Memoirs of a Mage (Part 4: Chapter 10-12 END)

📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3 | อ่าน Part 2: บทที่ 4-6 | อ่าน Part 3: บทที่ 7-9

 

บทที่ 10

เราจะแข็งแกร่งเท่ากับคนที่เป็นจุดอ่อนในหมู่พวกเราเท่านั้น เราจึงต้องคบหาสมาคมกับคนในระดับเดียวกัน คนที่มีความสามารถพอ ๆ กับเราและมีเป้าหมายเดียวกัน เพราะคงไม่มีใครบินขึ้นไปสูง ๆ ได้หากมีคนที่ถ่วงแข้งถ่วงขาเอาไว้

เป็นคติพจน์อีกข้อหนึ่งของเบ็กเกอร์ที่เป็นเพียงปัญญาปลอมเปลือกและเกียรติภูมิอันบิดเบี้ยว นอกจากจะทำให้สติปัญญาต้องด่างพร้อยแล้วยังทำให้มิตรภาพระหว่างข้าและคาเลนาต้องลงเหวไปสู่ช่วงเวลาแห่งความเสียใจและความสิ้นหวังจนไม่อาจหวนคืนมาได้

‘ขอโทษนะ คาเลนา แต่เราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว’ ข้าพูดอย่างหนักแน่นและไม่สนใจใยดี

แต่ข้าไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ข้าตั้งใจจะใช้มันเพื่อ… สร้างแรงจูงใจให้กับนาง (ขู่เข็ญทางอารมณ์ ใช่… ข้ารู้) นางเคยรับมือกับคำพูดแรง ๆ ของข้าได้ ข้าจึงไม่คิดว่าอุบายตื้น ๆ ของตัวเองจะทำให้นางมีปฏิกิริยาแบบนั้น แต่คำพูดของข้า… คำพูดเหล่านั้นกระทบกระเทือนจิตใจนางอย่างมาก

‘เจ้าอยากไปจากอาเรทูซาใช่ไหม? ไปเลยสิ! รออะไรอยู่ล่ะ? เราไม่ต้องการคนอย่างเจ้าหรอก!’

เป็นอีกครั้งที่ข้าพูดไม่คิด ข้าแค่ระบายอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านและอยากแสดงความมั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก (เวลากำลังเถียงกัน เราคงเป็นแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น) ต่างคนต่างพูดจาว่าร้าย แต่ข้าไม่อยากลงรายละเอียดถึงเรื่องที่เราโต้เถียงกัน ให้ตายเถอะ...ข้าเชื่อว่าตัวเองพยายามทำให้เรื่องมันดูแย่น้อยลงแล้วนะ มันคงจะดีกว่า... เพราะข้าคงเจ็บปวดไปกว่านี้หากตั้งใจนึกย้อนกลับไปในทุกรายละเอียดของความทรงจำ แต่สรุปแล้วมันก็ยังเป็นเรื่องที่ข้าลืมไม่ลงอยู่ดี

ในที่สุดคาเลนาก็ทนรับความเย็นชาของข้าไม่ไหวจนร้องไห้โฮและวิ่งหนีไป นางหนีขึ้นไปบนหอคอยตอร์ ลารา ด้วยเหตุผลที่ข้าคงไม่มีวันเข้าใจ (บางทีนางอาจคิดว่ามันเป็นเขตหวงห้ามและคงไม่มีใครตามเข้าไปรบกวน)

แล้วข้าก็ทำเรื่องผิดพลาดที่สุดลงไป…

ข้าตามนางไปเพราะไม่อยากปล่อยเอาไว้แบบนั้น ข้าเผชิญหน้ากับนาง ต้อนนางให้จนมุม แต่นางไม่อยากคุยด้วยแล้ว นางแค่อยากอยู่คนเดียว และทางเดียวที่จะหนีไปให้พ้นจากข้าได้ก็คือ… ชั้นบน ห้องชั้นบนสุดของหอคอยซึ่งมีประตูมิติที่ใคร ๆ ก็รู้จักชื่อเสียงของมันเป็นอย่างดี แต่ข้าก็ยังคงไล่ตามนาง ข้ายังไม่ยอมปล่อยนางไป ข้ายังตรงเข้าไปหานางจนเหลือเพียงทางเดียวที่จะหนีข้าได้…

ก่อนที่ข้าจะหยุดนางได้ทัน คาเลนาร่ายเวทเพิ่มพลังให้ประตูมิติและก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่ลังเล เข้าไปสู่แสงสว่างจ้าที่บิดหมุนวนเป็นเกลียวและความโกลาหลแห่งจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุด

นางหายไปในแสงสว่างวาบและไม่กลับมาอีกเลย

ไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมใดรอนางอยู่ตรงอีกฟากของประตูมิติ ส่วนใหญ่บอกว่านางน่าจะตายไปแล้ว แตกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับล้านและกระจัดกระจายไปตามมิติต่าง ๆ บางคนก็คิดว่านางถูกส่งไปยังดินแดนห่างไกลที่ไม่มีใครสามารถอยู่อาศัยได้ ไกลเสียจนแทบไม่มีหวังว่านางจะรอดชีวิต แต่ก็ไม่มีใครรู้จริง ๆ หรอก เราไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดขึ้นกับนางและไม่มีทางที่จะตามไปช่วยเหลือได้ (แม้แต่ท่านอาจารย์เดอ วินเทอร์ ก็ยังห้ามไม่ให้ใครเดินทางไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นอย่างเด็ดขาด ซึ่งส่วนใหญ่ท่านจะไม่ห้ามปรามแบบนี้) เนื่องจากประตูมิติไม่มีความสเถียรและไม่สามารถคาดเดาได้ สิ่งเดียวที่เราคิดเหมือน ๆ กันก็คือคาเลนาได้จากไปแล้ว จากวันกลายเป็นสัปดาห์ กลายเป็นเดือน เป็นปี ความจริงที่น่าเศร้าก็ปรากฏชัดกับพวกเราทุกคน... นางไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว

แต่ในทุกความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็ยังมีประกายแห่งความหวังเล็ก ๆ อยู่ในตัวของมันเอง

หลังจากคาเลนาก้าวเท้าเข้าประตูมิติไป อีกไม่กี่ปีต่อมา ข้าและพวกรุ่นพี่กลุ่มเล็ก ๆ จากโรงเรียนอาเรทูซาได้เดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองเอลลันเดอร์เพื่อทำงานอาสา (พร้อมกับคณะแม่ชีจำนวนหนึ่งจากวิหารเทพีเมลิเทเล) พวกชาวบ้านกำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากโรคระบาด และคนป่วยที่ไม่สามารถรักษาได้ (ใช่ว่าเวทมนตร์จะทำได้ทุกอย่าง) ก็จะได้รับการดูแลเพื่อให้จากโลกนี้ไปอย่างไม่เจ็บปวดทรมาน

ชายใกล้ตายคนหนึ่งที่ข้าดูแลเล่าให้ฟังว่า มีนักเวทพเนจรคนหนึ่ง (ที่เราเรียกกันว่า ‘ดวิมเวียนดรา’) เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อปีที่แล้ว ตลอดเวลาที่พักแรมอยู่สองสามวัน นางได้ช่วยเหลือชาวบ้านทำงานต่าง ๆ มากมาย (อย่างการปลูกพืชลงแปลง ตัดขนแกะ และอะไรทำนองนั้น) เขายังบอกด้วยว่านางเป็นนักเวทที่เป็นมิตรกับชาวบ้านมากที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา และถึงแม้เขาจะจำชื่อนางไม่ได้ แต่เขาจำได้ลาง ๆ ว่าชื่อของนางขึ้นต้นด้วยตัว ‘เค’ (‘ชื่อเคเดน… หรือเคลาร์… คีน่า อะไรทำนองนั้นแหละ’ เขาบอกกับข้า)

และเป็นเรื่องนี้นี่เอง

เรื่องแค่นี้แหละที่ทำให้ข้ายังพอมีหวัง

แน่นอน ข้ารู้ว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นคาเลนา แต่โอกาสอันน้อยนิดก็ยังดีกว่าไม่มีโอกาสเลย ข้าจึงอุ่นใจขึ้นมานิดหน่อยที่เพื่อนของข้าอาจยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง และกำลังทำในสิ่งที่นางใฝ่ฝันมาตลอด ช่วยเหลือทุกคนที่นางได้พบ เปลี่ยนแปลงโลกโดยไม่ต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทีละเล็กทีละน้อย… แบบที่นางเป็น

และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ … เป็นแบบที่ข้าอยากให้มันเป็น ดังนั้นอาจมีสักวัน… อาจจะมีสักวันที่เส้นทางของเราจะมาบรรจบกันอีกครั้ง และข้าจะได้แก้ไขเรื่องราวระหว่างเราให้มันถูกต้องเสียที

ข้าอยากให้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 11

สัปดาห์สุดท้ายในรั้วโรงเรียนอาเรทูซานั้นมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้ หลัก ๆ ก็เป็นเพราะว่าข้าลาออกจากโรงเรียน (สำหรับท่านที่สงสัย มันเป็นการตัดสินใจที่ข้ายังคงยืนกรานมาจนถึงทุกวันนี้)

เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นเรื่องที่ใช้เวลานานมาก

ในตอนแรกข้ามืดบอดไปด้วยวิสัยทัศน์ที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าความสำเร็จควรมีหน้าตาเป็นอย่างไร ท่านป้าบอกไว้ว่าข้าควรเป็นอะไร และข้าก็พยายามอย่างสุดกำลังกายและกำลังใจอยู่หลายปีเพื่อจะเป็นสิ่งนั้นให้ได้ มันเคยเป็นตัวตนของข้าและข้าก็รู้สึกสบายใจกับความแน่วแน่เช่นนั้น

ข้าอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายเมื่อตอนที่ข้าเริ่มตั้งคำถามว่าตัวเองต้องการสิ่งใดจากชีวิต สิ่งใดนำมาซึ่งความสุขกันแน่? การได้เติมเต็มความปรารถนาอย่างนั้นหรือ? ข้าอยากทิ้งสิ่งใดไว้เป็นมรดกตกทอด? ในค่ำคืนงานเลี้ยงฉลองศึกประลองเวท คาเลนาได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยเกี่ยวกับเป้าหมายที่ทะเยอทะยานของข้า และคำพูดในวันที่นางจากไปก็ทำให้ข้าต้องคิดทบทวนดูอีกครั้ง ในที่สุดข้าก็วางเป้าหมายของตัวเองเสียใหม่ และเพราะความคิดที่นางอยากเป็นดวิมเวียนดรา ข้าก็ค่อย ๆ รู้สึกตื่นเต้นกับแนวคิดนี้และเริ่มมองเห็นแล้วว่าเหตุใดมันจึงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ วิถีชีวิตของดวิมเวียนดรานั้นมีทั้งความอิสรเสรี การผจญภัย และโอกาสที่จะได้ทำสิ่งดี ๆ ในทุกวัน พอคิดได้ข้าก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด... เป็นความรู้สึกที่ทำให้ข้ามีความสุข และการจินตนาการว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตแบบนั้นก็ยิ่งทำให้มันกลายเป็นเป้าหมายที่เย้ายวนขึ้นทุกที

เนื่องจากยังไม่มีคำนิยามใดที่ชัดเจนไปกว่านี้ ข้าจึงเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับช่วงเวลาอันน่าตื่นเต้น ในยามที่ข้าจะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง แต่เวลานั้นก็ยังไม่มาถึงเสียที จนกระทั่งปีสุดท้ายในรั้วโรงเรียนข้าก็ยอมรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายในชีวิตอย่างแท้จริง และแรงผลักดันสุดท้ายที่ข้าต้องการกลับมาจากเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้

ในฐานะรุ่นพี่แถวหน้าที่อาวุโสที่สุด (หรืออะไรทำนองนั้นแหละ…) ข้าได้รับมอบหมายให้จับคู่กับนักเรียนใหม่หนึ่งคนเพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงระหว่างช่วงปฐมนิเทศในปีการศึกษาแรก (เป็นข้อบังคับและเป็นวิธีเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาและอาจได้เป็นอาจารย์คนใหม่ของอาเรทูซาในอนาคตอันใกล้) ข้าได้ดูแลเด็กสาวผอมแห้งตาโตที่เราเรียกกันว่า “สกายลาร์ค*” หลังจากได้พบกับนางไม่นานข้าก็ระลึกได้ว่าความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในอดีตของตัวเองถูกบั่นทอนไปมากขนาดไหนตลอดเวลาที่อยู่ในรั้วโรงเรียน ประการแรกนางเป็นเด็กที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และทักษะ และยังเชื่อมั่นในปรัชญาที่สถาบันเวทมนตร์ของเราเน้นย้ำอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นสาวน้อยผู้เพียบพร้อมที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมาทั้งในและนอกโรงเรียนอาเรทูซา ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างชั่วโมงศึกษาค้นคว้าของพวกเรา ครั้งหนึ่งนางเคยรำพึงรำพันขึ้นมาว่า ‘ถ้าเวทมนตร์คือความโกลาหล ก็สมควรแล้วที่ผู้ใช้เวทมนตร์ควรจะมีระเบียบวินัยเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง’ (ข้ารู้ในตอนนั้นเลยว่าในอนาคตนางจะได้เป็นอาจารย์ของอาเรทูซาอย่างแน่นอน อาจได้เป็นถึงอธิการเลยด้วยซ้ำ แล้วก็เป็นอย่างที่ข้าเดาไว้ไม่ผิด)

อาจกล่าวได้ว่าเด็กสาวใสซื่อผู้นี้ได้กำจัดตัวตนเดิมในอดีตของข้าไปจนหมดสิ้น ตัดสายใยเส้นสุดท้ายที่ข้าพยายามยึดเหนี่ยวเอาไว้ให้ขาดสะบั้นลง เมื่อไร้สิ่งลวงตาข้าก็เห็นความปรารถนาของตัวเองอย่างชัดเจน ข้ารู้แล้วว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป

น่าแปลกที่ท่านป้าออโรราทำใจได้กับข่าวการลาออกอย่างกระทันหันของข้า (เท่าที่ฟังจากคำพูดของท่านนะ)...

‘หลานรัก หากว่าใครวางเดิมพันกับม้าแข่งสักตัว แน่นอนว่าเขาย่อมตะโกนเชียร์ม้าตัวนั้นอย่างสุดเสียง แต่เสียงเชียร์จะมีประโยชน์อะไรสำหรับม้าที่ไม่อยากวิ่งแข่ง? หืม? ถ้าถามข้าล่ะก็… ข้าคงตอบว่ามันเสียแรงเปล่า’

ข้าไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ท่านป้าพูดเปรียบเปรยไว้ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องการวางเดิมพัน (กับตัวข้า?) แต่ข้าก็ไม่ฝืนความรู้สึกของตัวเอง ข้ากังวลพอ ๆ กับโล่งใจที่ท่านป้าพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งดีกว่าการตอบโต้อย่างดุเดือดอย่างที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ (ตอนนั้นข้าเริ่มลังเลกับเป้าหมายในการเรียน ข้าจึงคิดว่าท่านป้าคงพอรู้เรื่องนี้มาบ้างและเตรียมใจไว้แล้วก่อนที่ข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่าน)

แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังใจหายกับสิ่งต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปีสุดท้าย ดูเหมือนว่าทุกสิ่งจะกลับตาลปัตรในชั่วข้ามคืน ข้าเปลี่ยนจากลูกศิษย์คนโปรดกลายเป็นเด็กนอกคอกที่น่ารังเกียจไปแล้ว (ข้าขอข้ามเรื่องที่ท่านอาจารย์เดอวินเทอร์ส่งสัญญาณบอกอย่างอ้อม ๆ ว่าข้าไม่เป็นที่ต้อนรับของโรงเรียนอีกต่อไป จะดีกว่าถ้าเราไม่พูดถึงรายละเอียดของมัน...)

และแล้ว ด้วยสัมภาระอันน้อยนิดและคำกล่าวอำลา ข้าก็ออกเดินทางจากโรงเรียนอาเรทูซาที่ครั้งหนึ่งข้าเคยรัก และเริ่มต้นการผจญภัยสู่โลกกว้างเพียงลำพังในฐานะดวิมเวียนดรา

และนับจากนั้น… ข้าก็ไม่เคยหวนกลับไปอีกเลย


หมายเหตุ: สกายลาร์ค (Skylark) หมายถึงนกจาบฝน และเป็นชื่อเดิมของทิสซายอา เดอ วรีส์

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 12

เนื่องจากช่วงนี้เวลากลางวันสั้นลงและอากาศเริ่มเย็นขึ้น จึงเป็นอีกครั้งที่ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในที่พัก ขลุกอยู่หน้าเตาผิงอย่างอุ่นสบาย (ก็เฉพาะตอนที่ข้ามีโอกาสได้พักในสถานที่หรูหราเท่านั้นแหละ) นั่นหมายความว่าข้ามีเวลาเหลือเฟือที่จะนั่งจดบันทึกด้วยเช่นกัน

ปีที่ผ่านมาข้าค่อนข้างละเลยเรื่องการจดบันทึก หลังจากนึกทบทวนความทรงจำต่าง ๆ ข้าก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในความไม่สม่ำเสมออีกแล้ว ข้ามักจะมั่นใจว่าสามารถจดจำเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางและระลึกถึงมันในภายหลังได้ (แค่พูดน่ะมันง่าย) อย่างน้อยก็มีท่านป้าออโรราคนหนึ่งล่ะที่ไม่พอใจกับวิธีการอันเกียจคร้านเช่นนี้ ท่านมักจะย้ำเตือนอยู่เป็นประจำถึงความสำคัญของการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าเราไม่อยากจะทำสิ่งนั้นก็ตาม (จริง ๆ แล้วก็เน้นเฉพาะตอนที่เราไม่อยากทำนั่นแหละ) เท่าที่ข้าจำได้ ท่านป้าจะเริ่มการอบรมว่า “เราไม่อาจผ่านพ้นวันที่ยากลำบากโดยการพึ่งพาแต่แรงจูงใจเพียงอย่างเดียว เราต้องมีความพากเพียรอย่างไม่หยุดหย่อนด้วย มีแต่ความเพียรเท่านั้นที่จะทำให้เราปฏิบัติตนได้อย่างสม่ำเสมอ” ตรรกะของท่านป้านั้นไม่ผิดเลยสักนิด

แต่ในตอนนี้ข้าไม่ได้เขียนตามหน้าที่ ข้าเขียนด้วยแรงจูงใจต่างหาก (ข้าสามารถจินตนาการถึงสายตาขุ่นเคืองของท่านป้าออโรราที่คอยจ้องจับผิดมาจากอีกฝั่งของมหาทวีปได้เลย) ข้าอยากเขียนเพราะพักนี้สถานการณ์บางอย่างทำให้ข้าจำเป็นต้องจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องสำคัญมากเสียด้วย อย่างน้อย… มันก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัย และข้ากล้าพูดเลยว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุดมันจะกลายเป็นเรื่องชั่วช้าป่าเถื่อนเลยทีเดียว (ซึ่งข้าคิดว่ามันต้องเป็นไปในทางที่เลวร้ายแน่นอน)

ดูเหมือนว่าทัศนคติของผู้คนที่มีต่อเหล่านักเวทนั้นเปลี่ยนไปแล้ว และไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ข้าถูกขับไล่ไสส่งจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้นำของหมู่บ้านนั้นทั้งหยาบคายและโกรธเกรี้ยว ‘เราไม่ต้องการคนเสื่อมทรามอย่างพวกเจ้า ไปซะ! ออกไป!’ เขาตะโกนไล่ข้าแล้วขากก้อนเสมหะให้มันพุ่งตรงมาในทิศทางที่ข้ายืนอยู่ เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับความเกลียดชังถึงขนาดนี้นับตั้งแต่ข้าออกมาจากโรงเรียนอาเรทูซา และโชคร้ายหน่อย… ที่มันไม่ได้เป็นครั้งสุดท้าย ชุมชนอื่น ๆ ตามชนบทต่างพากันรังเกียจข้า แม่แต่ในเมืองที่ข้าเคยไปเยือนมาแล้ว เมืองที่ข้าเคยสร้างความสัมพันธ์อันดีและมีมิตรสหายมากมาย ตอนนี้พวกเขาไม่ต้อนรับข้าอีกแล้ว

เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป

ย้อนกลับไปเมื่อสองสามวันก่อน ข้ายังโชคดีที่ได้พบกับนักเดินทางนิสัยดีอยู่บ้าง นางเป็นนักกวีสาวน้อย*และดูเหมือนว่านางกำลังเดือดร้อนจากคำสาปประหลาดอยู่ด้วย (หรือบางทีอาจเป็นแค่มุกตลกโง่ ๆ และนางอยากล้อข้าเล่นเฉย ๆ) นางอ้างว่าตัวเองไม่อาจพูดออกมาเป็นคำพูดได้ เมื่อเปล่งเสียง คำพูดก็จะกลายเป็นเนื้อร้องและท่วงทำนองไปเสียทุกครั้ง และหลังจากข้าได้ฟังบทกลอนที่นางโพล่งออกมา ข้าก็เชื่อว่าคำสาปของนางเป็นเรื่องจริง (ไม่มีใครพูดเป็นบทกลอนตลอดเวลาได้หรอก ถ้าไม่ถูกบังคับให้ทำ)

อย่างไรก็ตาม เราใช้เวลาเดินทางร่วมกันอยู่หนึ่งวัน (นางกำลังเดินทางไปหาสหายคนหนึ่ง ซึ่งนางมั่นใจว่าจะช่วยถอนคำสาปร้องเพลงนี้ได้) ระหว่างนั้นนางได้ขับขานบทเพลงบรรยายเหตุการณ์ที่เห็นมากับตาในเมืองใกล้ ๆ กันนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

‘เมืองแห่งนั้นสับสนอลหม่าน                 พวกชาวบ้านโกรธเกรี้ยวเป็นหนักหนา
 เจ้ากวางน้อยถูกปลิดชีพชีวา               อุจาดตาพาให้ใจสลด

 ถูกควักไส้ทิ้งไว้ในบ่อน้ำ                       พิธีกรรมเร้นลับอัปยศ
 ต้องหาตัวหญิงร้ายใจเคี้ยวคด             นางแม่มดปะปนในหมู่เรา

 ช่างบังเอิญนักล่าผ่านมาพบ                จึงสมทบแล้วประกาศคำขาดกร้าว
“จะหาตัวคนชั่วผู้มัวเมา                         จับมาเผาลงทัณฑ์ให้บรรลัย”

 นางแม่มดหมดทางอำพรางเร้น            นักล่าเห็นจึงจับรัดมัดเสาไว้
 กองท่อนฟืนชุ่มน้ำมันพร้อมทันใด       แล้วจุดไฟเผาผลาญประหารนาง

 เมื่องานนั้นสำเร็จเสร็จอีกครา               เหล่านักล่าร่ำรวยด้วยค่าจ้าง
 จรลีลี้หายไปอีกทาง                               ไม่เว้นว่างฆ่าเข่นไม่เว้นวัน’

 

บางท่อนข้าก็ถอดมาแต่ใจความ (ก็ข้าไม่ใช่นักกวีนี่นา) แต่เค้าโครงส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม

หลายปีมานี้ข้าได้ยินเรื่องราวของเหล่าจอมเวทผู้ถูกพลังครอบงำ (หรืออาจเป็นแค่การเพิกเฉยต่อความทุกข์ร้อนของผู้อื่น) พวกเขามักเข้าไปพัวพันกับการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม และแน่นอน… ข้าก็เคยได้ยินเรื่องราวของผู้บริสุทธิ์ที่ถูกทำร้ายระหว่างการไล่ล่าด้วย

แต่เรื่องนี้มีบางอย่างที่แตกต่างไป

นักกวีสาวน้อยบอกว่านางได้ยินเรื่องราวของแม่มดชั่วร้ายมาหลายต่อหลายเรื่อง และนางยังบรรยายถึงสถานการณ์นี้เอาไว้ว่ามันคือการกวาดล้าง

แน่ล่ะ ข้าไม่เชื่อหรอก... ไม่เชื่อเลยสักนิด (และนางก็ไม่เชื่อเหมือนกัน)

ข้าเกรงว่ามีบางอย่างในสถานการณ์นี้ที่ผิดไปจากความเป็นจริง เหล่านักเวทไม่ได้พร้อมใจกันชั่วร้าย ให้ตายเถอะ… นักเวทในแดนเหนือนั้นมีอยู่แค่หยิบมือเดียว น้อยเกินกว่าจะแยกย้ายกันไปก่อเรื่องวุ่นวายตามที่สถานต่าง ๆ เหมือนที่มีคนกล่าวอ้าง โดยเฉพาะในแถบชนบทที่ห่างไกลอย่างนี้

จนถึงตอนนี้ข้ายังทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะสถานการณ์ที่วุ่ยวายทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ท่านคงพอนึกออกใช่ไหม แต่อย่างน้อยข้าก็มีเบาะแสอยู่อย่างหนึ่ง เป็นนามสกุลที่นักกวีสาวน้อยเคยเอ่ยถึงเอาไว้ นามสกุลที่ข้าเคยได้ยินตามโรงเหล้าสองสามแห่ง ซึ่งข้าโชคดีพอที่จะเข้าพักได้

เป็นนามสกุลที่ข้าเชื่อว่ามันจะนำพาไปสู่ต้นตอของเหตุการณ์ประหลาดนี้ อย่างน้อยก็เป็นอะไรที่จับต้องได้ เป็นเป้าหมายที่ข้าสามารถไล่ตามได้

นามสกุลที่ว่านั้น… นั่นคือ ‘เฮล**’

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡  จบบริบูรณ์  ✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ:

*นักกวีสาวน้อยคนนี้คือ สโนว์ดร็อป จากเรื่อง The Road to Maribor (Alzur’s Journey)

**หมายถึงตระกูล Hale ซึ่งเป็นครอบครัวนักล่าแม่มด ได้แก่ Octavia Hale (แม่), Fabian Hale (ลูกชายคนโต) และ Ignatius Hale (ลูกชายคนเล็ก) เดิมทีตระกูลเฮลเป็นชาวนิลฟ์การ์ดที่อพยพมายังแดนเหนือตอนที่การล่าแม่มดครั้งแรกเริ่มต้นขึ้น (ราว ๆ กลางศตวรรษที่ 12 หลังการก่อกบฏของฟอลก้า) พวกเขาหากินโดยการสร้างข่าวลือตามชนบทว่ามีแม่มดปะปนอยู่ในหมู่บ้าน จากนั้นก็จะจับตัวผู้หญิงหรือคนแก่ที่ไม่มีทางสู้มาเป็นแพะรับบาป เหยื่อที่ถูกกล่าวหาจะถูดเผาทั้งเป็น และตระกูลเฮลก็จะเรียกรับเงินค่าจ้างจากหัวหน้าหมู่บ้าน

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.