สรุปเนื้อเรื่องคอมิกส์ The Witcher: House of Glass เล่ม 3-4

เนื้อหานี้ทำขึ้นเพื่อสรุปเรื่องราวให้กับผู้ที่สนใจคอมิกส์ House of Glass สามารถอ่านตัวอย่างและซื้อในรูปแบบ ebook ได้ที่ digital.darkhorse.com | Goolgle Play Books | Amezon.com


The Witcher: House of Glass

วางจำหน่ายครั้งแรก: ปี 2014 ความยาว 5 เล่มจบ สำนักพิมพ์ Dark Horse Comics

เนื้อเรื่อง Paul Tobin | ภาพ Joe Querio | ลงสี Carlos Badilla | อักษร Nate Piekos

 

📜 อ่านสรุปเนื้อเรื่องเล่ม 1-2 ที่นี่

 

เล่ม 3

ที่ห้องใต้ดิน เกรอลท์กำลังตกอยู่ในวงล้อมของซากศพเดินได้ พวกมันกรูกันเข้ามารุมทึ้งวิทเชอร์จากทุกทิศทาง เขาต้องใช้คาถาอาร์ดและอิกนีเพื่อฝ่าวงล้อมออกมา แม้ร่างของพวกมันจะผุกรอบ แต่เกรอลท์ก็เสียเปรียบเรื่องจำนวนที่จัดการเท่าไรก็ไม่หมดเสียที เขาจึงโจมตีเพื่อเปิดทางแล้วรีบวิ่งหนีขึ้นบันไดไป วิทเชอร์ดันบานประตูบนพื้นอย่างทุลักทุเล กว่าจะสลัดซากศพที่ตามเกาะแข้งเกาะขาเขาจนหมดและลงกลอนประตูได้ วาร่ากับเจคอบรีบวิ่งเข้ามาช่วย แต่เกรอลท์ก็หันปลายดาบใส่ซัคคิวบัสพร้อมกับใช้มืออีกข้างคว้าคออสูรสาวเอาไว้

เหตุการณ์สยองในห้องใต้ดินทำให้เกรอลท์เชื่อว่าซัคคิวบัสพยายามล่อลวงเขาให้ตกเป็นเหยื่อของพวกซากศพเดินได้ วาร่ารีบปฏิเสธและบอกว่าเธอเองก็ตกใจกลัวจนรีบวิ่งหนีขึ้นมา ซึ่งเจคอบก็ช่วยยืนยันว่าซัคคิวบัสไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเกรอลท์แน่นอน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่บอกให้เขารีบวิ่งตามมาช่วย วาร่าบอกว่าครั้งสุดท้ายที่เธอลงไปที่ห้องใต้ดินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคนพวกนั้นยังคงมีชีวิตอยู่เลย แต่กาลเวลาในบ้านหลังนี้มันบิดเบือนไปจากปกติจนเธอเองก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วเหมือนกัน ส่วนเจคอบก็ไม่ชอบท่าทางก้าวร้าวของเกรอลท์ ก็เลยต่อว่าเขาที่ใช้กำลังกับผู้หญิง

“เจ้าจะทำแบบนั้นกับผู้หญิงไม่ได้! ผู้หญิงน่ะ เป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราต้องให้เกียรติ! ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะเข้าใจพวกผู้หญิงอย่างถ่องแท้ ไม่มีเลย! เหตุผลของพวกนางทั้งลึกลับและยุ่งเหยิงเกินกว่าจะเข้าใจได้! เราต้องยอมรับสิ่งที่พวกนางเป็น และยอมรับว่าพวกนางมีชีวิตอันแสนสั้น พร้อมจะถูกพรากจากเราไปได้ทุกเมื่อ เจ้าจะชักดาบออกมากวัดแกว่งใส่นางเหมือนกับ… เหมือนกับ….”

เจคอบเริ่มสงบสติอารมณ์ได้จึงหยุดพูดและขอโทษที่ต่อว่าเกรอลท์ ดูเหมือนเขาจะยอมรับความจริงที่ว่ามาร์ทาได้ตายจากไปแล้ว ส่วนสิ่งที่คอยติดตามเขามาโดยตลอดนั้นเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่เกิดจากร่างเดิมของภรรยาเขา เกรอลท์เข้าใจความรู้สึกของนายพราน และบอกว่าทุกอย่างน่าเกิดจากเวทมนตร์ในคฤหาสน์หลังนี้เพราะจี้หมาป่าของเขาสั่นไม่ยอมหยุดเลยตั้งแต่เข้ามาข้างใน

วาร่า เจคอบ และเกรอลท์พากันเดินสำรวจภายในบ้านอีกครั้ง เจคอบเห็นภาพเปลือกหอยที่แขวนอยู่ตามผนังก็นึกถึงอดีตภรรยาขึ้นมาอีกครั้ง เขาเล่าว่าสมัยที่ยังใช้ชีวิตอยู่ริมทะเล มาร์ทาชอบเก็บเปลือกหอยสวย ๆ มาสะสมเอาไว้ บางครั้งก็เอามาร้อยเป็นสร้อยคอให้เขา นางยังเคยไปคุยกับช่างตีเหล็กให้ช่วยหาวิธีฝังเปลือกหอยประดับลงไปในด้ามมีดสั้นของเขาด้วย แต่อยู่มาวันหนึ่งระหว่างที่มาร์ทาออกไปเก็บเปลือกหอย จู่ ๆ ก็มี “สัตว์ประหลาด” โผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล มันใช้หนวดรัดร่างของเธอจนแน่นและกำลังจะลากเธอลงไปด้วย โชคดีที่เขาคว้าขวานแล้ววิ่งไปช่วยมาร์ทาได้ทันเวลาพอดี แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าสัตว์ร้ายก็ยังทิ้งรอยเขียวช้ำไว้ตามเนื้อตัวของเธออยู่นานหลายสัปดาห์ ตั้งแต่นั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าไม่มีที่ใดในโลกที่ภรรยาของเขาจะปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว

วาร่าสนใจเรื่องราวของเจคอบจึงถามย้อนไปถึงเรื่องราวการพบรักของพวกเขา เจคอบจึงเล่าต่อไปว่า เขาพบมาร์ทาตั้งแต่ตอนที่เธออายุ 10 ขวบ แม่ของมาร์ทาเปิดร้านขายขนมอบ และมาร์ทาก็จะช่วยเอาขนมไปเร่ขายโดยร้องเพลงไปด้วย ตอนแรกเขาก็ติดใจแค่ขนมพวกนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนมาร์ทาเริ่มแตกเนื้อสาว เขาก็เลยหลงรักเธอไปด้วย

เจคอบเริ่มมีท่าทีร้อนรนอีกครั้ง เขายืนยันว่าจะออกไปตามหามาร์ทาและปลีกตัวออกไปทันที ระหว่างนั้นเกรอลท์ก็สำรวจภาพวาดต่าง ๆ และกระจกสีบนผนัง เขาเห็นรูปตัวเองตอนเดินตามฝูงนกมาที่คฤหาสน์หลังนี้ด้วย และดูเหมือนซัคคิวบัสจะเข้าใจได้ทันทีว่าเกรอลท์กำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงอาสาพาเขาไปยังห้องห้องหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นจะเป็นสถานที่ที่กระจกสีพวกนี้ถูกประกอบขึ้นมา วาร่าบอกว่าภาพกระจกสีตามผนังจะเปลี่ยนไปทุกวัน และเธอคิดว่ามาร์ทาอาจเป็นคนที่สร้างรูปภาพเหล่านี้ขึ้นมาก็ได้

ว่าแล้วซัคคิวบัสก็ถามเกรอลท์เกี่ยวกับเรื่องความรัก แต่เกรอลท์ก็ตอบแบบขอไปที โดยบอกว่างานของวิทเชอร์มันไม่มีที่ว่างให้กับความรัก วาร่าชวนเกรอลท์เปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นนอกบ้านดูบ้าง แต่ดูเหมือนพวกเขาจะออกห่างจากตัวบ้านไปไกลจนเข้าใกล้อาณาเขตของเลเชน ทำให้ฝูงนกร้องเพลงของมาร์ทาต้องบินมาเตือนให้รีบกลับไป

แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังเดินคุยกันถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องราวที่เจคอบเล่าให้ฟัง มันแปลกตั้งแต่ตอนที่เขายืนยันว่ามาร์ทากลายเป็นบรุกซา ไหนจะเรื่องที่เขารู้จักกับมาร์ทาตั้งแต่ตอนที่เธอเพิ่งจะมีอายุได้แค่ 10 ขวบ ซึ่งเกรอลท์ก็ยอมรับว่าเขาเองก็สงสัยมาตั้งแต่แรกแล้ว และเพราะความสงสัยนี้เองที่ทำให้เขาตามเจคอบเข้ามาที่คฤหาสน์หลังนี้

จู่ ๆ เลเชนก็โผล่พรวดขึ้นมาจู่โจมเกรอลท์ วิทเชอร์คว้าแขนซัคคิวบัสวิ่งหนีกลับไปยังคฤหาสน์ และใช้คาถาอาร์ดสกัดฝูงหมาป่าที่วิ่งตามมาเป็นพรวน จนกระทั่งทั้งคู่ออกจากอาณาเขตของเลเชนและเห็นฝูงนกของมาร์ทา เกรอลท์บ่นว่านี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่วาร่าปล่อยให้เขาต่อสู้อยู่คนเดียวทั้ง ๆ ที่ซัคคิวบัสอย่างเธอก็มีเวทมนตร์ วาร่าจึงบอกว่าเธอก็กำลังจะช่วยเกรอลท์อยู่นี่ไง… ว่าแล้วก็เปลื้องผ้าพร้อมกับทำท่าเชื้อเชิญวิทเชอร์ให้สัมผัสเรือนร่างอวบอิ่มของเธอ

เสียงระฆังดังลั่นขัดจังหวะความสุขของซัคคิวบัส ดูเหมือนว่ามันจะดังมาจากคฤหาสน์ วาร่ารีบสวมเสื้อผ้าและสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง… ฝูงนกร้องเพลงของมาร์ทาค่อย ๆ ร่วงลงมาตายทีละตัว… ทีละตัว…

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

เล่ม 4

วาร่าและเกรอลท์รีบวิ่งกลับไปยังคฤหาสน์กระจกสี เสียงระฆังหยุดลงทันทีที่พวกเขาเปิดประตูเข้าไป ราวกับมันเป็นสัญญาณเรียกพวกเขาให้กลับเข้ามาในบ้าน เกรอลท์ชักดาบเงินออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ทั้งคู่ค่อย ๆ เดินไปจนถึงห้องจัดเลี้ยงและพบเจคอบกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับมาร์ทา

เจคอบบอกวิทเชอร์ว่าอย่าเพิ่งทำอะไรกระโตกกระตาก เกรอลท์จึงถามนายพรานกลับไปว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีเสียงระฆังดังลั่นออกมาจากบ้าน แต่เจคอบกลับบอกว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย เห็นแต่มาทาร์นั่งเงียบ ๆ อยู่ที่นี่คนเดียว เขาก็เลยมานั่งกินอาหารด้วย เธอเอาแต่จ้องมองเขาโดยไม่พูดไม่จา ได้แต่ส่งเสียงขู่ทุกครั้งที่เขาขยับตัวหรือพยายามจะพูดคุยกับเธอ

เกรอลท์พยายามสื่อสารกับมาร์ทา แต่เธอบอกให้เขานั่งลง ทุกคนจึงนั่งกินอาหารด้วยกันอย่างตึงเครียด ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างนั้นเลย เกรอลท์แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการวางดาบทั้งสองเล่มไว้บนโต๊ะ แต่มาร์ทาก็ไม่อนุญาตให้เขาพูดหรือทำอะไรมากกว่านั้น เหงื่อเม็ดโต ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเจคอบ จนในที่สุดเขาก็ทนกับบรรยากาศที่น่าอึดอัดไม่ได้อีกต่อไป

นายพรานพยายามหาเรื่องคุยกับเกรอลท์เพื่อทำลายความเงียบ เขาถามเกรอลท์ว่าเคยเจอผู้หญิงที่พอจะเรียกว่าเป็นรักแท้บ้างหรือเปล่า วิทเชอร์คว้าน่องไก่มากัดแล้วตอบว่า 

“ความรักเหรอ? ทั้งหมดที่ข้ามีคือเจ้าโร้ช”

แต่พอมาร์ทาถามด้วยความสงสัย เกรอลท์จึงเริ่มเล่าอย่างจริงจังมากขึ้น เขาเล่าว่าเคยพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่โรงเหล้าในเมืองเทรโทกอร์ ดูท่าทางเธอจะสนใจรอยแผลเป็นของเขา เธอคุยสารพัดเรื่องอยู่นานเป็นชั่วโมง ๆ หลังจากนั้นก็ชวนเขาขึ้นไปชั้นบน และยังคุยแทบไม่หยุดปากจนกระทั่งเขาต่อรองราคาที่สองเหรียญเงินโอเร็นและใช้กระบวนดาบส่วนตัวกระหน่ำใส่จนหมดแรง

เจคอบโวยวายว่านี่มันไม่ใช่ความรักเลย แต่เกรอลท์บอกให้นายพรานฟังให้จบเสียก่อน วิทเชอร์บอกว่าเขาตื่นมาในตอนเช้าหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นหายตัวไปแล้ว แต่บนโต๊ะข้างเตียงยังมีเหรียญเงินสองเหรียญวางอยู่เหมือนเดิม ว่าแล้วก็หยิบเหรียญที่ว่าออกมาจากกระเป๋าโยนลงบนโต๊ะให้ทุกคนดู เมื่อเจคอบเห็นแบบนี้ก็ชักจะเริ่มเชื่อสิ่งที่เกรอลท์เล่ามา

ตอนนั้นเองที่มาร์ทาหายตัวไปจากโต๊ะอาหาร เจคอบเลยโวยวายที่เขาต้องคลาดกับอดีตภรรยาอีกจนได้ เกรอลท์แปลกใจกับปฏิกิริยาของเจคอบ เพราะเขามีท่าทางอึดอัดจนเหงื่อแตกตลอดเวลาที่เผชิญหน้ากับมาร์ทา แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงอยากจะไปตามหาเธออีก แต่เจคอบก็ตอบเหมือนเดิมว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา

พอนายพรานแยกตัวออกไป วาร่าก็ชวนเกรอลท์ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศที่ห้องอื่นบ้าง เธอถามเขาถึงเรื่องเหรียญเงินสองเหรียญที่เกรอลท์พกติดตัวไว้ เพราะอยากรู้ว่าเขาตั้งใจเก็บไว้จริง ๆ หรือแค่โมเมกุเรื่องขึ้นมา วิทเชอร์ตอบว่าเช้าวันนั้นเขาจ่ายเงินซื้อของไปหลายอย่าง แต่เหรียญเงินสองเหรียญนี้ก็วนกลับมาเข้ากระเป๋าเขาอีกจนได้ เขาเลยคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ และเก็บมันติดตัวไว้นับตั้งแต่นั้น

แล้วทั้งคู่ก็พบสิ่งแปลกประหลาดในบ้านหลังนี้อีกครั้ง อยู่ดี ๆ ก็มีหมอกลงหนาในตัวบ้านจนมองอะไรแทบไม่เห็น เกรฟแฮ็กตนเดิมที่เกรอลท์เคยเจอตรงสุสานข้างนอกเดินดุ่ม ๆ เข้ามาถึงในตัวบ้าน มันตรงไปยังห้องที่เต็มไปด้วยซากศพ ทุกร่างลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามมันไปราวกับถูกมนต์สะกด วิทเชอร์ชักดาบเงินออกมาก่อนจะตะโกนถามเกรฟแฮ็กว่ามันกำลังจะพาซากศพพวกนี้ไปไหน ซึ่งมันก็ตอบกลับมาว่า

“ฮี่ ๆ … พวกเราจะไปสุสานกันน่ะสิวิทเชอร์ พวกเราทุกคนล้วนเป็นมิตรสหาย… สหาย… สหายของข้า สหายอันโอชะของข้า…”

ตอนแรกเกรอลท์ก็ตั้งท่าจะขัดขวางไม่ให้มันพาซากศพพวกนั้นไปกิน แต่วาร่าก็ห้ามเขาเอาไว้

“ไม่! เกรอลท์ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายแบบนี้หรอกนะ จะเสี่ยงชีวิตช่วยคนที่ตายแล้วไปทำไม? มันเปล่าประโยชน์น่า… ต่อให้ฆ่านาง เจ้าก็ไม่ได้เงินค่าจ้างอยู่ดี... ปล่อยนางไปเถอะ”

สุดท้ายวิทเชอร์ก็ปล่อยให้มันพาซากศพพวกนั้นออกไปกิน เกรฟแฮ็กและเหล่าคนตายเดินหายลับตาไปพร้อมกับสายหมอก


อีกสองชั่วโมงต่อมาเกรอลท์กับวาร่าก็เจอห้องที่มีอ่างอาบน้ำ เกรอลท์นอนแช่อยู่ในนั้นอย่างผ่อนคลาย อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง หลังจากต้องเจอเรื่องปวดหัวมากมายตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้ วิทเชอร์ขอบคุณซัคคิวบัสที่นำทางเขามาเจอมุมสงบ แต่จู่ ๆ เธอก็เปลื้องผ้าและเดินมาลงอ่างกับเกรอลท์

“ไหนบอกว่าเจ้าจะไม่แอบดูข้าอาบน้ำ โกหกกันนี่นา”

“ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าโกหก ก็ไม่นับว่าข้าโกหกหรอกนะ… และเจ้าก็รู้ทันข้าแล้ว แล้วไงล่ะ? เกรอลท์แห่งริเวีย… เจ้าจะทำยังไงต่อ?”

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องมาร์ทา?”

“เฮ้อ! พูดถึงผู้หญิงคนอื่นตอนนี้เนี่ยนะ?” วาร่าวักน้ำในอ่างใส่เกรอลท์โทษฐานที่ทำให้เธอเสียอารมณ์

“ก็ได้ ๆ… คุยให้มันจบ ๆ ไปซะที อย่างแรก… บรุกซาเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นบรุกซาไม่ได้ เรื่องราวมันไม่ได้เป็นแบบนั้น เจคอบน่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ก็โกหกเรื่องมาร์ทา… เจ้ารู้แล้วใช่ไหม?”

“ใช่ ข้ารู้อยู่แล้ว”

“แล้วเจ้าคิดว่านางเป็นตัวอะไรกัน?”

“เป็นบางอย่างที่ตายไปแล้ว และอาจถูกสาปด้วย”

“เจ้าคิดว่านางเป็นอะไรตาย? เกิดอะไรขึ้นกับนาง?”

“ข้าคิดว่า… คิดว่านางถูกป้ายสี”

“อืมมมม… เราคุยกันมากพอแล้วล่ะ วิทเชอร์”

อสูรสาวดึงมือวิทเชอร์ไปสัมผัสเนินเนื้อบนตัว น้ำในอ่างกระฉอกเป็นจังหวะเคล้ากับเสียงคราญครางแห่งความสุขสม

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เกรอลท์ได้ยินเสียงเจ้าโร้ชร้องลั่นด้วยความแตกตื่น เขาจึงรีบสวมเสื้อผ้าแล้ววิ่งลงไปดูตรงบ่อน้ำที่ผูกสายบังเหียนเอาไว้ เจคอบกำลังแก้เชือกปล่อยม้าอย่างร้อนรนเหมือนอยากจะหนีไปให้เร็วที่สุด นายพรานบอกว่ามาร์ทากำลังทำให้เขาสติแตก เพราะเธอเอาแต่จ้องมองเขาโดยไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่ตอนอยู่ในห้องจัดเลี้ยงเธอกลับรินไวน์ให้เกรอลท์ แถมยังยิ้มให้และพูดคุยด้วยอีกต่างหาก เขาทั้งโมโหและไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ นายพรานสับขวานลงกับพื้นเพื่อระบายความอัดอั้น บ้านหลังนี้กำลังจะทำให้เขากลายเป็นบ้า

เกรอลท์พยายามช่วยเขาสงบสติอารมณ์และพานายพรานเดินกลับเข้าบ้านก่อนที่เกรฟแฮ็กจะเล่นงานพวกเขา เจคอบงอแงเป็นเด็กแต่ก็ยอมกลับเข้าไปในบ้านจนได้ พอตั้งสติได้เขาก็ขอโทษวิทเชอร์ แถมยังนึกได้ว่าตัวเองลืมขวานไว้ข้างนอกด้วย ทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดแล้วก็พบกับฝูงนกร้องเพลงของมาร์ทา มันนำทางพวกเขาไปที่ประตูแกะสลักบานหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เมื่อเกรอลท์ลองเปิดดูก็พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้

เจคอบบอกว่าพวกเขาควรไปรอที่ห้องโถงข้างล่างดีกว่า อย่างน้อยก็มีไวน์ให้ดื่ม เพราะไหน ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่พอนายพรานคล้อยหลังไป เกรอลท์ก็นึกถึงกุญแจที่วาร่ามอบให้ เธอบอกมันว่าเป็นกุญแจห้องนอนบนชั้นสี่ ทั้ง ๆ ที่คฤหาสน์หลังนี้มีแค่สามชั้น วิทเชอร์คิดว่าลองไขดูคงไม่เสียหายอะไร แต่ปรากฏว่ามันไขได้จริง ๆ

“ฮืมมมม… ชั้นสี่ตามคำร่ำลือ ก็นะ… เราต่างก็ชอบเรื่องราวที่มันมีหลาย ๆ ชั้นอยู่แล้วนี่?”

วิทเชอร์เดินขึ้นบันไดผ่านภาพวาดที่ห้อยลงมาจากระเบียง ภาพหนึ่งเป็นสาวงามกับช่างตีเหล็กยืนอยู่ท่ามกลางเปลือกหอย อีกภาพหนึ่งคือนายพรานกำลังถือขวานเผชิญหน้ากับ “สัตว์ประหลาด” ตรงชายทะเล

 

📜 อ่านสรุปเนื้อเรื่องเล่ม 5 (ตอนจบ) ที่นี่

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.