Memoirs of a Mage (Part 2: Chapter 4-6)

📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3

 

บทที่ 4

ผู้ที่รู้จักข้าดีย่อมรู้ว่าข้าเป็นพวกชอบลงมือปฏิบัติ ข้าเพลิดเพลินกับการเรียนภาคทฤษฎีและมันเป็นสิ่งที่ข้าถนัดก็จริง แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการได้นำเอาความรู้ความสามารถไปใช้อย่างสร้างสรรค์ ตลอดเวลาที่ข้าอยู่ในอาเรทูซา ท่านอาจารย์นีน่า ฟีออราวานติ นายหญิงผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุดินเป็นผู้ปลูกฝังทัศนคติเรื่องการลงมือปฏิบัติให้ข้ามากกว่าใครทั้งนั้น

ดินนั้นถือว่าเป็นธาตุที่สลับซับซ้อนต่อการเรียนรู้ และข้าก็คารวะจอมเวททุกคนที่สามารถฝึกฝนเวทมนตร์แขนงนี้จนเชี่ยวชาญ ซึ่งมีอยู่น้อยคนนักจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ความยากของการดึงพลังจากธาตุดินนั้นมีสาเหตุมาจาก “ความสงบนิ่ง” ของกระแสพลัง เช่นเดียวกับโครงสร้างทางกายภาพของดินที่แทบไม่มีการเคลื่อนไหว กระแสพลังของมันไม่ได้ไหลเวียนแบบธาตุน้ำ ธาตุลม หรือธาตุไฟ จึงเป็นการยากที่พลังของธาตุดินจะถูกถ่ายโอนจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุด ต่อให้ใช้คาถาต่าง ๆ เป็นตัวช่วยก็ตาม สรุปคือจะต้องใช้กำลังและความอุตสาหะอย่างมากเพื่อดึงพลังงานเวทมนตร์ของมันออกมา จึงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยโดยเฉพาะกับพวกนักเรียนที่ยังไม่มีความชำนาญใด ๆ

หลังจากหนึ่งปีเต็มที่ไม่ได้เรียนอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากธาตุน้ำ (และธาตุลมแค่นิดหน่อย) ก็ดูเหมือนว่าพวกเราจะพร้อมสำหรับการเรียนวิชาพื้นฐานของธาตุดินแล้ว ข้าใช้เวลาสองสามเดือนเตรียมตัวอ่านทฤษฎีเบื้องต้นล่วงหน้าไว้ก่อนเช่นเคย แต่ก็ต้องแปลกใจอย่างมากเพราะคาบเรียนแรก ๆ ท่านอาจารย์นีน่าได้พาเราไปยังแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีใกล้ ๆ โรงเรียนเพื่อขุดดิน การออกนอกสถานที่ยังคงดำเนินต่อไปตลอดทั้งเดือน แต่ที่น่าแปลกก็คือพวกเราไม่ได้ใช้เวทมนตร์เลย วันแล้ววันเล่าที่พวกเราต้องขุดร่องสำรวจ ร่อนผงฝุ่น และจัดประเภทวัตถุที่ขุดเจอ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกระดูกสัตว์ป่าชิ้นเล็ก ๆ และพวกเหรียญเก่า ๆ หรือเครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่ของมีค่าอะไร

อีกหลายปีต่อมาข้าก็พบความจริงว่า การที่พวกเราขุดไม่เจออะไรสักอย่างเพราะเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นแค่อุบาย สิ่งที่พอจะสังเกตได้ก็คือ ท่านอาจารย์นีน่าสอนนักเรียนทุกรุ่นด้วยแหล่งขุดค้นเดียวกันนี้ทุกปี (ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เลย) มาตั้งแต่วันแรกที่โรงเรียนอาเรทูซาเปิดสอน และต่อมาข้าก็ได้รับการยืนยันจากปากท่านของเองตอนที่ข้าเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่ ระหว่างที่เราคุยกันเป็นการส่วนตัว

ท่านอาจารย์นีน่าประทับใจข้าตั้งแต่คาบแรกของการขุดดิน เพราะข้าลงมือขุดทันทีโดยไม่ลังเลหรือตั้งคำถามใด ๆ ข้าต่างจากนักเรียนหญิงคนอื่น ๆ ตรงที่ไม่เคยบ่นอะไรเลยทั้งสิ้น แม้มันจะทำให้ชุดของข้าถลอกเป็นขุยและเปรอะเปื้อน และท่านอาจารย์ก็จำเรื่องนี้ได้ ด้วยเหตุนี้เองที่ท่านเรียกใช้ข้าให้มาช่วยทำงานพิเศษที่ท่านบอกว่าเป็น ‘งานนอกหลักสูตร’ และให้ข้าสาบานว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากพวกนักเรียนคนอื่น ๆ (ข้าคิดว่าข้าเล่าให้คาเลนาฟังแทบจะทันทีเลยแหละ—ต้องขออภัยท่านอาจารย์ด้วย) แน่นอนว่าข้า… จอมเวทอัจฉริยะในอนาคต ต้องตะครุบโอกาสที่จะได้สร้างผลงานเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว (ตอนนั้นข้าล่ะขี้ประจบจริง ๆ)

ปรากฏว่าท่านอาจารย์นีน่าเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องอื่นที่อยู่นอกเหนือไปจากการสอนเวทมนตร์ธาตุดินอีกด้วย เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่ท่านได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาอันเนื่องมาจากหอคอยตอร์ ลารา ซึ่งบนยอดของมันมีประตูมิติที่ขึ้นชื่อเรื่องความไม่สเถียรอย่างมาก ไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาหลังจากพยายามทดลองใช้มันเดินทาง อันที่จริงแล้วหอคอยนี้ถือเป็นเขตหวงห้ามที่ไม่อนุญาตให้พวกนักเรียนเข้าไปเด็ดขาด เห็นได้อย่างชัดเจนว่าประตูมิติได้ปล่อยสนามพลังลึกลับที่รบกวนการใช้คาถาต่าง ๆ ในบริเวณรอบ ๆ หอคอย แม้แต่การร่ายคาถาที่ง่ายที่สุดก็อาจถูกสนามพลังแทรกแทรงจนให้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอนและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์จึงค่อย ๆ สร้างเขตอาคมล้อมรอบหอคอยตอร์ ลารา และปราสาทการ์สแตง และเมื่อเขตอาคมนี้เสร็จสมบูรณ์มันก็จะลบล้างพลังงานเวทมนตร์ทุกชนิดอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อการร่ายคาถาไม่เป็นผลก็จะไม่มีเวทมนตร์ให้สนามพลังแทรกแซงได้อีก ความจริงแล้วสิ่งนี้ถือเป็นวิศวกรรมทางเวทมนตร์อันน่าทึ่ง โดยเฉพาะในยุคสมัยนั้น

หน้าที่ของข้าคือเป็นผู้ช่วยวิจัยในเรื่องทั่ว ๆ ไป คอยช่วยเหลือในขั้นตอนต่าง ๆ ของการห่อหุ้มเขตอาคม และรวบรวมสิ่งใดก็ตามที่ท่านอาจารย์ต้องการใช้ จะเรียกว่าเป็น ‘เด็กรับใช้’ ก็ได้ แต่ข้าไม่สนใจหรอก แม้ว่ามันเป็นงานที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ความลับและความสำคัญของมันก็ทำให้ข้าตื่นเต้นและรู้สึกได้ถึงความพิเศษ นอกจากนี้ข้ายังได้รับความไว้วางใจและกลายเป็นเด็กคนโปรดของท่านอาจารย์นีน่าอีกด้วย

และเย็นวันหนึ่งในปราสาทการ์สแตง ข้าก็ได้รู้เรื่องกุศโลบายของท่านอาจารย์ ที่พวกนักเรียนหญิงต่างคว้าน้ำเหลวจากการขุดค้นทางโบราณคดีในช่วงปีแรก ๆ ท่านอาจารย์หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน เพราะมันทำให้ท่านทั้งสนุกทั้งเศร้าและได้ทำความรู้จักนักเรียนแต่ละคนไปด้วยในตัว เพราะต่อให้พวกนางพยายามมากเท่าไรก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางค้นพบวัตถุโบราณจากแหล่งขุดค้นปลอม ๆ นั่นได้ เมื่อข้าเอ่ยถามเรื่องนี้ ท่านจึงชี้ให้เห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของบทเรียน และคำตอบของท่านยังคงติดตรึงอยู่ในใจข้ามาโดยตลอด

หากมีเวลาและความอดทนมากพอ ไม่ว่าใครก็สามารถย้ายภูเขาได้ทั้งนั้น แค่ลงมือขุดไปทีละนิด

มันเป็นความจริงที่รู้ดีกันในหมู่จอมเวทที่ต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุดิน และเป็นทัศนคติที่ท่านอาจารย์นีน่าต้องการปลูกฝังแก่ลูกศิษย์ของท่านตั้งแต่เริ่มต้น กลายเป็นว่าการขุดค้นเหล่านั้นไม่ได้ต้องการให้เราค้นพบสมบัติล้ำค่าหรือความลับที่สูญหายไปนานแล้ว ในทางตรงกันข้ามการค้นพบสิ่งของเหล่านั้นจะยิ่งเป็นอุปสรรคต่อสิ่งที่ท่านต้องการจะสอน แท้จริงแล้วท่านอาจารย์อยากให้เหล่าลูกศิษย์เรียนรู้เรื่องความอดทน ความพากเพียรอย่างหนัก และความมุ่งมั่น แม้มันจะให้ผลตอบแทนอันน้อยนิดก็ตาม

จอมเวทสามารถใช้เวลาเป็นร้อยปีเพื่อฝึกฝนเวทมตร์ในธาตุที่พวกเขาเลือก และใช้เวลาอีกเป็นร้อยปีเพื่อฝึกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในแขนงนั้น หากมีใครได้มันมาอย่างง่ายดาย ข้าเกรงว่าเขาคงไม่มีวันได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ไปตลอดกาล

บางคราข้าก็ระลึกถึงถ้อยคำเหล่านี้ขึ้นมา และหลายปีมานี้ข้าก็ครุ่นคิดว่าจะควรตอบมันอย่างไรดี

‘ท่านอาจารย์นีน่าที่เคารพ บางทีชีวิตอาจยังมีอะไรอีกมากมายที่นอกเหนือไปจากความยิ่งใหญ่ก็ได้…’

ท่านคงจะดูแคลนคำตอบนี้ หรือไม่ก็หัวเราะออกมา

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 5

ตอนที่ข้าสำแดงพลังครั้งแรกนั้นเป็นการใช้พลังเคลื่อนย้ายวัตถุ (โยนก้อนขี้ม้าใส่ท่านสแตมเมลฟอร์ดที่เคารพ) ข้าจึงคิดว่าตัวเองน่าจะเชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุลมมากที่สุดและควรเลือกฝึกศาสตร์แขนงนี้ให้สำเร็จ บอกตามตรงว่าข้าคาดหวังอย่างยิ่งว่าจะต้องทำให้ได้ (บนเส้นทางการฝึกฝนเพื่อควบคุมพลังให้ได้ทุกธาตุ แน่นอนอยู่แล้ว!)

ดังนั้นข้าจึงตื่นเต้นที่สุดที่จะได้เรียนเวทมนตร์ธาตุลมจากจอมเวทหญิงผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านป้าแอ็กเนส หรือ “ท่านอาจารย์แอ็กเนสแห่งแกลนวิลล์ นายหญิงผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุลม” หากจะเรียกให้เป็นทางการแบบที่ท่านต้องการอยู่เสมอ นอกจากท่านป้าออโรราแล้ว ก็เห็นจะมีแต่ท่านป้าแอ็กเนสนี่แหละที่ข้ารู้จักเป็นอย่างดี ตั้งแต่ข้าจำความได้ก็มักเห็นท่านแวะมาเยี่ยมเยียนท่านป้าออโรราอยู่เสมอ รวมไปถึงตัวข้าด้วย พวกเราเลยได้พบกันอยู่บ่อย ๆ ตลอดช่วงชีวิตในวัยเด็กของข้า หากมีใครบอกว่าข้ามีโอกาสฝึกฝนเวทมนตร์มาหลายปีก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปยังอาเรทูซาก็คงไม่ผิดนัก เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่ข้าเรียนรู้โดยอัตโนมัติจากบทสนทนาและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากผู้เชี่ยวชาญอย่างท่านป้าออโรราและท่านป้าแอ็กเนส

เรื่องที่ข้ามีอภิสิทธ์มาตั้งแต่เด็กนั้นเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ข้ามีความสุข มีสุขภาพดี และไม่เคยต้องการสิ่งอื่นใดอีก (นอกจากโหยหาการเข้าเรียนที่อาเรทูซาเท่านั้น) เมื่อมองย้อนกลับไปข้าได้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษที่มีโอกาสคลุกคลีกับจอมเวทหญิงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังถึงสองคน ไม่มีเด็กหกขวบคนไหนสามารถคุยโม้เรื่องที่มีญาติเป็นคนเด่นคนดังได้อย่างที่ข้าเป็น ข้าไม่ได้จะลบหลู่เกียรติท่านป้าออโรราหรอกนะ แม้ว่าท่านจะได้รับความเคารพและมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกันแล้วชื่อเสียงของท่านป้าแอ็กเนสนั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก เรียกว่าเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตเลยทีเดียว

ในอดีตอันไม่นานมานี้จอมเวทล้วนเป็นบุรุษทั้งหมด (เป็นเรื่องที่ไม่ใครประหลาดใจเลย) ทั้งที่ความจริงแล้วก็มีเหล่าสตรีที่สามารถใช้พลังจากธาตุต่าง ๆ ได้ แต่พวกนางจะถูกขนานนามว่าเป็น “ผู้บำบัด” หรือ “หมอสมุนไพร” และถูกมองเป็นอย่างอื่น ในสังคมมนุษย์ “จอมเวท” เป็นสถานะที่ได้รับการสงวนไว้สำหรับคน (ที่เป็นผู้ชาย) เพียงไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากสมาคม (ที่มีแต่ผู้ชาย) ของพวกเขา

จนกระทั่งมีสตรีแบบท่านป้าแอ็กเนส

ดูเหมือนว่าการสำแดงพลังครั้งแรกของท่านในขณะที่ยังเป็นเด็กเล็กมาก ๆ ได้สร้างพายุหมุนขนาดใหญ่ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตามที่เล่าขานกันมาพายุร้ายลูกนี้ได้พัดถล่มหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมชายฝั่งจนเหลือแต่เศษซาก ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้ถูกเล่าอย่างเกินจริง (ว่ากันตามตรง) แต่ข้าก็ไม่เคยพูดสิ่งที่คิดออกมาให้ใครฟัง อย่างไรก็ตามข่าวลือเรื่อง “เด็กมหัศจรรย์” ได้แพร่สะพัดไปถึงหูของจามบัตติสต้า (หนึ่งในจอมเวทผู้ร่างสนธิสัญญาแห่งโนวิกราด ร่วมกับ “แยน เบ็กเกอร์” และ “เจ็ฟฟรีย์ มองค์” จอมเวทรุ่นบุกเบิกเช่นเดียวกับเขา) ด้วยความกระหายใคร่รู้ที่จะหาที่มาและระบุต้นตอของปรากฏการณ์ดังกล่าว (เด็กที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ถูกเรียกว่า “ขุมพลัง” มาจนถึงสมัยนี้) จามบัตติสต้าสืบเสาะจนพบตัวเด็กหญิงและจ่ายเงินอย่างงามให้มารดาเป็นการแลกเปลี่ยน จากนั้นก็นำตัวนางไปทดสอบด้วยเวทมนตร์ต่าง ๆ นานา (ซึ่งต่อมาได้ประยุกต์เป็นข้อสอบคัดเลือกของโรงเรียนบานอาร์ด)

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กลับมีผลการทดสอบแตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ จอมเวทจามบัตติสต้าทึ่งในความสามารถของแอ็กเนสอย่างมาก (ท่านป้ายืนยันกับข้าเองว่าเขา ‘ตะลึง’ จริง ๆ และเป็นแบบนี้บ่อยมาก) เด็กหญิงจึงได้รับการศึกษาเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานภายใต้การดูแลของมองค์ เบ็กเกอร์ และจามบัตติสต้า

จากนั้นไม่นานจอมเวทมองค์ก็รวบรวมเด็ก ๆ ผู้มีพรสวรรค์จำนวนหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า ‘เหล่าเด็กที่ถูกเลือก’ และมีแอ็กเนสเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม เขาพาเด็ก ๆ แล่นเรือไปตาม “เอวอน อิ พอนท์ อาร์ เกว็นเนเลน” (หรือที่ทุกวันนี้เรียกกันว่าแม่น้ำพอนทาร์) ไปยังเมืองล็อค มวูนน์ ตามที่เขาได้เจรจาหว่านล้อมให้เหล่าจอมเวทเอลฟ์ช่วยสอนเวทมนตร์ให้พวกเด็ก ๆ ตามวิถีของเผ่าพันธุ์โบราณ และนั่นก็เป็นการการันตีชื่อเสียงให้กับแอ็กเนส ในฐานะผู้หญิงคนแรก (ที่จริงยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ) ที่ได้สถานะเป็นจอมเวทหญิง (หรือเรียกว่า ‘ผู้วิเศษหญิง’ ตามที่ท่านบอกมา)

และนั่นก็เป็นทั้งหมดที่ข้ารู้ ข้าเคยขอให้ท่านป้าแอ็กเนสเล่าเรื่องตอนที่ไปเรียนเวทมนตร์กับปราชญ์เอลฟ์แห่งเทือกเขาบลูเมาเทนส์ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินคำขอ ท่านก็จะแยกตัวหรือบ่ายเบี่ยงด้วยคำตอบว่า ‘เอาไว้วันหลังแล้วกัน’ ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดท่านจึงไม่อยากระลึกถึงช่วงชีวิตในตอนนั้น แต่ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าครั้งหน้าที่เราพบกัน ข้าจะทำให้ท่านยอมเล่าเรื่องราวในอดีตสักเรื่องสองเรื่องให้ได้ (บางทีอาจต้องใช้น้ำเมาทั้งหลายเป็นตัวช่วยในการเปิดปากท่านป้าด้วย…)

ตามที่ข้าได้เล่าไปแล้ว ด้วยการชี้แนะจากจอมเวทหญิงผู้ยิ่งใหญ่ (และเป็นป้าของข้าด้วย) ท่านคงจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบนไหล่เล็ก ๆ ที่ไร้ประสบการณ์ของข้าจึงต้องแบกรับความคาดหวังมากมายเช่นนั้น สำหรับข้าแล้วการไม่สามารถฝึกฝนวิถีแห่งเวทมนตร์ให้เชี่ยวชาญนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้และไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น 

การไม่ใช้ศักยภาพของเจ้าอย่างเต็มที่ ถือเป็นการดูหมิ่นผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเรา 

ท่านป้าออโรราย้ำเตือนข้าอยู่เสมอ 

‘เจ้ามีโอกาสดี ๆ มากมาย ดังนั้นจงเลือกให้ถูกก็แล้วกัน’

ดังนั้นข้าจึงแสวงหาความยิ่งใหญ่อย่างไม่ลดละ เพราะมันเป็นหน้าที่ของข้า

หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นภาระที่ข้าต้องรับผิดชอบตามที่ได้ตั้งมั่นเอาไว้

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 6

นอกเหนือจากคุณประโยชน์นานัปการแล้ว คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเวทมนตร์ก็มีความอันตรายอย่างยิ่งยวดเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมันอยู่ในมือของนักเวทผู้ไร้ประสบการณ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นการเล่นกับไฟ ซึ่งเป็นธาตุที่ไม่สามารถคาดเดาได้และมีความปั่นปวนโกลาหลมากที่สุด พวกนักเรียนต่างรู้ข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างดีและพยายามหลีกเลี่ยงมันเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนรอบข้าง ให้ตายเถอะ… ถ้าไม่อยากทนรับความเจ็บปวดเจียนตายแล้วล่ะก็ การเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุไฟคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านต้องการ นี่คือสิ่งที่ข้าเรียนรู้จากบทเรียนแรกของท่านอาจารย์คลารา ลาริสซา เดอ วินเทอร์ นายหญิงผู้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุไฟและอธิการของโรงเรียนนักเวทหญิงอาเรทูซา

ท่านมีบุคลิกที่ดูเย็นชา (ข้ารู้… ฟังดูตรงข้ามกันเลยใช่ไหมล่ะ) เป็นสตรีที่ไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น และเป็นอาจารย์ที่ไม่ค่อยลงมาคลุกคลีกับพวกนักเรียนเท่าไรนัก ดูเผิน ๆ ก็อาจเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ ว่าท่านละเลยหน้าที่การงานของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ใคร ๆ ต่างก็พากันประหลาดใจเมื่อได้รู้ว่าท่านคือผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้และยังใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์ของสถาบันอย่างมาก ท่านเชื่อว่าบุรุษและสตรีควรได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียม และในเมื่อมีโรงเรียน (บานอาร์ด) ที่บ่มเพาะความรู้ความสามารถให้เหล่าบุรุษผู้ปรารถนาจะเป็นจอมเวท ดังนั้นก็ควรมีโรงเรียนเวทมนตร์สำหรับสตรีเช่นกัน และหลังจากนั้นโรงเรียนอาเรทูซาก็ถือกำเนิดขึ้น

เมื่อถึงเวลาที่ต้องสอนพวกนักเรียน ท่านอาจารย์คลาราก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา และความห่างเหินที่ท่านมีมาอย่างเนิ่นนานก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ระหว่างสอนบทเรียนแรกของการใช้เวทมนตร์ธาตุไฟ ท่านก็บอกพวกนักเรียนว่า ท่านไม่มีเวลาจะสอนพวกนักเรียนระดับพื้น ๆ และจะสอนเฉพาะคนที่เก่งกาจและฉลาดที่สุดเท่านั้น ‘แค่คนเดียว...’ ท่านกล่าวพลางขบกรามแน่นและจ้องมองพวกเราด้วยสายตาทิ่มแทงที่แสนเย็นชา ‘ข้าจะสอนพวกเจ้าแค่คนเดียว... แค่นั้น’

ท่านคงพอนึกออกใช่ไหมว่าข้าตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นนักเรียนคนนั้น (ข้าต้องเป็นให้ได้!) แม้ว่าท่านอาจารย์เดอ วินเทอร์ จะพยายามกำจัดมายาคติที่พวกเรามีต่อเวทมนตร์ธาตุไฟ

พวกเจ้าจะถูกเปลวไฟแผดเผา… ครั้งแล้วครั้งเล่า… จะต้องทนรับความเจ็บปวดและความยากลำบาก และทุกครั้งที่เจ้าเรียกหาพลังจากไฟ นั่นแปลว่าเจ้ากำลังเต้นรำอยู่กับความตาย เปลวไฟนั้นกลืนกินชีวิตเหล่าจอมเวทไปนักต่อนัก ทั้งพวกมือสมัครเล่นและคนที่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี และมันจะกลืนกินชีวิตของเจ้าด้วย หากว่าเจ้าไม่ระมัดระวังให้มากพอ

ท่านอาจารย์ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย ธาตุไฟนั้นถ่ายเทพลังได้ค่อนข้างง่าย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ท้าทายในการควบคุม แต่เป็นเพราะธรรมชาติของมันผสมกับปริมาณพลังงานอย่างมหาศาลที่มักทำให้เหล่าจอมเวทประสบกับการไหลทะลักของพลังเวทมนตร์ และระดับพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นยังไม่สามารถควบคุมได้อีกด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมามีจอมเวทมากมายที่ถูกพลังธาตุไฟกลืนกินและถูกเผาทั้งเป็นเนื่องจากไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการของมันได้ ผู้รอดชีวิตบางคนเล่าถึงเหตุการณ์ชั่วขณะก่อนที่พวกเขาจะตกอยู่ในห้วงพลังทำลายล้างอันพลุ่งพล่านว่ามันเป็นความรู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างถึงที่สุด โดยไม่ละอายถึงกิเลสตัณหาที่ตนเองปรารถนาจะครอบครองพลังอันมหาศาลเช่นนั้นอีกสักครั้ง แม้มันต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองและต้องทำร้ายผู้คนที่อยู่รอบข้างไปด้วย ข้าคิดว่าพลังที่ยิ่งใหญ่มักนำพาไปสู่ความวิปริตที่ใหญ่ยิ่ง...

แต่แน่นอนว่าข้ายังต้องการเป็นจอมเวทที่สามารถควบคุมพลังทั้งสี่ธาตุได้ และข้าจะไม่ยอมล้มเลิกเพราะคำเตือนของท่านอาจารย์คลาราอย่างแน่นอน ข้าคิดเช่นนั้นก่อนที่จะได้เห็นบททดสอบที่ใช้คัดเลือกนักเรียนเข้าชั้นเรียนของท่าน นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นรอยยิ้มของท่านอาจารย์ ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายจริง ๆ ท่านยื่นมือออกมาอย่างช้า ๆ และมั่นคง ก่อนที่จะหงายฝ่ามือขึ้นแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า

‘ใครที่สามารถจับมือข้าได้ ก็จะได้ที่นั่งในชั้นเรียน’

ท่านอาจารย์เคลื่อนไหวนิ้วมือด้วยท่าทางที่แปลกประหลาด แล้วมือข้างนั้นก็เรืองแสงสีแดงและสุกสว่างขึ้นเป็นสีส้ม ผิวหนังบริเวณนั้นพุพองจากความร้อนและลุกไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำละลายหายไปจากนิ้วมือที่มีเปลวไฟลุกท่วม จากนิ้วมือยาวเรียวที่มีผิวนุ่มละเอียด บัดนี้นิ้วทั้งห้าได้ลุกไหม้จนแทบจะละลายด้วยความร้อนระอุจนส่งเสียงฉ่า

การทดสอบนั้นชัดเจนเลยทีเดียว

‘ใครที่อยากเล่นกับไฟ ก็ต้องปรารถนาที่จะถูกแผดเผา’

ไม่มีใครขยับเขยื้อน นักเรียนเกือบทั้งหมดแทบจะลืมหายใจไปครู่หนึ่ง ข้าไม่คิดว่าจะมีใครจินตนาการถึงสิ่งนี้ในชั้นเรียนคาบแรก

ข้าไม่ถือสาพวกนักเรียนหญิงบางคนที่คิดว่ามันอาจเป็นกลอุบายสักอย่าง อาจเป็นมุกตลกที่ใช้ละลายพฤติกรรมในการพบกันเป็นครั้งแรก แต่ข้ารู้ดีว่ามันไม่ใช่ ข้าเห็นแววตาจริงจังของท่านอาจารย์คลารา ซึ่งต้องการคนที่สามารถทำตามข้อกำหนดนั้นได้จริง ๆ ดังนั้นข้าจึงไม่เหลือทางเลือกใด ๆ อีก ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง ข้าจึงเดินเข้าไปหามือของท่านอาจารย์ที่กำลังลุกไหม้ ยื่นมือออกไปอย่างช้า ๆ และมั่นคง ตอนนั้นข้าคิดว่าทำแค่นี้คงจะพอแล้ว ท่านอาจจะแค่ทดสอบความมุ่งมั่นของผู้ที่อยากเข้าเรียนเท่านั้น

แต่ท่านยังยืนนิ่ง ดวงตาแวววาวไร้ความรู้สึกยังคงจดจ้องมาที่ข้า และรอคอยอยู่อย่างนั้น…

และนั่นหมายความว่า ยังมีอีกอย่างที่ข้าจำเป็นต้องทำ…

ข้าจึงหลับตา จับมือท่านให้แน่น และกรีดร้อง

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

📜 อ่าน Part 3: บทที่ 7-9

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.