวยปรกลงมาในตำแหน่งที่พอเหมาะพอดีเสมอ เป็นกรอบให้กับใบหน้าที่แสนงดงามและสมมาตรอย่างไร้ที่ติ สรุปอย่างคร่าว ๆ กระบวนการแปลงโฉมนั้นจะกำจัดความไม่สมบูรณ์แบบทุกประการที่มองเห็นได้ (ข้าก็ยังสงสัยว่าหน้าตาของนางจะเป็นอย่างไรหากไม่ได้ผ่าน ‘การประทินโฉม’ เลย… ข้าคิดว่านางก็ยังมีหน้าตาน่ารักอยู่ดี แค่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าตอนนี้)

แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างคาเลนาที่สนับสนุนการตัดสินใจของข้าแทบทุกครั้ง ก็ยังพยายามหว่านล้อมอยู่หลายวันเพื่อให้ข้าเปลี่ยนใจ ‘ลองดูหน่อยเถอะนะ!’... แต่ข้าชอบตัวเองในแบบนี้ ข้าชอบที่จะส่องกระจกแล้วเห็นตัวเองจ้องมองกลับมา… ไม่ใช่สาวสวยคนแปลกหน้าที่เลียนแบบท่าทางข้าจากฝั่งตรงข้าม ดั้งนั้นข้าจึงไม่ได้เข้ารับการแปลงโฉม (ไม่ใช่ว่าข้าจะเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้สักหน่อย ข้าจะแปลงโฉมตอนไหนก็ได้ จึงไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย)

แต่ต่อให้ยานนาจะโวยวายและพร่ำพรรณนาแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายสถานการณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ข้ายังคงถูกเลือกให้เป็นตัวแทนอยู่ดี และท่านอาจารย์คลาราก็ไม่เคยลังเลใด ๆ เมื่อตัดสินใจไปแล้ว และไม่มีทางที่ท่านจะเปลี่ยนใจเพียงเพราะมีลูกศิษย์แค่คนเดียวที่โวยวายอย่างแน่นอน ทุกอย่างจึงเป็นไปตามนั้น ข้าต้องดวลกับนักเรียนชายผู้เก่งกาจที่สุดของบานอาร์ดในศึกประลองเวท

ย้อนไปในตอนนั้น ข้ามั่นใจความสามารถของตัวเองมาก ๆ ยอมรับตามตรงว่าความคิดเรื่องที่ตัวเองอาจจะแพ้นั้นไม่ได้อยู่ในหัวข้าเลยสักนิด ข้าไม่เคยคิดจะหนีเลยด้วยซ้ำ

ใคร ๆ คงบอกว่าข้านั้นช่างทะนงตนเหลือเกิน

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 8

การดวลในศึกประลองเวทครั้งนั้นน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าอับอายที่สุดของข้าตลอดช่วงเวลาในโรงเรียนอาเรทูซา (แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ข้าหัวเสียมากที่สุดอยู่ดี) ข้าได้เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มตัวเตี้ยชื่อ ‘เกเรี่ยน’ ผู้มีบุคลิกที่ดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกิน ข้าจำได้ว่าเขามีรอยยิ้มที่แสดงถึงความมาดมั่นปรากฏอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาเลยทีเดียว

แน่นอนล่ะ หากข้าจะพลาดท่าให้กับใครสักคนในบรรดาเด็กหนุ่มทั้งหลาย ก็คงต้องเป็นเขาเท่านั้น!

ข้าต้องฝึกซ้อมคาถาต่าง ๆ อย่างเข้มข้นกับท่านอาจารย์คลาราอยู่หลายสัปดาห์ก่อนถึงงานประลอง เป็นการฝึกแบบตัวต่อตัวนอกเวลาเรียนตามปกติในทุก ๆ วัน แม้แต่ยานนาก็ยังอาสามาช่วยข้าเตรียมตัวในวันที่ท่านอาจารย์ติดธุระอื่น ‘ข้าไม่อยากให้นารีผู้พิชิตแห่งอาเรทูซาทำให้โรงเรียนของเราดูแย่’ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ฟังดูเกือบ ๆ จะเป็นมิตรและให้กำลังใจข้าเลยล่ะ หลังจากความโกรธของนางมลายหายไป (หรืออย่างน้อยก็ทุเลาลง) ยานนายอมสละเวลาว่างส่วนใหญ่และลงมือช่วยเรื่องการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง แต่คำแนะนำและความช่วยเหลือของนางก็ไม่ได้ช่วยให้ข้าพร้อมสำหรับการดวลเวทมนตร์เท่าใดนัก

แต่ดูเหมือนว่าเกเรี่ยนคือคนที่ทำให้ข้าต้องประหลาดใจมากที่สุด เขาใช้เวทมนตร์แบบที่ไม่มีใครเคยใช้ในการประลองมาก่อน เกเรี่ยนสร้างภาพมายาที่ดูสมจริงและใช้อุบายลวงตานี้เขี่ยข้าออกจากสนาม ทันทีที่การประลองเริ่มต้นขึ้นข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับร่างแยกของเกเรี่ยน (อย่างน้อยก็ราว ๆ โหลหนึ่ง) และจนปัญญาที่จะแยกแยะได้ว่าร่างใดคือร่างจริงของเขา ข้ายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่กลางสนามประลองต่อหน้าผู้ชมที่มาจากทั้งสองโรงเรียน กวาดสายตาสลับไปมาระหว่างเกเรี่ยนแต่ละคนที่กำลังยิ้มเยาะแบบเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันสะท้อนไปทั่วเมื่อข้าพลาดโจมตีใส่ร่างที่เป็นภาพมายาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกเรี่ยนตัวจริงนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่

ไม่นานข้าก็เป็นฝ่ายที่เหนื่อยล้าจากการดึงพลังเวทมนตร์มาใช้อย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นเป้านิ่งให้เด็กหนุ่มโจมตีอย่างง่ายดาย แรงอัดจากคาถาระเบิดของเกเรี่ยนทำให้ข้าลอยไปกระแทกกับเสาหิน รีดอากาศออกจากปอดทั้งสองข้างและทำให้ข้าหมดสภาพทันที ก็นั่นแหละ… มันทำให้การแข่งขันสิ้นสุดลงด้วย เกเรี่ยนกลายเป็นผู้ชนะการดวลและคะแนนจากการแข่งขันทำให้บานอาร์ดชนะศึกประลองเวทครั้งนั้นไปอย่างฉิวเฉียด ส่วนข้าก็ได้แต่จมอยู่กับความสมเพชเวทนาตัวเอง ด้วยความโมโห ผิดหวัง และอับอายที่ต้องพ่ายแพ้

‘จงคาดคิดในสิ่งที่ไม่คาดฝัน’ เป็นคำพูดเดียวที่เกเรี่ยนพูดไว้ตอนที่เขาช่วยข้าหลังจากจบการประลอง และส่งรอยยิ้มอวดดีโดยการยกมุมปากเพียงข้างเดียวพร้อมกับยักคิ้วข้างนั้นขึ้นด้วย ตอนนั้นข้าไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย… ตอนนี้ก็เหมือนกัน ข้าหมายถึง… ก็ใครมันจะไปเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่คาดไม่ถึงได้ล่ะ? ไร้สาระสิ้นดี! (แม้ว่าบางทีเขาอาจหมายถึงเรื่องที่ข้าไม่ควรมั่นใจว่าตัวเองจะชนะการประลอง แต่เมื่อดูจากท่าทางอวดดีของเขาแล้วก็นับว่าเป็นคำแนะนำที่ย้อนแย้งสิ้นดี)

คืนนั้นข้าไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงหลังการแข่งขัน ข้าจิตตกเกินกว่าจะออกไปพบหน้าใคร จึงได้แต่หลบอยู่ในห้องพักด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง แค่คิดว่าต้องเข้าไปในโถงที่มีแต่พวกนักเรียนชายจากบานอาร์ดก็ทำให้ข้าทั้งหงุดหงิดและกระอักกระอ่วน แต่พอคิดว่าต้องเข้าไปเจอคนที่ข้าทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง ข้าก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวน่ารังเกียจขึ้นมาเลย หลังจากพิธีปิดการแข่งขันข้ายังพยายามหลบหน้าท่านป้าออโรราอีกด้วย เพราะกลัวสิ่งที่ท่านจะพูดใส่ข้า ข้าคิดว่าประโยคนั้นคงประมาณว่า ‘ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก อลิสสาหลานรัก ข้าแค่… ผิดหวังน่ะ’ แค่คิดข้าก็หัวหดจะแย่แล้ว (แต่พอเราได้คุยกันจริง ๆ ท่านป้าก็ไม่ได้พูดแบบนั้นเลย แถมยังปลอบใจข้าอีกต่างหาก ข้าจึงคิดได้ว่าความเป็นจริงมักไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคาดการณ์ไว้)

แม้แต่เพื่อนรักของข้าอย่างคาเลนา ซึ่งข้ามารู้ทีหลังว่านางกำลังหมายตานักเรียนชายบานอาร์ดคนหนึ่งเอาไว้ ปรากฏว่าคืนนั้นนางยอมเสียสละโอกาสจะได้ปลูกต้นรัก ทันทีที่เห็นว่าข้าไม่ได้โผล่มาร่วมงานเลี้ยง คาเลนาใช้เวลาเกือบตลอดทั้งหัวค่ำนั่งปลอบใจข้า ตอนแรกนางก็ทำแบบนั้นจริง ๆ แต่แล้วความรู้สึกผิดที่ทะลักล้นของข้าก็ทำให้นางอึดอัดจนทำในสิ่งที่ข้าไม่คาดคิดมาก่อน... นางเทศนาข้า

‘โตได้แล้ว แม่เด็กโง่ ท่านป้าของเจ้าไม่เคยสอนหรือไงว่าเจ้าไม่มีทางจะเก่งทุกอย่างในชีวิตได้ ให้ตายเถอะ… พวกเราส่วนมากยังไม่เก่งอะไรเลยสักอย่างด้วยซ้ำ ข้าจะบอกให้นะ ฝีมือเจ้าน่ะเก่งเกินระดับชั้นปีที่เจ้าเรียนอยู่เสียอีก เจ้าฉลาดและมุ่งมั่นเสมอ และเจ้ายังรู้อะไรเยอะแยะไปหมด ทั้งเรื่องโลกภายนอกและเรื่องเวทมนตร์ แต่เจ้าน่ะทะนงตนมากไป และข้าขอบอกตามตรงว่าเจ้าสำคัญตัวเองเกินกว่าความเป็นจริงด้วย โลกภายนอกยังมีให้อะไรให้เจ้าตกตะลึงอีกมาก และมันก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเจ้า ขอสักครั้งเถอะ… แค่ครั้งเดียว เลิกทำเพื่อเอาใจคนอื่นเสียที ไม่ต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเจ้ามีคุณค่า ไม่ต้องตำหนิในสิ่งที่เจ้าเป็น ลองทำอะไรที่เจ้าอยากทำจริง ๆ และสนุกไปกับมันดูบ้าง เพราะชื่อเสียงเกียรติยศใด ๆ ในโลกมันจะมีความหมายอะไร หากเจ้าไร้ซึ่งความสุข

นับเป็นครั้งแรกที่ข้าต้องผงะเพราะคำพูดของคาเลนา และข้าก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับคำแนะนำอันชาญฉลาดเช่นนี้จากนาง แต่มันก็เป็นไปแล้ว… อย่างชัดเจนเลย

นางให้เวลาข้าได้ใคร่ครวญกับคำเทศนา ก่อนจะชวนข้าไปยังโถงจัดเลี้ยงที่ทุกคนกำลังสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง นางหว่านล้อมข้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ข้าจึงตามนางไปโดยไม่ลังเล รู้ไหม… ไม่มีใครเยาะเย้ยข้าเลย ไม่มีใครกล่าวโทษข้าด้วย และไม่มีใครกระฟัดกระเฟียดเรื่องที่ข้าพ่ายแพ้เลยสักคน (มีแต่ตัวข้าเองนี่แหละ) สุดท้ายคืนนั้นก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตข้าเลย

เมื่อมองย้อนกลับไปตอนนั้น คำพูดของคาเลนาถือเป็นจุดเปลี่ยนของข้าเลยทีเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้านั่งคิดอย่างจริงจังว่าตัวเองเป็นใคร และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ… จริง ๆ แล้วข้าอยากเป็นอะไรกันแน่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความคาดหวังของคนอื่น เป็นครั้งแรกที่ข้าตั้งคำถามกับ ‘โชคชะตา’ ของตัวเอง

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 9

ในสมัยที่ข้ายังเป็นนักเรียน “แยน เบ็กเกอร์” ผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ทุกธาตุเคยมาเยือนโรงเรียนอาเรทูซาอยู่หลายครั้ง ส่วนใหญ่ก็มาเพื่อชมศึกประลองเวท (เขาต้องมาให้กำลังใจพวกนักเรียนชายจากบานอาร์ดอยู่แล้ว) อย่างไรก็ตาม ในปีหนึ่งหลังจากที่อาเรทูซาเป็นฝ่ายชนะการประลอง เขาก็ตัดสินใจยืดระยะเวลาการเยี่ยมเยือนออกไป และยังสอนเวทมนตร์ที่นี่ตลอดทั้งภาคการศึกษา จอมเวทกล่าวสุนทรพจน์โดยระบุว่าเขาเห็นศักยภาพมากมายของนักเรียนหญิงแห่งอาเรทูซา และต้องการช่วยพวกเธอ ‘แสวงหาความยิ่งใหญ่’ โดยการเปิดชั้นเรียนเพื่อบรรยายเนื้อหาแบบเจาะลึก ตอนแรกข้าคิดว่ามันต้องเป็นแผนของเขาที่จะประเมินการสอนของคณาจารย์ที่นี่ บางทีเขาคงอยากรู้ว่าเหตุใดพวกท่านจึงประสบความสำเร็จในการหล่อหลอมระเบียบวินัยแก่นักเรียนหญิง ซึ่งตรงข้ามกับนักเรียนชายบานอาร์ดที่ดื้อรั้นอย่างสิ้นเชิง (สำหรับเรื่องนี้แล้ว ดูเหมือนว่าการสอดแนมของเขาจะล้มเหลวนะ)

สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับจอมเวทเบ็กเกอร์ สามารถประมวลบุคลิกโดยรวมและแนวคิดเรื่องการศึกษาเวทมนตร์ของเขาได้จากสุนทรพจน์ (อันมีความยาวเกือบยี่สิบหน้าเท่าที่ข้าจดบันทึกได้) บางช่วงดังต่อไปนี้

‘จอมเวทผู้ล้มเหลวในการใช้พรสวรรค์และศิลปะแห่งเวทมนตร์ คือผู้ที่ไม่สามารถขยายขอบเขตของสิ่งที่อาจเป็นไปได้ จงจำไว้ว่าพวกเรานั้นมีหน้าที่แสวงหาความยิ่งใหญ่ เพื่อบรรลุ หาทางลัด และสร้างมาตรฐานใหม่ของความสำเร็จและความเป็นเลิศให้ชนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม ในฐานะจอมเวท เราไม่อาจยอมรับสิ่งที่ต่ำกว่ามาตรฐานเหล่านี้ได้ และเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องคอยสนับสนุนและประคับประคองผองเพื่อนจอมเวทไปด้วย มีเพียงความสมัครสมานอันเหนียวแน่นและเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเรามีความหวังในการการสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้ได้…’

เขาเป็นคนจริงจังมาก ๆ อย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ แต่ข้าก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน บอกตามตรงว่าตอนนั้นข้าซาบซึ้งกับทุกถ้อยคำที่เขากล่าวมา เนื่องจากมันได้ย้ำเตือนถึงสิ่งที่ท่านป้าสั่งสอนและส่งเสริมข้ามาโดยตลอด และมันยังทำให้ข้านึกถึงช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอและความลังเลต่อเป้าหมายในชีวิต ถ้อยคำของจอมเวทเบ็กเกอร์ที่ก้องอยู่ในหูนั้นทำให้ข้าอยากลงมือปฏิบัติตามคำแนะนำของเขา จนกระทั่งข้าได้ตัดสินใจอย่างโง่เง่าเพื่อทำ ‘หน้าที่’ ของจอมเวท และเปิดอกพูดคุยกับคาเลน่าเพื่อนรักของข้าถึงเรื่องที่นางกำลัง ‘ขาดแรงสนับสนุน’ (ให้ตายเถอะ ข้าละอายใจจริง ๆ แม้แต่ตอนที่ต้องเขียนถึงเรื่องนี้ก็ตาม)

ข้านั่งคุยกับนางและบอกว่านางต้องพยายามให้มากขึ้น บอกว่านางต้องตั้งใจจดจ่อและฝึกฝนให้มากขึ้นเพื่อกำจัดข้อบกพร่องทั้งหลายออกไป (ซึ่งข้าเองก็เสียมารยาทบอกนางไว้หลายอย่างเลย) ข้าจำสีหน้าของนางในตอนนั้นได้ มันไม่ได้แสดงออกว่านางหงุดหงิดหรือโกรธเลย อันที่จริงมันต่างไปจากนั้นมาก นางรับมือกับการพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ของข้าได้ดีเลยทีเดียว สิ่งที่นางแสดงออกนั้นน่าจะใกล้เคียงกับความประหลาดใจมากที่สุด นางคงประหลาดใจที่เพื่อนรักวางท่าอวดเก่งและพูดคุยกับนางแบบนั้น (ซึ่งข้าก็ไม่อยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้นเลย)

แทนที่จะโต้แย้งหรือต่อปากต่อคำด้วย (ซึ่งนางจะทำก็ได้) นางกลับอธิบายมุมมองของตัวเองที่มีต่อเรื่องนี้ว่า

‘ข้าอยากออกเดินทางท่องโลก พบปะผู้คน และ… ช่วยเหลือพวกเขา ข้าไม่สนใจความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่พวกนั้น ไม่ได้อยากจะขยายขอบเขตของศาสตร์แห่งเวทมนตร์และการค้นพบต่าง ๆ ข้ายินดีละทิ้งความทะยานอยากไว้กับจอมเวทผู้ทะเยอทะยานอย่างเจ้า… อย่างจอมเวทเบ็กเกอร์ ยานนา และคนอื่น ๆ ตอนนี้ข้ามีพลังมากพอที่จะทำสิ่งดี ๆ ได้แล้ว เพื่อช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะทำแบบนั้น อีกไม่นานข้าจะออกเดินทางท่องโลกในฐานะ ‘ดวิมเวียนดรา*’ และจะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ข้าพบเจอ เจ้ารู้ไหม? ข้าไม่คิดว่าข้าจะกลับมาอีกแล้ว…’

บางครั้งโชคชะตาก็ตีความสิ่งที่ผู้คนมุ่งมาดปรารถนาอย่างประชดประชันและโหดร้าย

‘... ข้าไม่คิดว่าข้าจะกลับมาอีกแล้ว …’

คำพูดของนางยังคงตามมาหลอกหลอนข้า กึกก้องในหัวใจทุกครั้งยามที่ข้าอยู่ตัวคนเดียว ยามที่ข้าใช้เวลาหวนรำลึกถึงอดีต คอยย้ำเตือนว่ามันเป็นเพราะตัวข้าเอง... เพราะการกระทำของข้า... ความโง่เขลาของข้า ที่ทำให้ถ้อยคำเหล่านั้นกลายเป็นจริงขึ้นมา… ในทางที่เลวร้ายที่สุด

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ: ดวิมเวียนดรา (dwimveandra) คือ นักเวทหญิงที่จบการศึกษาจากอาเรทูซา และเลือกฝึกฝนเพิ่มเติมโดยการเดินทางไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากจอมเวทต่าง ๆ ที่เธอพบระหว่างทาง โดยไม่ได้อยู่รับใช้จอมเวทคนใดคนหนึ่ง เมื่อทำภารกิจต่าง ๆ ครบตามที่กำหนดก็จะกลับมาสอบรวบยอดเพื่อเป็น "mistress of magic" หรือนายหญิงผู้ชำนาญเวทมนตร์ทั่วไป และสามารถประกอบอาชีพเป็นนักเวทหญิงได้อย่างเต็มตัว

 

 

📜 อ่าน Part 4: บทที่ 10-12 (จบ)

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.