สรุปเนื้อเรื่องคอมิกส์ The Witcher: House of Glass เล่ม 5 (ตอนจบ)

เนื้อหานี้ทำขึ้นเพื่อสรุปเรื่องราวให้กับผู้ที่สนใจคอมิกส์ House of Glass สามารถอ่านตัวอย่างและซื้อในรูปแบบ ebook ได้ที่ digital.darkhorse.com | Goolgle Play Books | Amezon.com


The Witcher: House of Glass

วางจำหน่ายครั้งแรก: ปี 2014 ความยาว 5 เล่มจบ สำนักพิมพ์ Dark Horse Comics

เนื้อเรื่อง Paul Tobin | ภาพ Joe Querio | ลงสี Carlos Badilla | อักษร Nate Piekos

 

📜 อ่านสรุปเนื้อเรื่องเล่ม 1-2 | อ่านสรุปเนื้อเรื่องเล่ม 3-4 📜

 

เล่ม 5

เกรอลท์เดินขึ้นบันไดไปจนสุดทาง มันพาเขาไปยังห้องที่มีผนังกระจกสีเป็นรูปภาพนายพรานกำลังยืนบีบคอหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ รอยร้าวปรากฏขึ้นบนแผ่นกระจกตรงลำคอของเหยื่อราวกับมันกำลังถูกบีบรัดไปด้วย นกน้อยร้องเรียกเกรอลท์ให้หันไปมองซากศพแห้ง ๆ ที่นอนนิ่งอยู่กลางห้อง... มันคือร่างของมาร์ทา

วิทเชอร์หันกลับไปมองรอยร้าวบนแผ่นกระจกสีที่ตัดผ่านภาพของหญิงสาวผู้ถูกกระทำ มาร์ทาปรากฏตัวขึ้นและขอให้เขาลดดาบลงก่อน แต่วิทเชอร์ยังไม่ไว้ใจเธอ มาร์ทาจึงเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนที่เธอจะกลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ต้องคำสาปและติดอยู่ในคฤหาสน์กระจกสีหลังนี้

มาร์ทาบอกว่าเธอไม่ใช่บรุกซาแบบที่เจคอบอยากให้เธอเป็น แต่เธอติดอยู่ระหว่างโลกของคนเป็นกับโลกของคนตายด้วยอำนาจลึกลับของคำสาป เกรอลท์บอกว่าเขาเองก็สงสัยเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก เพราะตราประจำสำนักมันเริ่มสั่นตั้งแต่ตอนที่เขาพบเจคอบครั้งแรก นายพรานมีร่องรอยคำสาปประทับติดตัวและมันก็ดึงดูดดราวเนอร์ให้จู่โจมเขา และหลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวที่ปรากฏบนผนังกระจกสีทั้งหมด เกรอลท์ก็ถามมาร์ทาอย่างไม่อ้อมค้อม

“เจคอบฆ่าเจ้าใช่ไหม?”

มาร์ทาหันมาสบตาวิทเชอร์ด้วยสีหน้าเจ็บปวดไม่แพ้เรื่องราวที่พรั่งพรูผ่านคำพูดของเธอ พ่อของมาร์ทาขายเธอให้กับเจคอบแลกกับเหรียญเงิน 21 เหรียญและหนังจิ้งจอก 7 ผืน เธอถูกนายพรานใช้กำลังบังคับให้ร่วมหลับนอนด้วย ซึ่งเจคอบเรียกการกระทำของเขาว่า “ความรัก” แต่มาร์ทาไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย เมื่ออยู่ตามลำพังเธอจึงหาวิธีเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำด้วยการออกไปเก็บเปลือกหอยตรงชาดหาย เปลือกหอยสวย ๆ ที่บอกเล่าถึงชีวิตอันงดงามจากโลกใบอื่น อย่างน้อยมันก็งดงามกว่าโลกที่เธอกำลังเผชิญอยู่

เจคอบมักชอบเล่าให้คนอื่นฟังว่าเขากับเธอรักกันมาก ใคร ๆ ต่างก็เชื่อเรื่องราวชีวิตรักอันแสนอบอุ่นที่เขาแต่งมันขึ้นมา แต่ถ้าเขารักเธออย่างที่พูดจริงก็คงไม่เอาเปลือกหอยสวย ๆ ที่เธอเก็บสะสมไว้มาทุบจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพียงเพราะว่าเขาอยากเอามันไปประดับบนด้ามมีดสั้นเล่มใหม่เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้มาร์ทาจึงต้องนำเศษเปลือกหอยไปให้ “ทาลตัน” ช่างตีเหล็กใช้ประดับด้ามมีดตามคำสั่งของเจคอบ แล้วมาร์ทาก็ได้พบกับ “ความรัก” ของเธอบ้าง ตลอดสามสัปดาห์เธอแวะเวียนไปหาช่างตีเหล็กแทบทุกวัน การร่วมเตียงอย่างเต็มใจด้วยความรักนั้นแตกต่างกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งระหว่างที่เธอกำลังพลอดรักกับช่างตีเหล็กตรงริมหาดใต้แสงดาว เจคอบก็ตามมาเจอทั้งคู่จนได้ นายพรานสังหารทาลตันอย่างโหดเหี้ยม ชำแหละเขาด้วยมีดเล่มใหม่จนน้ำทะเลริมหาดแดงฉานไปด้วยเลือด

โทสะของเจคอบยังทำให้ความคิดของเขาบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเห็นรอยรักที่ช่างตีเหล็กฝากไว้ตามเนื้อตัวของมาร์ทา จิตใต้สำนึกที่ปฏิเสธความจริงของเขากลับคิดว่ามันเป็นรอยรัดจากหนวดของ “สัตว์ประหลาด” ที่จะมาขโมยมาร์ทาไปจากเขา และเริ่มคิดว่าเขากำลังสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นชายจากการกระทำของมาร์ทา เธอจึงเป็นเหมือนกับ “บรุกซา” ที่ดูดเลือดและชีวิตในอุดมคติไปจากเขา สุดท้ายเจคอบก็ปักใจเชื่อเรื่องราวที่เขาแต่งขึ้นมาเอง และวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเธอ

“ตอนที่เขาลงมือสังหารข้า ข้าก็สาปแช่งชื่อของเขา ชีวิตของเขา ตัวตนของเขา ข้าสาปทุกรอยจูบที่เขาใช้กำลังขืนใจข้า สาปเส้นผมทุกเส้นและทุกสิ่งที่เขาทำไว้กับข้า”

มาร์ทาใช้กำลังเฮือกสุดท้ายกัดมือเจคอบ และรอยนั้นก็กลายเป็นเครื่องหมายคำสาปที่เธอประทับมันลงไปด้วยชีวิต

“ข้าตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดไปชั่วขณะ แต่เมื่อรู้สึกตัว ข้าก็มาอยู่ในคฤหาสน์นี้แล้ว ข้าอยู่ที่นี่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ถูกสาป ข้ารู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว และในเวลาต่อมา… ในบางสถานที่ ข้าก็กลายเป็นบรุกซาแบบที่เจคอบเชื่อ … ตั้งแต่นั้นข้าก็ชักนำเขาให้เข้าใกล้บ้านหลังนี้ทีละนิด ๆ บ้าน… ที่เขาสมควรต้องมาอยู่ ข้าไม่รู้หรอกว่าบ้านหลังนี้คืออะไร แต่ข้ารู้ว่าเหล่าผู้ถูกสาปจะต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ และสามีของข้าก็เช่นกัน”

มาร์ทาเปิดหีบสมบัติที่มีแก้วแหวนเงินทองอัดแน่นอยู่ในนั้น ผู้ถูกสาปบางคนก็มาที่นี่พร้อมกับทรัพย์สินที่ติดตัวมาด้วย และนี่คือค่าจ้างที่มาร์ทาจะจ่ายให้เกรอลท์หากเขายอมฆ่าเจคอบ สามีของเธอ… ผู้ชั่วร้ายไม่ต่างอะไรกับ “สัตว์ประหลาด”

เกรอลท์ปฏิเสธทันที วิทเชอร์ไม่รับงานฆ่าคน ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดก็ตาม

“ไม่! เจ้าต้องฆ่าเขา! ได้โปรดเถอะ… ข้าฆ่าเขาไม่ได้ ข้าอาจดูเหมือนบรุกซา… แต่ข้าไม่ใช่! ข้าเป็นแค่เงาที่ถูกสาปของหญิงสาวที่ตายไปแล้ว! ข้า… ข้าจะบอกเลเชนให้ปล่อยเจ้าออกไปจากป่า เจ้าจะได้ออกไปจากบ้านหลังนี้ เลเชนจะทำตามที่ข้าบอกแน่นอน ฆ่าเจคอบตามคำขอของข้า แล้วเลเชนจะปล่อยเจ้าไป”

วิทเชอร์ยืนกรานปฏิเสธแล้วหันหลังเดินลงบันไดทันที ซัคคิวบัสยืนรอเขาอยู่ข้างล่าง

“เจ้าเจอนางแล้วใช่ไหม?”

เกรอลท์ไม่ตอบ แต่สีหน้าของเขาก็พูดแทนไปหมดแล้ว

“ไหนบอกว่ามันเป็นกุญแจไขประตูห้องเจ้า”

“ข้าโกหก… ข้ามันขี้โกหก จะมีสาเหตุอะไรอย่างอื่นอีกที่ทำให้ข้าต้องมาติดอยู่ในบ้านของเหล่าผู้ถูกสาปได้ล่ะ?”

วาร่าบอกวิทเชอร์ว่านายพรานกำลังหาทางหนีออกไป และเขาก็รู้ว่ามาร์ทาคงเล่าความจริงให้เกรอลท์ฟังหมดแล้ว ตอนนี้เขาสติแตกและพร้อมจะฆ่าทุกอย่างที่ขวางทางเขา เกรอลท์ดึงดาบออกมาเตรียมตั้งท่าป้องกันตัว เขาเห็นนายพรานโวยวายอยู่ตรงห้องโถงชั้นล่างจึงกระโดดลงจากระเบียงก่อนที่เจคอบจะทำอะไรโง่ ๆ

แต่เจคอบกลับคิดว่าวิทเชอร์กำลังตามมาฆ่าเขา นายพรานจึงเหวี่ยงขวานใส่พร้อมกับด่าทอ

“หยุดก่อน เจ้าโง่”

“ไม่! เจ้าจะฆ่าข้า เจ้าเข้าไปในห้องของมาร์ทาแล้ว! เจ้านอนกับนางร่านนั่นแล้วใช่ไหม? เกรอลท์!”

โทสะและความหึงหวงทำให้เจคอบมืดบอด แม้ว่ามาร์ทาจะตายไปแล้ว แต่หลังจากเธอกลับมาปรากฏตัวให้เขาเห็น เขาก็เริ่มหวาดระแวงว่าจะมีชายอื่นไปข้องแวะกับเธออีก และการที่เขามาปักหลักอยู่ตรงชายป่าก็เพื่อฆ่าผู้ชายทุกคนที่ผ่านมาแถวนี้ ไม่มีใครตายจากฝีมือของบรุกซาตามที่เขาโกหกเลย

นายพรานรู้ตัวว่าคงเอาชนะวิทเชอร์ไม่ได้ เขาจึงเปิดประตูห้องใต้ดินให้พวกศพเดินได้กรูกันออกมา ซากศพของทหารและโจรในคราบพ่อค้าที่ติดอยู่ในบ้านหลังนี้มานานนับศตวรรษ

“จำได้หรือเปล่าว่าเราอยู่ที่ไหน? วิทเชอร์ บ้านหลังนี้คือสถานที่ของคนที่ถูกสาปแช่ง และคนที่สาปแช่งพวกเขาด้วย”

เจคอบใช้จังหวะที่วิทเชอร์กำลังโดนรุมปีนหนีออกมาทางระเบียง ฝูงนกร้องเพลงตามมาจิกตีเขา แล้วนายพรานก็ถูกอะไรบางอย่างอัดจนกระเด็นไปติดต้นไม้ บางอย่างที่ว่าคือเท้าของเกรอลท์ที่ตามเขามาแบบติด ๆ เมื่อเห็นว่าจวนตัวเจคอบจึงอ้อนวอนวิทเชอร์ให้ไว้ชีวิตเขา

“ข้าจะไม่ทำตามคำขอของมาร์ทา ข้าปฏิเสธนางไปแล้ว ดูสิ… ขนาดข้ารู้ตัวตั้งแต่แรกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ แต่ข้าก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะคิดว่ามันอาจไม่ได้เป็นแบบที่ข้าสงสัยก็ได้ ข้ายินดีที่ได้คุยกับเจ้า ยินดีที่ได้พบใครสักคนที่ไม่วิ่งหนีไปเมื่อเขาเห็นดวงตาของมนุษย์กลายพันธุ์อย่างข้า การเป็นวิทเชอร์ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกสาป... แทบไม่ต่างกันเลย และมันก็ทำให้เราแทบไม่มีเพื่อน เพื่อน… ที่เราไม่คิดจะคบหาแค่เพียงฉาบฉวย แต่ต่อให้เป็นเพื่อนกันก็ตาม ถ้ามันล้ำเส้นก็เป็นอันต้องจบ และสิ่งที่เราต้องทำก็คือ… เดินจากเขาไป”

ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้นแต่วิทเชอร์ยังเก็บดาบและเดินจากไปจริง ๆ ทำเอานายพรานประหลาดใจและหลงคิดว่าเกรอลท์เกิดขี้ขลาดตาขาวขึ้นมา เจคอบไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรกำลังรอเขาอยู่ในม่านหมอก เมื่อมาร์ทาปรากฏตัวขึ้นเขาจึงพูดจาเยาะเย้ยเธอ หญิงสาวถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา น้ำตาแห่งความโล่งอกที่ทุกอย่างกำลังจะจบลง เกรฟแฮ็กโผล่ออกมายืนข้าง ๆ มาร์ทา และข้างหลังนายพรานคือเลเชนที่มาพร้อมกับฝูงหมาป่า

“เจคอบ สามีข้า… กระดูกของเจ้าจะถูกแขวนเป็นกระดิ่งลม หนังของเจ้าจะถูกถลกเอาไปทำกางเกง ฟันของเจ้าจะถูกร้อยเป็นสร้อยคอ... และความทรงจำของเจ้าจะจางหายไปดังสายลม”

แล้วร่างของนายพรานถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ กลายเป็นอาหารของเหล่าอสุรกาย มาร์ทายืนมองจุดจบของผู้เป็นสามี คำสาปของเธอสัมฤทธิ์ผลแล้ว

เกรอลท์กลับไปแก้สายบังเหียนม้าออกจากบ่อน้ำ วิทเชอร์แกล้งทำเป็นชวนวาร่าให้ออกเดินทางไปกับเขาด้วย แต่อสูรสาวกลับชักชวนให้วิทเชอร์อยู่ที่นี่กับเธอแทน

“เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าบ้านหลังนี้ถูกสาป? เจ้าต้องรู้อยู่แล้ว… เจ้าเป็นวิทเชอร์นี่ ทั้งตัวเจ้าเองและเผ่าพันธุ์ของเจ้าล้วนเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้... เกรอลท์แห่งริเวีย”

“ไม่หรอก เจคอบบอกกับข้าไว้ว่าพวกเราจะตายหากลงหลักปักฐานอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ข้าคิดว่าเขาพูดถูก เขาเดินทางมาเจอบ้านหลังนี้ เจอมาร์ทา... เจอความจริงของเขา และจุดจบของเขาด้วย แต่ข้ายังไม่พร้อมที่จะตายตอนนี้ กล้าพูดเลยว่าเจ้าน่ะไม่เหมือนพวกเราหรอก… เรื่องของเจ้าไม่อะไรที่เป็นความจริงเลยสักอย่าง”

ซัคคิวบัสยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าคฤหาสน์กระจกสี ในขณะที่วิทเชอร์ส่งสัญญาณให้เจ้าโร้ชออกเดิน

“วาร่า… สิ่งที่ทำด้วยกระจกน่ะ ล้วนเปราะบางและพังทลายลงได้อย่างง่ายดาย ลองคิดดูดี ๆ ก็แล้วกัน...”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡  จบบริบูรณ์  ✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

คุยกันหลังอ่านจบ

House of Glass เป็นคอมิกส์ที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะอ่านง่าย พล็อตเรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือแปลกใหม่ (แฟน ๆ บางคนยังบอกว่าเนื้อเรื่องมันเข้าขั้น “คลิเช่” เลยแหละ — หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ถูกทำร้าย และเธอได้รับโอกาสที่สองเพื่อกลับมาล้างแค้นในภายหลัง) แต่เสน่ห์ของคอมิกส์ชุดนี้อยู่ที่การใช้อุปมาอุปไมยผ่านภาพประกอบและคำพูดของตัวละคร สิ่งที่นักเขียนกำลังสื่อสารกับผู้อ่านก็เหมือนกับกระจกสีในบ้านที่พยายามเล่าความจริงให้เกรอลท์ได้รู้ หากตั้งใจสังเกตก็จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผยในเล่มสุดท้าย และจะไม่เกิดคำถามที่ว่า “ทำไมมาร์ทาไม่ฆ่าเจคอบตั้งแต่แรก?” หรือ “ทำไมวาร่าไม่ยอมออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปพร้อมกับเกรอลท์?”

ปริศนาหลัก ๆ ของเรื่องนี้คือสถานที่อย่าง “คฤหาสน์กระจกสี” ในป่าเคดดู บ้านหลังนี้ไม่ใช่ภาพลวงตาแต่ถูกสร้างขึ้นจากเวทมนตร์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสาปแช่ง และจะปรากฏให้เห็นเมื่อผู้ถูกสาปเข้ามาในอาณาเขตเท่านั้น ทั้งผู้สาปแช่งและผู้ที่ถูกสาปจะต้องพบจุดจบในบ้านหลังนี้ หากยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมาตายที่นี่ หากตายไปแล้วดวงวิญญาณก็จะถูกคำสาปผูกมัดไว้จนไม่สามารถเดินทางไปสู่โลกหลังความตายได้

กระจกสียังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงมาร์ทาที่ถูกย้อมด้วยเรื่องโกหกของเจคอบ ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่เจคอบก็ย้อมให้เธอเป็นภรรยาผู้แสนดีที่รักเขาอย่างสุดหัวใจ พอเธอตายไปแล้วก็ยังไม่วายถูกย้อมให้กลายเป็นบรุกซา มาร์ทาจึงเป็นเหมือนกระจกสีในบ้านที่พยายามบอกเล่าความจริงทุกอย่าง แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นความจริงและเข้าใจเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภาพอันงดงามเหล่านั้น

ถึงแม้มาร์ทาจะดูคล้ายพวกบรุกซา แต่เธอก็ไม่ใช่บรุกซาจริง ๆ มีแต่เจคอบเท่านั้นที่อ้างว่าตัวเองเคยเห็นมาร์ทาฆ่าพวกนักเดินทาง มาร์ทามีพลังควบคุมฝูงนกและสื่อสารกับพวกมอนสเตอร์อื่น ๆ ได้ก็จริง แต่เธอไม่มีพลังที่จะฆ่าฟันใครได้ เธออยากให้เจคอบตายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากไปปรากฏตัวเพื่อให้เขาตามมาที่คฤหาสน์กระจกสี ให้เขาเข้ามาเป็นเหยื่อของมอนสเตอร์อื่น ๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้

ส่วนเรื่องราวของวาร่าก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ตลอดเวลาเราเชื่อว่าเธอเป็นซัคคิวบัสตามที่เกรอลท์บอก แต่เธออาจไม่ใช่ซัคคิวบัสจริง ๆ ก็ได้ วาร่าไม่เคยพูดความจริงเลยสักอย่าง เธอรู้เรื่องราวของมาร์ทากับเจคอบเป็นอย่างดีแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง สิ่งเดียวที่เธอทำคือการเล่นสนุกกับเกรอลท์ให้เขาเดินตามเศษขนมปังที่เธอโปรยไว้เพื่อแก้เบื่อเท่านั้น ดีไม่ดีวาร่าอาจเป็นปีศาจแบบกอนเทอร์ โอดิมม์ ที่คอยล่อลวงดวงวิญญาณต่าง ๆ ให้มาติดกับ สังเกตได้จากตอนที่เธอห้ามเกรอลท์ไม่ให้สู้กับเกรฟแฮ็ก เธอบอกว่า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายแบบนี้หรอกนะ” เธอไม่ได้เป็นห่วงเกรอลท์แต่หมายความตามที่พูดแบบตรงตัว เหมือนจะบอกเป็นนัย ๆ ว่าเธอสามารถเลือกได้ว่าจะให้เกรอลท์ตายแบบไหน เมื่อรวมกับคำพูดตอนสุดท้ายของเกรอลท์ที่ว่า “เรื่องของเจ้าไม่อะไรที่เป็นความจริงเลยสักอย่าง” จึงเชื่อได้ว่าทุกอย่างเกี่ยวกับเธอที่เราได้รับรู้มาตลอดคือเรื่องแหกตาทั้งหมด

และที่เธอไม่ยอมไปจากคฤหาสน์หลังนี้… ก็เพราะว่ามันเป็นบ้านของเธอนั่นเอง

เสน่ห์อีกอย่างของคอมิกส์ชุดนี้คือการเล่นคำ อย่างตอนที่เกรอลท์ไขประตูไปเจอชั้น 4 คำพูดของเขาก็เล่นกับความหมายของคำว่า story ที่แปลว่า “ชั้น” (แบบคำว่า floor) ในขณะเดียวกัน story ยังหมายถึงเรื่องราวหรือเรื่องเล่าต่าง ๆ “Well, we all like stories, don’t we?” ถ้าแปลตรง ๆ ก็คือ “เราต่างก็ชอบเรื่องเล่าอยู่แล้วนี่” และ “เราต่างก็ชอบอะไรที่มันมีหลาย ๆ ชั้นอยู่แล้วนี่” แต่ถ้าดูตามเนื้อเรื่อง เกรอลท์คิดว่าตัวเองกำลังจะได้เจอกับเรื่องราวที่ลึกลับซับซ้อนมากขึ้น คำว่า stories ในที่นี้จึงมีความหมายทั้งสองอย่าง คือหมายถึงเรื่องราวที่มันซ้อนทับกันอยู่หลาย ๆ ชั้น (เป็นประโยคสั้น ๆ แต่ต้องอธิบายซะยาวเลย)

และนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วข้างบน เรื่องราวของเจคอบกับมาร์ทายังสะท้อนถึงปัญหาที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนาน คือปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นจาก “ความต้องการเป็นเจ้าของ” ที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็น “ความรัก” และยังแฝงประเด็นเรื่องการกล่าวโทษเหยื่อ (victim blaming) ว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องร้าย ๆ หรือมีพฤติกรรมที่สมควรแก่การถูกกระทำทารุณ โดยเฉพาะเรื่องการถูกคุกคามทางเพศและความรุนแรงในครอบครัวในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ซึ่งมักจะมองว่าผู้หญิงที่ดีต้องรักนวลสงวนตัวและต้องคอยปรนนิบัติสามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หากทำไม่ได้ก็ต้องถูกตบตีเพื่อเป็นการสั่งสอน

เป็นมายาคติที่ทำให้ความสัมพันธ์เปราะบาง… และพังทลายลงได้อย่างง่ายดาย

และเมื่อถึงจุดแตกหักก็มักจะตามมาด้วยโศกนาฏกรรมและความสูญเสียอยู่ร่ำไป

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.