Memoirs of a Mage (Part 1: Chapter 1-3)
ในความทรงจำของจอมเวท (Memoirs of a Mage) เป็นเรื่องสั้น 12 บทที่เล่าถึงเรื่องราวของโรงเรียนนักเวทหญิงอาเรทูซาผ่านมุมมองของจอมเวทหญิง 'อลิสสา เฮนสัน' (Alissa Henson) ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เธอเป็นหลานสาวของ 'ออโรรา เฮนสัน' (Aurora Henson) จอมเวทหญิงคนแรกที่ได้รับการยกย่องให้เป็นปรมาจารย์เวทมนตร์ธาตุน้ำ และออโรรายังเป็นหนึ่งในแปดสมาชิกผู้ก่อตั้งสภาผู้มีพรสวรรค์และศิลปะด้านเวทมนตร์ (Chapter of the Gift and the Art) หรือที่นิยมเรียกกันว่าสภาจอมเวท (Chapter of Wizards) ซึ่งเป็นสภาสูงขององค์กรภราดรจอมเวทแห่งแดนเหนือ (Brotherhood of Sorcerers)
Memoirs of a Mage เป็นเรื่องราวในโหมด journey ลำดับที่ 6 ของเกม Gwent โดยทีมงาน CD Projekt Red ได้ต่อยอดมาจากนิยายเล่ม Time of Contempt และดัดแปลงให้เข้ากับเรื่องราวในจักรวาลเกม จึงอาจมีรายละเอียดบางส่วนที่ไม่ตรงกับนิยายต้นฉบับของ Andrzej Sapkowski
แปลไทยโดย อาอี๊จับจอย
บทที่ 1
ข้ามีนามว่า อลิสสา เฮนสัน และข้าเป็นนักเวทหญิง
แม้ข้าจะแนะนำตัวตามมารยาททั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้าไม่ได้อยากให้ใครอื่นนอกเหนือจากตัวข้าเองได้อ่านถ้อยคำเหล่านี้ แต่หากว่าท่าน-ซึ่งไม่ใช่ตัวข้า กำลังอ่านบันทึกนี้อยู่จริง ๆ เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องอธิบายเสียหน่อยว่าบันทึกนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยเหตุใด
เรื่องทั้งหมดเริ่มจากที่ท่านป้าออโรรา เฮนสัน เคยบอกข้าไว้ว่า
ในช่วงหนึ่งของชีวิต เจ้าจะหวนคำนึงถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมานานและจำเป็นต้องนึกถึงอดีตให้ออก มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ที่มีชีวิตยืนยาว และจะไม่เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นข้าขอมอบคำแนะนำนี้ให้เจ้า จงจดบันทึกอย่างสม่ำเสมอ จดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ให้ตายเถอะ ท่านป้าของข้าพูดได้ถูกเผง หรืออันที่จริงแล้วคำแนะนำพวกนี้อาจเป็นแค่การคิดเองเออเอง เป็นดังเมล็ดพันธุ์ที่เหล่าวิญญูชนผู้ฉลาดเฉลียวกว่าตัวข้าได้หว่านโปรยมาแต่ครั้งกาลก่อน จะถามว่าข้ารู้สึกถูกจ้ำจี้จ้ำไชหรือเปล่า กับการต้องมาเล่าเรื่องราวในอดีตที่ข้าไม่ได้ใช้เวลาปีแล้วปีเล่าจดบันทึกตามหน้าที่ มันดูไร้ประโยชน์ใช่ไหม? ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็ยังรู้สึกขอบคุณท่านป้าอยู่ดี เพราะมันทำให้ข้ารู้สึกสบายใจอย่างมากระหว่างที่ต้องบำบัดด้วยการวิเคราะห์ตัวเองตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และข้าก็ยังรู้สึกเช่นนั้นเสมอ
แน่ล่ะ หากตอนนั้นข้าจดบันทึกเอาไว้ก็คงไม่ต้องมานั่งนึกเอาแบบนี้ แต่ข้าจำได้จริง ๆ ตอนที่ท่านป้าบอกคำแนะนำพวกนั้นเป็นครั้งแรก เรากำลังนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งอืดอาดไปบนถนนเส้นยาวที่ทั้งขรุขระและน่าเบื่อหน่ายไปยังเกาะธาเน็ดด์ สถานที่ที่ทำให้ข้าได้เป็นนักเวทหญิงแห่งโรงเรียนอาเรทูซาเช่นเดียวกับท่านป้า ข้าไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายความตื่นเต้นที่มันไหลแล่นไปตามเส้นเลือดของข้าตลอดการเดินทาง แต่ถ้าให้เลือกจริง ๆ คำว่า ‘ตื่นตะลึง’ ก็คงใกล้เคียงที่สุดแล้ว เห็นไหมล่ะ ข้ารู้ตัวว่าจะได้เป็นนักเวทจาก… ก็นะ ความทรงจำแรก ๆ เลย ข้าแตกต่างจากคนอื่นที่ค้นพบเส้นทางสู่หมู่โถงอันตระการตาของอาเรทูซา (รวมไปถึงบานอาร์ดด้วย) เพราะข้าถูกชะตาลิขิตไว้แล้ว อย่างน้อยก็ตามที่ท่านป้าออโรราและท่านป้าแอ็กเนสซึ่งเป็นเพื่อนรักของท่านได้บอกข้าไว้ (ท่านป้าแอ็กเนสก็เป็นป้าอีกคนที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้ไกล้ชิดกันนัก) การได้รู้ว่าตัวเองจะได้เป็นนักเวทหญิงในอนาคต นั่นหมายถึงข้าได้ใช้ช่วงเวลาในวัยเด็กจินตนาการถึงสิ่งที่กำลังจะได้เป็นอย่างทะเยอทะยาน และสำหรับเด็กที่ใจร้อนแบบข้า การรอคอยนั้นถือว่าเป็นอุปสรรคแสนเย้ายวนที่ระคนไปด้วยความทรมาน ด้วยท่าทางร้อนรนของข้า ท่านป้าออโรราจึงยืนกรานอยู่เนือง ๆ ว่าโอกาสที่อาเรทูซาจะรับเด็กเตาะแตะเข้าเรียนนั้นมีค่าเท่ากับศูนย์ ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กเตาะแตะคนนั้นจะอ้อนวอนอย่างไรก็ตาม ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
เมื่อยังเด็กข้าใช้เวลาส่วนใหญ่จินตนาการว่าตัวเองเป็นจอมเวทหญิง แบบที่สวมหมวกแหลม ๆ กับเสื้อคลุมยาวสะบัดพริ้วและถือคทาวิเศษด้วยท่างท่าชวนสะดุดตา แม้ในตอนนั้นข้าจะรู้ดีว่าในความเป็นจริงพวกเขาไม่ได้เแต่งตัวแบบนั้นเลย ถึงข้าจะยังเป็นเด็กแต่ข้าก็รู้ เพราะข้าใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับพวกจอมเวทมาตลอด ยามที่ท่านป้าออโรราเดินทางออกจากกอส์ เวเลนไปเยี่ยมเพื่อนสนิทมิตรสหาย ท่านก็จะพาข้าติดสอยห้อยตามไปด้วย ข้ายังเคยเจอสมาชิกผู้ก่อตั้งสภาผู้มีพรสวรรค์และศิลปะด้านเวทมนตร์ครบทุกคนก่อนที่ข้าจะเดินหรือพูดได้เสียอีก ซึ่งว่ากันตามตรงก็ถือเป็นอภิสิทธิ์ที่ไม่ได้มีกันง่าย ๆ
อันที่จริงเหตุการณ์ครั้งนั้นคือตอนที่ข้าประสบกับสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่า “การสำแดงพลัง” เป็นครั้งแรก (คือครั้งแรกที่เด็กแสดงให้เห็นว่าสามารถเชื่อมต่อกับพลังเวทมนตร์ได้) ตอนนั้นข้าก็จำอะไรไม่ได้หรอก แต่พอข้าโตขึ้นก็ถูกกรอกหูด้วยเรื่องราวในวันนั้นเสมอ อีกหลายปีต่อมาข้ายังยิ้มอย่างภาคภูมิทุกครั้งที่นึกถึงภาพของท่านจอมเวทเฮอร์เบิร์ท สแตมเมลฟอร์ดกำลังกระพือผ้าคลุมอย่างบ้าคลั่งเพื่อสลัดก้อนขี้ม้าออกไปพร้อมกับแหกปากลั่น ‘สยอง! สยองบรรลัย!’ ก็นั่นล่ะนะ… ถึงจะขุ่นเคืองที่เขากล่าวหาว่าข้าใช้มือปาก้อนขี้ม้าใส่เขา และไม่ยอมเชื่อว่าเด็กเล็ก ๆ ‘โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง!’ แบบข้า จะสามารถใช้พลังเวทเคลื่อนย้ายวัตถุได้ ครั้งล่าสุดที่ได้เจอกันปรากฏว่าเขาลืมเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว และยังสงสัยว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง ๆ หรือ แต่ข้าคิดว่าเขาคงอับอายมากกว่า
เอาล่ะ กลับไปตอนที่ข้านั่งรถม้าอืด ๆ คันนั้นไปยังโรงเรียนอาเรทูซาเป็นครั้งแรก ข้าอายุสิบเอ็ดปีซึงถือว่าเด็กกว่าอายุเฉลี่ยของพวกนักเรียนใหม่ และข้าก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อยเลย (ทุกวันนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่เดินทางด้วยประตูมิติ แม้จะมีบทเรียนเรื่องความอดทนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ตาม ข้าคิดว่าท่านป้าน่าจะชอบการสอนทั้งในและนอกห้องเรียน) ข้ายังเคยเห็นโรงเรียนอยู่ไกล ๆ อีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนั้นพวกเขายังไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ท่านป้าออโรราจะยืนกรานอย่างสงบนิ่งและหนักแน่นทุกครั้งที่ข้าพยายามอ้อนวอนขอ ‘เด็กน้อย… เจ้าจะได้เข้าไปเมื่อเจ้าพร้อม’ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังได้พักอยู่ใกล้ ๆ ท่านในกอส์ เวเลนตอนที่ท่านออกไปสอนหนังสือ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ทำให้ข้าได้ใช้เวลาจ้องมองโรงเรียนจากอีกฝั่งหนึ่งของอ่าวได้นานเท่าที่ต้องการ พอมาคิดดูอีกที นั่นเหมือนเป็นคำสาปมากกว่าพระพร เพราะมันไม่ได้มอบสิ่งใดให้ข้าเลยนอกจากโหมกระพือเปลวไฟในใจให้ร้อนรนยิ่งขึ้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ข้ากำลังรู้สึกโหยหาอดีตอย่างท่วมท้นเมื่อได้จ้องมองข้อความที่ข้าเขียนไว้เมื่อนานมาแล้ว ข้อความแรกที่ข้าบันทึกไว้หลังจากได้รับคำแนะนำจากท่านป้าออโรรา จริง ๆ แล้วข้าเขียนมันลงบนเศษกระดาษแผ่นสำรองตอนที่รถม้าของเราแวะพักก่อนถึงโรงเรียนอาเรทูซา
‘ถึงแล้ว ข้ามาถึงที่นี่แล้ว! นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเลยล่ะ!’
จำได้ว่าข้ากระโดดจากรถม้าลงไปยืนตะลึงตาโตอ้าปากค้างอยู่หน้าโรงเรียน ในตอนนั้นข้าไม่เคยรู้สึกมั่นใจขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิตว่าสิ่งเดียวในโลกที่ข้าต้องการก็คือ การได้เป็นนักเวทหญิงแห่งอาเรทูซา
ช่างน่าขำที่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
บทที่ 2
สำหรับท่านผู้ไร้โชคที่ยังไม่เคยได้ยลโฉมอาเรทูซาและเกาะอันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งนี้ ข้าอยากขอให้ท่านลองหาโอกาสดูสักครั้ง เพราะมันช่างแสนงดงามทั้งภายในและภายนอก แต่ข้าเกรงว่าท่านอาจไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่อาคารอันสลับซับซ้อนนี้ เว้นแต่ท่านจะมีกิจธุระสำคัญหรือเป็นผู้ทรงอิทธิพลจริง ๆ เหล่าผู้มาเยือนและแม้แต่ผู้ที่มาขอคำแนะนำจะถูกจำกัดบริเวณให้อยู่แต่ภายในล็อกเซีย ซึ่งเป็นส่วนล่างสุดของเกาะ ถึงกระนั้นภาพทิวทัศน์จากกอส์ เวเลน ก็ยังถือว่างดงามตระการตา โดยเฉพาะในวันที่อากาศแจ่มใสจะสามารถมองเห็นเกาะธาเน็ดด์ได้ทั้งเกาะ พร้อมกับโครงสร้างจากหินก้อนมหึมาของปราสาทการ์สแตงที่ดูราวกับถูกสลักเสลาออกมาจากผาหินที่มันตั้งอยู่ ด้านบนของปราสาทมีโดมสีทองที่เปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงตะวัน และหอคอยตอร์ ลารา (หอคอยนางนวล) อันสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนชะง่อนผาสูง ส่วนยอดของมันมักถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก และแน่นอนว่าโรงเรียนอาเรทูซาเองก็ตั้งอยู่บนเกาะนี้ด้วย จะกล่าวว่ามันเป็นทิวทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาดก็ยังน้อยไป
ข้ายังคงอ้าปากค้างกับความงดงามทั้งหมดทั้งมวล แต่ในตอนนั้นข้ากลับรู้สึกถึงความน่าเกรงขามที่แผ่ซ่านออกมา
วันแรกของข้าที่อาเรทูซานั้น ‘ช่างเป็นเหตุการณ์ที่แสนวิเศษ!’ ตามที่ข้าจดบันทึกไว้ตอนนั้น ความตื่นเต้นที่ข้าเก็บงำเอาไว้มานานหลายปีได้เดือดปุด ๆ ขึ้นมาจนทะลักล้น และข้าก็ควบคุมตัวเองให้หยุดยิ้มไม่ได้เลย ข้ากระโดดโลดเต้นเหมือนตั๊กแตนที่ตื่นเต้น พร้อมกับยิงคำถามตลอดเวลาราวกับเด็กกระดี๊กระด๊า เพราะว่าข้าควบคุมตัวเองไม่ได้จริง ๆ โชคดีที่พวกเด็กหญิงคนอื่นกำลังสาละวนอยู่กับเรื่องกิริยามารยาทของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกตเห็นท่าทางของข้า
แต่ก็เหมือนกับคนทั่วไป ความกระตือรือร้น—หรืออาจเรียกว่าความกระตือรือร้นเกินไปของข้าได้มลายหายไปอย่างรวดเร็ว ข้าพบว่าบทเรียนแรกนั้นช่างง่ายดายและต้องยอมรับอย่างเจ็บปวดว่ามันน่าเบื่อมาก ๆ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของโรงเรียนเลย เป็นเพราะข้าคุ้นเคยกับเรื่องเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานมาตั้งแต่ยังเล็กต่างหาก แต่ข้าก็เข้าใจว่ามันเป็นวิถีทางที่ควรจะเป็นและข้าต้องปฏิบัติตาม ท่านป้าได้บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าข้าไม่ควรได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เพราะท่านไม่อยากให้นักเรียนคนอื่นคิดว่ามีการเลือกที่รักมักที่ชัง รวมไปถึงตัวข้าเองด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับคาบเรียนวิชาพื้นฐานที่แสนน่าเบื่อหน่ายแล้ว ข้าก็สนุกกับการสนทนาเรื่องเวทมนตร์และฝึกฝนมันอย่างจริงจังกับพวกนักเรียนคนอื่น มันน่าตื่นเต้นกับการได้เห็นความมหัศจรรย์ของคนที่ยังไม่คุ้นชินกับพลังที่พวกเขาจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ อย่างน้อย… ก็คนที่สอบผ่านล่ะนะ
ในตอนแรก ‘เด็กใหม่’ อย่างพวกเรามีกันอยู่เจ็ดคน แต่มีคนหนึ่งที่สอบคัดตัวไม่ผ่าน ซึ่งใคร ๆ ก็บอกว่าน่าเสียดายแต่ก็เป็นเรื่องที่พอคาดเดาได้ เพราะใช่ว่าเด็กทุกคนที่เคยสำแดงพลังจะมีความสามารถมากพอที่จะใช้เวทมนตร์ได้อย่างถูกต้อง จนถึงทุกวันนี้ข้ายังคงไม่อาจเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าบททดสอบพวกนั้นประเมินความสามารถของเราได้อย่างไร เพราะมันดูไม่สัมพันธ์กับเรื่องการใช้เวทมนตร์หรือความรู้ภาคปฏิบัติเลย บททดสอบที่ว่าประกอบไปด้วยการประเมินรูปทรง แบบแผน และองค์ประกอบต่าง ๆ พ่วงด้วยชุดคำถามแปลก ๆ ในหัวข้อแบบสุ่ม ๆ ตั้งแต่ข้าเข้าเรียนมาก็มีการเปลี่ยนแปลงบททดสอบเหล่านี้อยู่หลายครั้ง มักเป็นช่วงที่อธิการคนใหม่เข้ารับตำแหน่งพอดี และมันก็สมเหตุสมผลที่เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังสอบผ่านมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่สำคัญที่สุดในตอนนั้น (โอ้… จะขายหน้าขนาดไหน ถ้าหลานสาวผู้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ของออโรรา เฮนสัน เกิดสอบตกขึ้นมา ความอับอายขนาดนั้นย่อมเกินกว่าที่ใครจะรับได้อย่างแน่นอน)
อย่างที่ข้าบอกไปแล้วว่าช่วงแรก ๆ นั้นมีพวกจอมเวทฝึกหัดอยู่แค่หยิบมือ และหลายครั้งพวกเราก็ต้องเรียนร่วมชั้นกับพวกนักเรียนที่โตกว่า ระหว่างคาบเรียนแรก ๆ ข้าได้รู้จักเด็กหญิงที่ใจดีที่สุดซึ่งข้าสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่านางเป็นเพื่อน ชื่อของนางคือคาเลนา นางเรียนที่นี่มาสี่ปีแล้ว และข้าก็ชอบคาเลนาในทันที แม้นางจะไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด—จริง ๆ แล้วนางห่างไกลกับคำว่าฉลาดไปเยอะ แต่นางก็ทั้งเป็นมิตร ทั้งตลก ทั้งชอบเอาใจใส่และทำให้ข้ารู้สึกดีมาก ๆ นางเป็นเพื่อนแบบที่ข้าต้องการ และข้าก็รู้สึกขอบคุณเสมอมาที่ได้รู้จักกับนาง
หากจักรวาลต้องดำรงไว้ซึ่งความสมดุลดังที่เขาว่าไว้ เช่นนั้นแล้วในวันที่ข้าได้เพื่อนมาคนหนึ่ง ข้าก็สร้างศัตรูขึ้นมาคนหนึ่งด้วย นางมีชื่อว่ายานนา และนางก็เป็นหนึ่งในพวกนักเรียนเกียรตินิยมของอาเรทูซา ซึ่งหมายความว่านางได้จบการศึกษาแล้วและทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนพวกนักเรียนรุ่นน้องในบางครั้ง ข้าเกรงว่าการอธิบายด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับสิ่งที่นางทำให้ข้าต้องอับอายในชั้นเรียน เพราะมันเลวร้ายมาก ๆ นางมักจ้องหาโอกาสดูหมิ่นและเยาะเย้ยข้าต่อหน้าจอมเวทฝึกหัดคนอื่น ๆ ด้วยเหตุผลที่ข้าเองก็ไม่เข้าใจ เพียงแค่ข้าทำอะไรผิดพลาดหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป นางก็จะโวยวายว่าข้าเป็นพวกโง่เง่าไร้ความสามารถขึ้นมาทันที หรือในวันที่แย่ที่สุด นางก็จะลงโทษข้าให้ทำงานที่น่าเบื่อหน่ายอย่างการขัดถูห้องสุขา
ข้าเกลียดขี้หน้ายานนาเหลือเกิน แต่โชคร้ายที่ข้าต้องทนเข้าเรียนกับนางอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากอาเรทูซามีอาจารย์แบบทางการหรือที่เรียกว่า ‘นายหญิง’ อยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น อันที่จริงก็มีอยู่แค่สี่คนนั่นแหละ ซึ่งแต่ละคนก็เชี่ยวชาญเวทมนตร์คนละแขนงตามธาตุอันเป็นต้นกำเนิด—ได้แก่ น้ำ ลม ดิน และไฟ ทีนี้ท่านคงเข้าใจถึงสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าพวกจอมเวทรุ่นเยาว์สามารถฝึกเวทมนตร์ให้เชี่ยวชาญได้เพียงธาตุเดียวเท่านั้น... หากว่าเขาฝึกสำเร็จนะ (หลายคนก็ฝึกไม่สำเร็จหรอก) ที่ผ่านมามีจอมเวทเพียงคนเดียวที่เชี่ยวชาญการดึงพลังเวทมนตร์ได้ครบทั้งสี่ธาตุ เขามีนามว่า แยน เบ็กเกอร์
และในตอนนั้น ข้าก็อยากจะเป็นคนที่สองให้ได้
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
บทที่ 3
ท่านป้าออโรราเป็นผู้สอนสอนบทเรียนส่วนใหญ่ในช่วงเดือนแรก ๆ นักเรียนใหม่แทบไม่ได้เจออาจารย์คนอื่น ๆ เลย เนื่องจากเวทมนตร์ในธาตุที่พวกท่านเชี่ยวชาญนั้นต้องใช้ทักษะขั้นสูงจนยากเกินไปสำหรับพวกนักเรียนใหม่ อย่างที่บอกไปแล้วว่าท่านป้าของข้าเป็น ‘นายหญิงผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุน้ำ’ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นธาตุที่มีความปลอดภัยที่สุด ดังนั้นมันจึงเป็นธาตุแรกที่เหล่าจอมเวทหญิงต้องฝึกฝนให้ชำนาญ
ตลอดทั้งภาคเรียนเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนเวทมนตร์ธาตุน้ำ เริ่มจากเวทพยากรณ์ด้วยน้ำไปจนถึงคาถาควบคุมจิต ทำแผนผังประโยชน์ใช้สอยอันมากมายของมันและเรียนภาคทฤษฎีที่สลับซับซ้อนอย่างละเอียด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่าย ท่านคงพอนึกภาพออกว่าพวกเราใกล้จะได้ใช้เวทมนตร์อยู่รอมร่อ แต่กลับถูกตีตรวนไว้ด้วยตารางเรียนตามหลักสูตร ตอนนี้วิชาพื้นฐานที่แสนจะธรรมดาได้ผสมผเสกันจนกลายเป็นเพียงความทรงจำที่พร่ามัว แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังจำบททดสอบแรกของพวกเราได้อย่างชัดเจน
เราเจอบททดสอบนี้หลังจากที่ได้เรียนรู้ว่ามีเส้นกระแสพลังธาตุน้ำไหลเวียนอยู่ใต้พื้นดิน หรืออันที่จริงคือมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เส้นสายและจุดตัดของกระแสพลังเหล่านี้เป็นจุดที่นักเวทสามารถเข้าถึงแหล่งพลังงานเวทมนตร์และดึงเอาออกมาใช้ได้ง่ายที่สุด นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นในอุดมคติสำหรับการฝึกเวทมนตร์ของผู้ที่ยังไร้ประสบการณ์ บททดสอบแรกของพวกเราคือการค้นหาผลึกเวทมนตร์ที่อยู่ตรงไหนสักแห่งภายในเครือข่ายถ้ำใต้โรงเรียนอาเรทูซา มันถูกซ่อนลึกลงไปในเขาวงกตใต้ดินและถูกวางเอาไว้ตรงจุดที่มีพลังเวทมนตร์เข้มข้นที่สุดในบริเวณนั้น และบททดสอบที่ว่าก็คือ เราต้องหาตำแหน่งของเส้นกระแสพลังและจุดตัดที่มีพลังแรงที่สุด และตามรอยมันไปยังที่ซ่อนของผลึกเวทมนตร์ เป็นภารกิจที่ค่อนข้างง่ายดายเลยล่ะ
หรือตอนนั้นข้าก็คิดไปเองว่ามันง่าย
โชคดีที่พวกเราไม่ต้องเดินเข้าไปในถ้ำที่ทั้งมืดและชื้นแฉะแบบมือเปล่า เราได้รับอนุญาติให้นำอุปกรณ์หนึ่งชิ้นเข้าไปเป็นตัวช่วยในการค้นหาด้วย พวกนักเรียนหญิงส่วนใหญ่ที่ไม่รู้ประสาอะไร ต่างเลือกใช้คทาวารีกันแทบทั้งนั้น ตัวเลือกนี้เหมือนจะดีเมื่อมองอย่างผิวเผิน แต่หากพิจารณาถึงการใช้งานจริง ๆ ก็จะเห็นจุดด้อยของมัน คทาวารีนั้นสามารถระบุตำแหน่งจุดตัดของกระแสพลังธาตุน้ำได้อย่างง่ายดายก็จริง แต่มันไม่สามารถบ่งบอกถึงความแตกต่างของระดับพลังงานได้ พูดสั้น ๆ คือ มันค่อนข้างไร้ประโยชน์ในบริเวณที่มีจุดตัดของกระแสพลังอยู่เต็มไปหมด
ข้าตัดสินใจเลือก ‘เจ้าวายร้าย’ ที่ดูไม่ค่อยสะดวกต่อการใช้งานเท่าไรนัก มันเป็นแมวลายอ้วนกลมตัวผู้ที่อาศัยอยู่ในอาเรทูซามานานแล้ว แต่ก็ไม่มีใครอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของมันเลย จะว่าไปมันก็เป็นเหมือนตัวนำโชคผู้ทรงเสน่ห์ของโรงเรียนมาตลอดช่วงอายุขัยของมัน (ซึ่งยาวนานอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียวล่ะ ถ้าข้าจำไม่ผิดนะ) ข้าเลือกเจ้าวายร้ายเพราะว่ามันก็เหมือนกับแมวส่วนใหญ่ที่สามารถสัมผัสถึงพลังงานเวทมนตร์ได้ และว่ากันว่าพวกมันชอบไปนอนอยู่ตรงจุดตัดของกระแสพลังที่ว่า บ่อยครั้งที่เจ้าวายร้ายมักจะหายหัวไปเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน ๆ ก่อนจะโผล่มาพร้อมกับออร่าที่เปล่งประกายงดงามรอบ ๆ ตัวมัน ข้าสงสัยมาตลอดว่ามันไปดูดซับพลังงานเวทมนตร์มาจากตรงไหน แล้วก็พอสรุปได้ว่ามันอาจจะไปนอนผึ่งพุงตรงใจกลางของเขาวงกตใต้โรงเรียน ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าจะต้องเป็นจุดที่ผลึกเวทมนตร์ถูกนำไปซ่อนไว้อย่างแน่นอน อย่างน้อยมันก็คุ้มที่จะลองเสี่ยงดู (หมายเหตุ: ไม่มีใครรู้ว่าพวกแมวดูดซับพลังงานเวทมนตร์ได้อย่างไร หรือจะทำไปเพื่ออะไร มันเป็นคำถามที่ค้างคาใจเหล่าจอมเวทขี้สงสัยมานานหลายศตวรรษและเป็นหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา)
ปรากฏว่าแผนของข้าใช้การได้…
ได้นิดเดียวน่ะ
ข้าใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงตามก้นเจ้าแมวที่เดินนวยนาดเข้าไปในถ้ำอย่างเฉยชาและเห็นได้ชัดว่ามันเดินอย่างไร้จุดหมาย มันมักจะหยุดและทิ้งตัวลงนอนอย่างไม่มีเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น บางทีก็หยุดพักเพื่อเลียขนตัวเอง หรือไม่ก็วิ่งไล่ตะปบก้อนกรวดที่บังเอิญสะดุดตามันเข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นสิ่งข้าควรจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่ตอนแรก ก็คือมีสัตว์ที่น่าขยะแขยงจำนวนมากอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ ทุกครั้งที่มีหนูโผล่ออกมาจากซอกหลืบ เจ้าวายร้ายก็จะเปิดฉากไล่ล่าพวกมันทันที จำได้ว่าตอนนั้นข้าอยากได้คทาวารีจนใจจะขาด หลังจากที่เพื่อนขนฟูของข้าหายลงไปในช่องแคบ ๆ เพื่อไล่จับเจ้าหนูตัวอ้วน กว่ามันจะกลับมาอีกทีก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว
ผ่านไปจนเกือบหมดวัน เจ้าวายร้ายก็นำทางข้าไปถึงโถงลับได้ในที่สุด แต่มันกลับไม่ได้เป็นชัยชนะที่ข้าเฝ้ากระหายมาโดยตลอด เนื่องจากตรงนั้นเหลือผลึกเวทมนตร์อยู่เพียงแค่สองชิ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าข้าเป็นคนรองบ๊วยที่หามันเจอ ทำข้าคอตกไปเลยล่ะ และแม้ว่าข้าจะเดินออกมาจากถ้ำอย่างกระเง้ากระงอดแต่ไม่นานก็พบว่าสถานการณ์ของข้านั้นเลวร้ายกว่าที่คิด มันเลวร้ายยิ่งกว่านั้นเยอะ
เพราะยังเหลือผลึกเวทมนตร์ชิ้นสุดท้ายที่ไร้ผู้ครอบครองน่ะสิ
ซอรีย์กาเป็นหนึ่งในนักเรียนที่อายุมากที่สุดและฉลาดที่สุดในชั้นปีของเรา นางได้หายตัวไปในเครือข่ายถ้ำใต้ดิน ซึ่งพวกเราก็ถูกย้ำว่ามันเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้กับนักเรียนหนึ่งหรือสองคนในแต่ละปี แต่ไม่ว่าช้าหรือเร็วพวกนางก็จะหาทางกลับออกมาได้ในที่สุด แต่ตอนนี้ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว และยังคงไม่มีวี่แววของซอรีย์กา
คืนนั้นเอง ท่านอาจารย์นีน่า ฟีออราวานติ ‘นายหญิงผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุดิน’ ได้นำนักเรียนรุ่นพี่จำนวนหนึ่งเข้าไปค้นหาในถ้ำ พวกนางเคยเรียนเรื่องถ้ำใต้โรงเรียนมาแล้วในวิชาโบราณคดี จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับระบบถ้ำอยู่พอสมควร แต่ถึงกระนั้นในเขาวงกตก็ยังมีทางเดินอีกมากที่ยังตกสำรวจและทอดยาวลึกลงไปเกินกว่าที่พวกนางจะจินตนาการได้
พวกนางค้นหากันอยู่สิบสองชั่วโมงจนกระทั่งพบตัวซอรีย์กา และนางก็ออกจากอาเรทูซาไปในวันรุ่งขึ้นทันที ออกไปอย่างถาวรเลย
คาเลนาเล่าให้ข้าฟังว่านางบังเอิญได้พบกับซอรีย์กา ตอนที่ท่านคลารา ลาริสซา เดอ วินเทอร์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนและดำรงตำแหน่งเป็นอธิการ กำลังส่งนางขึ้นรถม้าตรงประตูด้านหน้า คาเลน่าบอกว่าซอรีย์กาอยู่ในสภาพต่างไปจากเดิมที่เคยร่าเริงอย่างลิบลับ ใบหน้าของนางซีดเผือด แววตาเหม่อลอยและดูว่างเปล่าราวกับตกอยู่ในภวังค์ลึก เมื่อคาเลนาถามไถ่ว่านางเป็นอย่างไรบ้าง นางกลับไม่สนใจหรือไม่ได้ยินอะไรเลยทั้งนั้น… ตามที่คาเลนาบรรยายไว้ นางอยู่ตรงไหนสักแห่งระหว่างสภาวะตัวแข็งทื่อกับอาการเป็นอัมพาต
ข้ายังคงครุ่นคิดถึงถ้ำพวกนั้นนาน ๆ ครั้ง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับซอรีย์กาท่ามกลางความมืดมิดลึกลงไปใต้พื้นดินของอาเรทูซา หรือนางเห็นอะไรในวันนั้น ท่านอาจารย์ซึ่งรวมถึงท่านป้าของข้าด้วย ต่างยืนกรานที่จะไม่ชี้แจงสถานการณ์ดังกล่าวและตำหนิใครก็ตามที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ทั้งหมดทั้งมวลที่ข้ารู้มาก็คือ หลังจากที่ซอรีย์กาออกไปจากโรงเรียนแล้ว นายหญิงเดอ วินเทอร์ ก็สั่งให้ปิดตายทางเข้าออกถ้ำทั้งหมด และไม่มีการส่งนักเรียนไปทำภารกิจค้นหาผลึกเวทมนตร์ท่ามกลางความมืดอีกเลย
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
ไม่มีความคิดเห็น