ฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ (Francesca Findabair)
ฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ เป็นจอมเวทหญิงเอลฟ์เอนเชด์ (Aen Seidhe) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเมืองในแดนเหนือ เธอเป็นเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการยอมรับจากจอมเวทมนุษย์ จนได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาจอมเวท (Chapter of Wizards) ขององค์กรภราดรนักเวท (Brotherhood of Sorcerers) ในขณะเดียวกันพวกเอลฟ์ในแดนเหนือก็นับถือเธอในฐานะผู้นำด้วยเช่นกัน สถานะทั้งสองอย่างนี้สร้างความอึดอัดให้กับฟรานเชสกามาโดยตลอด เธอจำเป็นต้องร่วมมือกับมนุษย์เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ และยังต้องทรยศต่อเผ่าพันธุ์ตัวเองเพื่อความมั่นคงของดินแดนอันน้อยนิดที่เป็นความหวังสุดท้ายของพวกเอลฟ์
ฟรานเชสกาได้ชื่อว่าเป็นสตรีผู้งดงามที่สุดในโลก เหล่าเอลฟ์ขนานนามเธอว่า อินิด อัน เกล็นนา (Enid an Glenna) หรือ ดอกเดซี่แห่งหุบเขา เธอมีผมสีบลอนด์เข้มประกายทอง ดวงตากลมโตสีฟ้า มีบุคลิกสง่างามแบบเอลฟ์ที่เกิดในชนชั้นปกครอง และด้วยความที่เธอเป็นเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ ฟรานเชสกาจึงมีรูปโฉมที่ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอแม้จะมีอายุเกินร้อยปีไปแล้ว (ในนิยายฟรานเชสกาได้เข้าร่วมตรวจสอบแฝดสามแห่งปราสาทฮูทบอร์กหลังการก่อบฏของฟอลก้า ราว ๆ กลางศตวรรษที่ 12 และตอนนั้นยังถือว่าเธอเป็นจอมเวทหญิงที่มีอายุน้อย ส่วนในเกม Gwent ฟรานเชสกาได้เข้าร่วมต่อสู้ภายใต้การนำของเอลิเรนน์ แสดงว่าอายุของเธอในจักรวาลเกมนั้นอยู่ที่ราว ๆ 200 ปีเป็นอย่างต่ำ) อย่างไรก็ตาม แม้เธอจะดูไม่แก่เฒ่าแต่ก็ถือว่าพ้นวัยเจริญพันธุ์ของเอลฟ์ไปนานแล้ว ฟรานเชสกาจึงไม่สามารถมีทายาทได้
ในนิยายมีการกล่าวถึงบิดาของฟรานเชสกาโดยไม่เอ่ยชื่อ โดยระบุว่าเขาเป็นจอมเวทเอลฟ์ผู้มีพลังวิเศษทางสายเลือดที่เรียกว่า ปราชญ์เอลฟ์ (Elven Sage) ส่วนในเกม Gwent บิดาของฟรานเชสกามีชื่อว่า ซิมลาส ฟินน์ เอ็ป ดาแบร์ (Simlas Finn aep Dabairr) และเป็นผู้นำเอลฟ์แห่งโดล บลาธานนา (Dol Blathanna หรือหุบเขาแห่งบุปผา ซึ่งต่อมากลายเป็นดินแดนของอาณาจักรเอเดิร์น) ซิมลาสตัดสินใจหลีกเลี่ยงการทำสงครามกับมนุษย์ เนื่องจากเขามองเห็นอนาคตจากลูกแก้ววิเศษว่าสงครามจะทำให้เอลฟ์ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ส่วนมารดาของฟรานเชสกานั้นไม่มีการกล่าวถึงแต่อย่างใด
ฟรานเชสกามีนิสัยสุขุมเยือกเย็น เธอมักจะพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะแต่หนักแน่นชัดเจน ระหว่างดำรงตำแหน่งในสภาจอมเวท ฟรานเชสกาก็เป็นที่ยอมรับนับถืออย่างกว้างขวาง แต่การใช้ชีวิตท่ามกลางมนุษย์นั้นก็ไม่ได้ทำให้ทัศนคติของเธอต่อเผ่าพันธุ์นี้ดีขึ้นแต่อย่างใด ฟรานเชสกายังคงเกลียดชังมนุษย์และหาทางกอบกู้ดินแดนโดล บลาธานนา กลับคืนมาให้ได้ จนกระทั่งช่วงท้ายของสงครามแดนเหนือครั้งที่ 1 จักรพรรดิแห่งนิลฟ์การ์ดก็ยื่นข้อเสนอที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้
ข้อเสนอที่ว่านั้นคือพระองค์จะมอบดินแดนโดล บลาธานนากลับคืนให้พวกเอลฟ์ในฐานะอาณาจักรที่มีเอกราชเป็นของตัวเองและฟรานเชสกาจะได้รับการสถาปนาเป็นราชินี โดยทั้งหมดนี้แลกกับการที่เธอจะต้องร่วมมือกับวิลเกฟอตซ์เพื่อก่อกบฏบนเกาะธาเนดด์ และโดล บลาธานนาจะต้องตัดขาดกับกองกำลังสกอยาเทลและห้ามรับพวกเขาเข้ามาอยู่อาศัยอย่างเด็ดขาด เนื่องจากจักรพรรดิเอเมียร์ต้องการให้เอลฟ์กองโจรพวกนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับแดนเหนือต่อไป
เมื่องานชุมนุมเหล่านักเวทบนเกาะธาเนดด์มาถึง ฟรานเชสกาก็สั่งให้กองกำลังเอลฟ์แล่นเรือเข้าไปในโพรงถ้ำด้านล่างของเกาะและซ่อนตัวในสุสานใต้ดินเพื่อรอสัญญาณโจมตี แต่คืนก่อนหน้านั้นฟรานเชสกาถูกจับใส่กุญแจมือไดเมอริเทียมเช่นเดียวกับวิลเกฟอตซ์และเหล่าจอมเวทผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเขาถูกนำตัวไปเปิดโปงต่อหน้าจอมเวทอื่น ๆ แต่ทิสซายอาเห็นว่าเป็นการกล่าวหาโดยไร้หลักฐาน เมื่อฟิลิปปาและจอมเวทผู้ภักดีต่อแดนเหนือยังดึงดันที่จะจับกุมผู้ทรยศ ทิสซายอาจึงปลดผนึกต่อต้านเวทมนตร์ในปราสาทการ์สแตงออก แล้วการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น ฟรานเชสกาเปิดประตูให้พวกสกอยาเทลออกมาจากใต้ดิน แต่ก่อนที่เธอจะหนีออกมา ฟรานเชสกาก็ใช้คาถากักขังเยนเนเฟอร์ไว้ในตุ๊กตาหยก เพราะรู้ดีว่าเรียนซ์จะต้องกลับมาล้างแค้นเยนเนฟอร์ สุดท้ายฟรานเชสกาก็เปิดประตูมิติหนีออกไปจากเกาะพร้อมกับตุ๊กตาหยกตัวนั้น
หลังจากไม่นานฟรานเชสกาก็กลายเป็นราชินีแห่งโดล บลาธานนา ตามที่จักรพรรดิเอเมียร์ให้สัญญาเอาไว้ แต่พวกมนุษย์ได้ฉกชิงทรัยพ์สมบัติและเผาพระราชวังก่อนที่จะอพยพออกมา ดินแดนที่เธอได้รับจึงเหลือเพียงซากปรักหักพังและเถ้าถ่าน แต่ถึงกระนั้นฟรานเชสกาและเอลฟ์อีกราว ๆ 2,000 ตน ก็ยังพยายามฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมางดงามดังเดิมอีกครั้ง
เมื่อภราดรนักเวทล่มสลายลง ฟิลิปปาที่พยายามก่อตั้งสมาคมลับนักเวทหญิง (Lodge of Sorceresses) ก็ติดต่อมายังราชินีเอลฟ์เพื่อเชิญให้เข้าร่วมด้วย โดยเสนอให้ฟรานเชสกาเชิญเอลฟ์จอมเวทหญิงอีก 2 คนมาเป็นสมาชิกด้วย ซึ่งคนที่เธอเลือกก็คือไอด้า เอเมียน (Ida Emean) และเยนเนเฟอร์ จอมเวทหญิงทั้งสามเทเลพอร์ตไปเข้าร่วมประชุมที่ปราสาทมอนเตคาลโว และฟรานเชสกาได้เล่าเรื่องสายเลือดเอลฟ์โบราณที่ตกทอดมาถึงซีรี ก่อนที่การประชุมจะจบลงด้วยการหายตัวไปของเยนเนเฟอร์
หลังจากสงครามแดนเหนือครั้งที่ 2 จบลง นิลฟ์การ์ดและแดนเหนือได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพแห่งซินทรา ผลของการเจรจาทำให้โดล บลาธานนา ต้องสูญเสียเอกราชและกลับไปอยู่ภายใต้อาณาจักรเอเดิร์นอีกครั้งในฐานะเขตปกครอง (duchy) สถานะของฟรานเชสกาถูกลดจากราชินีลงไปเป็นดัชเชส และเนื่องจากเธอไม่สามารถมีทายาทได้ จึงมีการแต่งตั้งให้ทายาทรุ่นหลานของราชาเดมาเวนด์เป็นผู้ปกครองคนใหม่หากฟรานเชสกาเสียชีวิตหรือสละตำแหน่ง นอกจากนี้โดล บลาธานนา จะต้องยินยอมให้ประชาชนที่เป็นมนุษย์เข้าไปตั้งรกรากได้อย่างปลอดภัย ฟรานเชสกายอมทำตามเงื่อนไขทุกประการ ยกเว้นการถวายความเคารพต่อราชาเดมาเวนด์ แต่เธอก็ให้สัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเอเดิร์น
ในอีกหลายร้อยปีหลังยุคสมัยของเกรอลท์ ฟรานเชสกาได้อพยพประชากรเอลฟ์ทั้งหมดไปจากโดล บลาธานนาผ่านทางประตูมิติ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเอนเชด์อพยพไปที่ใด เนื่องจากไม่มีหลักฐานหลงเหลืออยู่เลย แม้แต่ภาพเขียนของฟรานเชสกาก็ถูกพวกเอลฟ์ทำลายทิ้งจนหมด
Original Novel
Time of Contempt
สตรีผู้เลอโฉมนางหนึ่งกำลังเดินมาทางด้านหลังคนทั้งคู่ นางมีผมสีบลอนด์ทองเข้มซึ่งยาวมาก สวมชุดกระโปรงสีเขียวหม่นประดับลูกไม้ที่พริ้วไหวยามเมื่อนางเยื้องกราย
‘ฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ หรือที่เรียกกันว่า อินิดอันเกล็นนา... ดอกเดซี่แห่งหุบเขา อย่าได้ละสายตาเชียวล่ะ วิทเชอร์ นางถูกยกย่องให้เป็นสตรีผู้งดงามที่สุดในโลกเลยนะ’
‘นางเป็นสมาชิกสภาด้วยหรือ?’ เขากระซิบถามด้วยความประหลาดใจ ‘นางยังดูอ่อนเยาว์มาก เป็นเพราะยาวิเศษที่ว่าใช่ไหม?’
‘ไม่ใช่ในกรณีของนาง ฟรานเชสกาเป็นเอลฟ์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ต่างหาก [...]’
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
‘เด็ก ๆ พวกนั้นกำลังล้มตายนะเดซี่ พวกเขาพลีชีพกันทุกวัน ตายในศึกเสียเปรียบทุกด้าน นี่เป็นผลโดยตรงจากสนธิสัญญาลับกับเอเมียร์ พวกมนุษย์จะบุกมาบดขยี้หน่วยจู่โจม พวกเขาคือลูกหลานเรา คืออนาคตของเรา! คือสายเลือดของเรา! แล้วท่านกลับบอกข้าให้แบ่งแยกพวกเขาออกไปอย่างนั้นหรือ? เกสเซน เม ดิเซ็ตเต อินิด? วอร์เซคเคลลัน? เอน เวน?’ (ท่านกำลังจะบอกอะไรกับข้า เดซี่? ให้ทอดทิ้งพวกเขา? ปล่อยให้ตายอย่างไร้ค่า?)
ผีเสื้อตัวนั้นบินจากไป กระพือปีกโบยบินออกไปทางหน้าต่าง แต่กลับหมุนคว้างกลางอากาศจากกระแสลมฤดูร้อน ฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ หรือ อินิดอันเกล็นนา ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแค่จอมเวทหญิง แต่บัดนี้ได้กลายเป็นราชินีของเอนเชด์… เหล่าเอลฟ์อิสระ นางเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าแสนงดงามมีประกายของหยาดน้ำตา
‘พวกหน่วยจู่โจม’ นางย้ำด้วยเสียงแผ่วเบา ‘ต้องสู้ต่อไป พวกเขาต้องสร้างความวุ่นวายให้กับอาณาจักรต่าง ๆ ของมนุษย์และขัดขวางการเตรียมตัวสู้ศึกสงคราม เป็นคำสั่งของเอเมียร์ และข้าไม่อาจคัดค้านเอเมียร์ได้ อภัยให้ข้าด้วย… ฟิลาวันเดรล’
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
Baptism of Fire
ฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ทั้งชุดกระโปรงหรูหราสีแดงสดเหมือนเลือดกระทิง ทั้งทรงผมของนางที่ถูกจัดแต่งอย่างสง่างาม ทั้งสร้อยคอทับทิม และดวงตากลมโตที่ถูกแต่งแต้มอย่างเย้ายวนด้วยเครื่องประทินโฉมตามแบบฉบับเอลฟ์
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
The Lady of the Lake
‘แล้วรูปเหมือนของฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ ฝีมือจิตรกรเอลฟ์ที่แขวนอยู่ในห้องจัดแสดงที่เมืองเวนเกอร์เบิร์กล่ะเจ้าคะ?’ คอนไวราเมอร์สเอ่ยถาม
‘ของปลอมน่ะ พอประตูเปิดออกและพวกเอลฟ์เดินทางจากไป พวกเขาก็นำงานศิลปะไปด้วยหรือไม่ก็ทำลายทิ้ง ไม่มีภาพเขียนหลงเหลืออยู่แม้แต่ภาพเดียว เราจึงไม่อาจรู้ได้ว่าดอกเดซี่แห่งหุบเขานั้นงดงามอย่างที่ตำนานเล่าไว้หรือเปล่า [...]’
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
ฟรานเชสกาและวานาเดนเผชิญหน้ากับพวกชาวบ้านในโดล บลาธานนา |
Gwent: The Witcher Card Game
Francesca Findabair
บันทึกม้วนที่ 1: ฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ หรือที่รู้จักกันในนาม อินิดอันเกลนนา นั้นเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดบนมหาทวีป ทั้งในหมู่เอลฟ์และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ แต่นางยังเป็นสตรีที่โศกเศร้ามากที่สุดด้วย เพราะสิ่งที่นางวาดฝันไว้ได้กลายเป็นจริงขึ้นมา...
บันทึกม้วนที่ 2: สิ่งที่ฟรานเชสกาปรารถนาที่สุดคือการได้ดินแดนโดล บลาธานนา หรือหุบเขาแห่งบุปผากลับคืนมาจากพวกมนุษย์และสร้างอาณาจักรของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ขึ้นมาอีกครั้ง สงครามระหว่างแดนเหนือกับนิลฟ์การ์ดได้ทำลายกฎเกณฑ์เดิม ๆ และเปิดโอกาสให้ความฝันของนางป็นจริงขึ้นมาได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นก็มากมายเหลือเกิน...
บันทึกม้วนที่ 3: เพื่อให้ได้ดินแดนโดล บลาธานนากลับคืนมา ฟรานเชสกาต้องเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับจักรพรรดิเอเมียร์ วาร์ เอ็มรีส แห่งนิลฟ์การ์ดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อถึงเวลาเจรจาสงบศึก นางก็ต้องส่งตัวพวกสกอยาเทลไปรับโทษทัณฑ์จากราชสำนักนิลฟ์การ์ด
บันทึกม้วนที่ 4: ฟรานเชสกาตัดสินใจอย่างไม่ลังเล หน่วยสกอยาเทลเพียงไม่กี่สิบคนแลกกับอนาคตของอาณาประชาราษฎร์ เมื่อเทียบจำนวนชีวิตที่ถูกวางเป็นเดิมพัน ก็ต้องถือว่านางตัดสินใจด้วยความเมตตากรุณาแล้ว แต่สิ่งที่จะช่วยเยียวยาหัวใจของนางไม่อาจหาได้จากการคำนวณที่แสนเย็นชา
หีบใบที่ 1: อันเนื่องมาจากสนธิสัญญาสันติภาพแห่งซินทรา อำนาจอธิปไตยของโดล บลาธานนาจะตกเป็นของพวกเอลฟ์ อย่างไรก็ตามข้อตกลงนี้ไม่ได้มีเงื่อนไขระบุว่าจะส่งมอบมันในสภาพใด ด้วยช่องโหว่นี้ผู้อยู่อาศัยเดิมจึงหยิบฉวยทุกอย่างที่พอจะหยิบได้และเผาสิ่งที่เหลือก่อนจะหนีออกมา หุบเขาแห่งบุปผาอันเป็นที่รัก… แต่สิ่งที่ฟรานเชสกาได้รับกลับมาคือหุบเขาแห่งเถ้าถ่าน
หีบใบที่ 2: ฟรานเชสกาพยายามกอบกู้หุบเขาแห่งบุปผาให้กลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง แต่เป้าหมายของนางนั้นทำได้ยากกว่าที่คาดการณ์ไว้ พระราชวังที่ถูกทำลายยังสามารถซ่อมแซมได้ สวนที่ถูกเผาก็ยังสามารถปลูกทดแทนขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากถูกมนุษย์ขับไล่ออกไปเป็นเวลานาน เหล่าเอลฟ์ก็หลงลืมวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมดั้งเดิมไปจนเกือบหมดจากการถูกแวดล้อมด้วยวิถีชีวิตของมนุษย์ ดูเหมือนว่าโดล บลาธานนาจะไม่สามารถหวนคืนสู่สิ่งที่มันเคยเป็นได้อีกแล้ว
หีบใบที่ 3: ฟรานเชสกาตระหนักดีว่าการตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจทำให้หุบเขาแห่งบุปผาต้องพินาจอีกครั้ง นางจึงอดทนต่อการยั่วยุอย่างไม่หยุดหย่อนของเหล่าเพื่อนบ้าน แต่ถ้าใครพยายามบุกเข้ามาในเขตแดนของโดล บลาธานนา ฟรานเชสกาก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอาณาจักรและประชาชนของนาง
ซิมลาส ฟินน์ เอ็ป ดาแบร์ ผู้เป็นบิดาของฟรานเชสกา |
Duchess of Dol Blathanna (Polish Version)
บันทึกม้วนที่ 1: ครั้งหนึ่งฟรานเชสกา ฟินดาแบร์ ไม่เคยศรัทธาเรื่องการทูตเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะการทูตกับพวกมนุษย์ ในสายตาของนาง “พวกดวานน์*” เป็นเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อนที่มีอายุขัยสั้น ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความละโมบและเล่ห์เหลี่ยมสารพัด การเจรจากับพวกเขาจึงไม่เกิดประโยชน์โพดผลใด ๆ ทั้งสิ้น
บันทึกม้วนที่ 2: เมื่อพูดถึงจอมรุกรานเผ่าพันธุ์นี้ ซิมลาส ฟินน์ เอ็ป ดาแบร์ ปราชญ์เอลฟ์ผู้เป็นบิดาของนางก็ดูถูกดูแคลนพวกมนุษย์เช่นกัน นี่เป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่นางเห็นด้วยกับเขาและนางยังชอบอ้างถึงคำพูดของบิดาที่ได้เคยยินมาตั้งแต่เด็กอยู่เป็นประจำ ‘มีแต่ผู้ด้อยสติปัญญาเท่านั้นที่จะหลงเชื่อคำพูดของพวกมนุษย์’
บันทึกม้วนที่ 3: แต่แล้วบิดาของนางก็ต้องเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อพวกมนุษย์ หรืออย่างน้อยก็เปลี่ยนกลยุทธในการรับมือ การแยกตัวออกมาจากพวกมนุษย์นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะลิงไร้หางพวกนี้จะตามมารุกรานอย่างไม่ลดละ การทำสงครามไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ไม่ใช่เพราะปราญช์เอลฟ์เกรงกลัวว่าจะพ่ายแพ้ แต่เป็นเพราะว่าเขาได้ใช้ลูกแก้วเวทมนตร์แห่งการหยั่งรู้ตรวจดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมองเห็นว่าสงครามจะนำไปสู่การกวาดล้างเผ่าพันธุ์เอลฟ์
บันทึกม้วนที่ 4: เพื่อไม่ให้เผ่าพันธุ์ต้องสูญสิ้น ซิมลาสจำต้องกล้ำกลืนความหยิ่งทะนงของเขาและยอมเจรจาสันติภาพกับพวกมนุษย์ เขาเชื่อว่าเหล่าเอลฟ์สามารถใช้ชีวิตอันยืนยาวอยู่ในฐานที่มั่นจนกว่าพวกดวานน์จะเข่นฆ่ากันเองจนหมด แต่แผนของปราชญ์เอลฟ์ก็ต้องล้มเหลวจากการรุกรานของมนุษย์และยังสร้างความขุ่นเคืองให้กับเอลฟ์บางส่วน และหนึ่งในนั้นก็คือลูกสาวที่ดื้อรั้นของเขาเอง
หีบใบที่ 1: ฟรานเชสกาไม่อาจยอมรับเรื่องที่บิดาตัดสินใจหลีกเลี่ยงสงครามกับพวกดวานน์ นางเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขี้ขลาดและยังคิดว่าซิมลาสอาจมองเห็นอนาคตผิดไป เนื่องจากลูกแก้ววิเศษจะแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ดังนั้นนางจึงเห็นว่าการตัดสินใจของบิดาเป็นเหมือนการถ่มน้ำลายใส่หน้าเหล่าเอลฟ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะเอลฟ์ที่ยังติดอยู่ตามเมืองต่าง ๆ และถูกคุกคามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ถึงแม้ว่านางจะพยายามอ้อนวอนเท่าไรก็ตาม ซิมลาสยังคงยืนกรานว่าจะไม่ส่งคนของเขาออกไปตายและยังสั่งห้ามลูกสาวไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด แต่ฟรานเชสกาก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น หลังจากได้เห็นความกล้าหาญของนักรบหญิงเอลิเร็นน์ ฟรานเชสก้าก็ขัดคำสั่งบิดาและรวบรวมผองเพื่อนเข้าร่วมสงครามปฏิวัติ
หีบใบที่ 2: คำพยากรณ์ของซิมลาสกลายเป็นจริงและตามมาด้วยโศกนาฏกรรม การลุกขึ้นต่อต้านมนุษย์ของเอลิเร็นน์จบลงอย่างรวดเร็ว เอลฟ์หนุ่มสาวจำนวนมากพลีชีพอย่างสูญเปล่าและกองกำลังต่อต้านก็ถูกสังหารอย่างไร้ความปรานี โชคดีที่ฟรานเชสการอดชีวิตมาได้ แต่ความดื้อรั้นที่นางแสดงออกต่อบิดานั้นทำให้สหายของนางต้องล้มตายลงจนเกือบหมด อาณาจักรของเหล่าเอลฟ์มีอันต้องล่มสลาย ด้วยความโกรธที่ลูกสาวขัดคำสั่ง ซิมลาสจึงสาบานว่าในเมื่อนางไม่ยอมฟังที่เขาพูด เขาก็จะไม่พูดกับนางอีกเลย และเขาก็รักษาคำสัตย์นี้ไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
หีบใบที่ 3: หลังจากความพ่ายแพ้ของเหล่าเอลฟ์หนุ่มสาว ฟรานเชสกาก็หยุดดื้อรั้น ความคิดที่จะรบราฆ่าฟันกับมนุษย์นั้นหมดสิ้นไปพร้อม ๆ กับเหล่าสหายที่สิ้นชีวิตลง หรืออีกนัยหนึ่งชีวิตได้มอบบทเรียนให้กับนาง แทนที่จะชิงลงมือทำสิ่งที่ต้องการทันที นางเริ่มลงมืออย่างชาญฉลาดจนกระทั่งกลายเป็นจอมวางแผนผู้สุขุมรอบคอบและเยือกเย็น ซึ่งเป็นสิ่งที่บิดาของนางอยากให้เป็นมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ซิมลาสก็คงหน้าซีดเผือดหากเขาได้เห็นสนธิสัญญาที่ลูกสาวทำไว้กับจักรพรรดิแห่งนิลฟ์การ์ด
หมายเหตุ: ดวานน์ (dh'oine) ในภาษาเอลฟ์แปลว่า มนุษย์
ไม่มีความคิดเห็น