สรุปเนื้อเรื่องคอมิกส์ The Witcher: House of Glass เล่ม 1-2

เนื้อหานี้ทำขึ้นเพื่อสรุปเรื่องราวให้กับผู้ที่สนใจคอมิกส์ House of Glass สามารถอ่านตัวอย่างและซื้อในรูปแบบ ebook ได้ที่ digital.darkhorse.com | Goolgle Play Books | Amezon.com


The Witcher: House of Glass

วางจำหน่ายครั้งแรก: ปี 2014 ความยาว 5 เล่มจบ สำนักพิมพ์ Dark Horse Comics

เนื้อเรื่อง Paul Tobin | ภาพ Joe Querio | ลงสี Carlos Badilla | อักษร Nate Piekos

 

เล่ม 1

ที่ชายป่าทมิฬ [1] ในในเขตอังเกรนทางตอนใต้ของอาณาจักรเทเมเรีย นายพรานร่างท้วมหนวดเคราเฟิ้มคนหนึ่งกำลังหาปลาอยู่ริมทะเลสาบ แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเกรอลท์ควบเจ้าโร้ชโผล่พรวดเข้ามาทางด้านหลัง วิทเชอร์ขอโทษที่ทำให้นายพรานตกใจ และบอกว่าตั้งแต่เดินทางมาเขาแทบไม่พบมนุษย์คนไหนในละแวกนี้เลย นายพรานแนะนำตัวว่าเขาชื่อ “เจคอบ ออร์นสไทน์” และเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ในป่านี้มาหลายปีแล้ว พร้อมกับเชื้อเชิญเกรอลท์ให้เกรอลท์มาตั้งแคมป์ด้วยกัน เขาหาปลามาได้หลายตัวและกำลังหมักเครื่องปรุงไว้ในถุงหนัง ส่วนเกรอลท์ก็มีไวน์ชั้นเลิศจากทูซองต์ติดมือมาด้วย

แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดขวดไวน์ เกรอลท์ก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ใต้ผิวน้ำข้างหลังเจคอบ เขาจึงชักดาบเงินออกมาแล้วกระโจนพรวดลงไปในน้ำ ดราวเนอร์ตนหนึ่งกำลังจ้องเล่นงานเจคอบอยู่ โชคดีที่วิทเชอร์นั้นว่องไวกว่า เจ้าสัตว์ประหลาดจึงถูกสังหารด้วยคมดาบของเกรอลท์

วิทเชอร์ถอดเสื้อผ้าที่เปียกโชคออก ห่อตัวด้วยผ้าห่ม และมานั่งกินปลาเป็นมื้อค่ำข้าง ๆ กองไฟกับนายพราน พอได้ไวน์กลั้วคอทั้งสองคนก็คุยกันอย่างออกรส แล้วคำถามของเกรอลท์ก็ไปสะกิดเรื่องเศร้าของนายพรานจนได้ เจคอบเล่าว่าเมื่อก่อนนี้เขาเคยเคยมีภรรยาชื่อ “มาร์ทา” แต่เธอเสียชีวิตไปแล้ว จะว่าไป… เธอก็ยังไม่ได้จากไปเสียทีเดียว เธอยังคงตามมาเฝ้ามองเขาอยู่ทุกวัน

ว่าแล้วเจคอบก็ชี้ให้เกรอลท์มองไปตรงเนินไกล ๆ ข้างหลังเขา ซึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ในความมืด เธอสวมกระโปรงยาวรุ่งริ่ง ส่วนท่อนบนนั้นเปลือยเปล่า หน้าตาก็ดูสะสวยแต่ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ผมสีดำกระเซอะกระเซิงยาวปรกลงมาถึงเอว มาร์ทายืนนิ่งและจ้องมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดสักคำ

เจคอบเล่าว่าเมื่อ 9 ปีก่อน เขาและมาร์ทาเดินทางมายังป่าแถบนี้เป็นครั้งแรก แม้มันจะขึ้นชื่อเรื่องภูตผีปีศาจแต่พวกเขาก็ไม่สนใจคำเตือนเหล่านั้นเลย จนกระทั่งมาร์ทาโดนพวกบรุกซาจับไปกินเลือดและเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นบรุกซาไปด้วย เกรอลท์เริ่มแปลกใจกับสิ่งเจคอบเล่ามา เนื่องจากพวกบรุกซาไม่สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นบรุกซาได้ วิทเชอร์จึงถามเจคอบว่าเขาแน่ใจหรือเปล่าว่ามาร์ทากลายเป็นบรุกซาไปแล้วจริง ๆ ซึ่งเจคอบก็ยืนกรานหนักแน่น เพราะเขาเห็นอดีตภรรยาลงมือฆ่าทุกคนที่เดินทางผ่านป่านี้ แต่เธอก็ไม่เคยทำอันตรายเขา ทุกครั้งเธอจะปรากฏตัวพร้อมกับนกจับคอน [2] ฝูงเล็ก ๆ ที่ส่งเสียงร้องเพลงอย่างไพเราะ เจคอบยังเล่าถึงเหตุผลอีกอย่างที่ทำให้เขาปักหลักอยู่ที่นี่ ก็เพราะว่าเขาต้องคอยเตือนพวกนักเดินทางให้เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เพื่อคนเหล่านั้นจะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของมาร์ทา

หลังจากเกรอลท์ตั้งแคมป์อยู่กับเจคอบได้สองวัน เขาก็คิดว่าได้เวลาต้องเดินทางต่อแล้ว เขาเตรียมตัวบอกลานายพรานระหว่างกำลังออกล่ากวาง และตัวเขาเองก็ไม่มีปัญหาอะไรหากเจคอบจะเปลี่ยนใจแล้วออกเดินทางไปด้วย แม้นายพรานจะยังไม่สามารถตัดใจจากอดีตภรรยาของเขาได้ แต่มันอาจถึงเวลาแล้วที่ชีวิตต้องก้าวเดินต่อไป นายพรานก็เหมือนกับวิทเชอร์ที่ต้องดำรงชีวิตด้วยการออกล่า และการปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ มักจะนำพาความตายมาสู่พวกเขา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

สามชั่วโมงต่อมา นายพรานกับวิทเชอร์ก็จัดข้าวของขึ้นหลังม้าและเริ่มออกเดินทาง เจคอบมองไปยังเนินเขาที่มาร์ทาจะมาปรากฏตัวเป็นประจำ ก่อนจะขี่ม้าตัดเข้าไปในป่าพร้อมกับเกรอลท์จนพบสุสานกลางป่าทึบที่เต็มไปด้วยเห็ดและตะไคร่ ป้ายหินบนหลุมศพเอียงกะเท่เร่ บนเนินเตี้ย ๆ มีสิ่งก่อสร้างเล็ก ๆ คล้ายทางเข้าสุสานใต้ตินถูกปกคลุมไปด้วยมอสและต้นหญ้าจนมองแทบไม่ออก

เกรฟแฮ็กตนหนึ่งจ้องมองพวกเขาจากหลังต้นไม้ใหญ่ มันหัวเราะคิกคักและถามว่าพวกเขาจะเข้าไปที่บ้านหลังนั้นใช่ไหม? เจคอบเลยงงและถามกลับไปว่าบ้านหลังไหน แต่เกรอลท์กลับบอกเขาว่าให้ระวังลิ้นของมันไว้ เกรฟแฮกหัวเราะร่วนก่อนจะเตือนพวกเขาว่า

“ระวังบ้านหลังนั้นไว้ให้ดี ระวังพวกนกร้องเพลง ระวังกิริยาของพวกเจ้าด้วย ฮี่ ๆ … เดินให้ดี ๆ ล่ะ เดี๋ยวจะก้าวเข้าไปหาความตาย… ฮี่ ๆ ความตายอันแสนโอชะ”

แล้วมันก็หันหลังเดินหายเข้าไปในหมอก ทิ้งให้นายพรานกับวิทเชอร์งุนงงกับคำเตือนของมัน แม้จะแปลกใจอยู่บ้างแต่เกรอลท์ก็คิดว่าโชคดีแล้วที่มันไม่สนใจพวกเขา เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วทั้งคู่ก็หยิบถุงหนังใส่ไวน์ขึ้นมากระดกแก้เบื่อ ฝูงนกกาจับจ้องชายทั้งสองอย่างไม่วางตา จู่ ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าสาดส่องออกมาจากกลางป่าลึก เกรอลท์เห็นว่ามันผิดปกติจึงบอกให้เจคอบแยกตัวกลับไปซะ แต่นายพรานบอกว่าเขาตัดสินใจแล้ว เจคอบยื่นมือไปจับเครื่องรางที่ผูกอยู่ตามต้นไม้ มันทำมาจากกะโหลกและกระดูกชิ้นเล็ก ๆ ร้อยเป็นพวง วิทเชอร์จึงบอกนายพรานว่าพวกเขาเดินวนอยู่ที่เดิมมาได้สักพักแล้ว แสดงว่าแถบนี้เป็นอาณาเขตของสิ่งมีชีวิตโบราณอย่างเลนเชน

พูดไม่ทันขาดคำฝูงนกกาก็กระพือปีก เลเชนปรากฏตัวขึ้นและตั้งท่าพร้อมจู่โจมพวกเขา เจคอบกำลังจะควบม้าหนีเต่เกรอลท์ก็ห้ามไว้และบอกว่ามันเปล่าประโยชน์ ทันใดนั้นฝูงนกจับคอนสีฟ้าสดใสก็บินมานำทางพวกเขา จี้ห้อยคอของเกรอลท์สั่นเมื่อเข้าใกล้ฝูงนก บ่งบอกว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์ นกน้อยร้องเพลงเป็นสัญญาเรียกให้พวกเขาขี่ม้าตามไป เกรอลท์และเจคอบที่กำลังจวนตัวจึงควบม้าตามพวกมันไปอย่างไม่คิดชีวิต

และแล้วพวกเขาก็พบกับคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางป่า มันมีสามชั้น บานหน้าต่างล้วนเป็นรูปภาพที่ประกอบขึ้นจากชิ้นกระจกหลากสี ตามซอกหลืบและหลังคาถูกปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้ ฝูงนกน้อยบินไปเกาะราวระเบียงชั้นสามซึ่งมีศพสวมชุดเกราะนอนตายเป็นซากแห้ง ๆ อยู่ด้วย มาร์ทาปรากฏตัวข้าง ๆ ฝูงนก แล้วประตูทางเข้าตรงชั้นล่างก็เปิดอ้าออกพ้อมกับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าขนลุก ดูเหมือนว่ามาร์ทากำลังเชิญให้พวกเขาเข้าไปข้างใน

 

หมายเหตุ:

[1] ป่าทมิฬ (Black Forest) หรือที่เรียกว่า เคด ดู (Caed Dhu) ในภาษาเอลฟ์ เป็นป่าโบราณที่เคยมีพวกดรูอิดอาศัยอยู่

[2] นกจับคอน (Songbird, Passerine) เป็นนกขนาดเล็กในอันดับย่อย Oscines ซึ่งมีกล่องเสียงพัฒนาดีมากจนสามารถสร้างเสียงได้หลายรูปแบบ จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นนกนักร้องเพลง นกจับคอนมีสีขนหลากหลายรูปแบบ มีจงอยปากเรียวแหลมสำหรับจับแมลงกินเป็นอาหาร

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

เล่ม 2

เกรอลท์สังหรณ์ใจว่ามันอาจเป็นกับดัก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการต้องกลับไปเผชิญหน้ากับเลเชนและเกรฟแฮ็ก เขาจึงผูกเจ้าโร้ชไว้ตรงบ่อน้ำและเตรียมตัวเข้าไปในคฤหาสน์ แต่เขาก็ไม่อยากเดินเข้าไปทางประตูที่ดูเหมือนกับดักนั้นอยู่ดี วิทเชอร์จัดแจงปีนขึ้นไปบนระเบียงชั้นสามซึ่งตอนนี้มาร์ทาได้หายตัวไปแล้ว ส่วนเจคอบนั้นเดินเข้าไปทางประตูชั้นล่าง

นกน้อยที่ริมระเบียงยังคงร้องเพลงสื่อสารกับวิทเชอร์ ซึ่งเขาพอจับใจความได้ว่ามันเกี่ยวกับคำสาปและเวทมนตร์ แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคำสาป เกรอลท์เดินเข้าไปข้างในและพบว่าตามผนังนั้นมีรูปภาพแขวนอยู่เต็มไปหมด หนึ่งในนั้นเป็นรูปเกรฟแฮ็กที่เขาเพิ่งเจอมา ทางเดินและระเบียงบันไดตกแต่งด้วยผนังกระจกสีและภาพวาดเปลือกหอยนานาชนิด... และอะไรบางอย่างก็เดินตามเขามาด้วย

ที่โถงใหญ่ชั้นล่าง เจคอบกำลังถือขวานประจำกายในท่าเตรียมพร้อม แต่แล้วนายพรานก็สะดุ้งโหยงเมื่อวิทเชอร์โผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ทั้งคู่พบประตูไม้บานใหญ่ที่ด้านหนึ่งของห้องโถง แต่ยังไม่ทันเปิดก็มีสัตว์ประหลาดตนหนึ่งพังประตูออกมา มันดูคล้ายกูลแต่ตัวสูงใหญ่กว่าเกรอลท์เสียอีก วิทเชอร์จึงคิดว่ามันน่าจะเกิดจากคำสาปมากกว่า เขาเล่นงานเจ้าตัวอสุรกายด้วยคาถาอาร์ดและอิกนี ก่อนจะใช้ดาบเงินแทงทะลุหัวใจจนมันล้มลง แต่แค่อึดใจเดียวร่างที่ไหม้เกรียมก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปยังห้องตรงสุดทางเดินโดยไม่สนใจแขกผู้มาเยือนอีกเลย เจคอบกับเกรอลท์เดินตามมันไปและพบว่าข้างในห้องนั้นเต็มไปด้วยซากศพกองพะเนิน คนพวกนี้ตายมานานแล้วแต่ร่างกายกลับไม่เน่าเปื่อย มีทั้งพวกทหาร นายพราน พ่อค้า ผู้หญิง รวมไปถึงพวกสัตว์ประหลาดด้วย และบางศพก็เหมือนจะอยู่ที่นี่มานานนับศตวรรษแล้ว

ทั้งสองคนปิดประตูห้องแล้วลงไปที่ห้องโถงชั้นล่าง เจคอบได้กลิ่นอาหารและมันก็พาเขาไปเจอห้องจัดเลี้ยงที่มีโต๊ะตัวยาวเรียงรายไปด้วยอาหารและไวน์ชั้นเลิศ เขาคิดว่ามาร์ทาคงจะจัดเตรียมไว้ให้ เพราะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ มาร์ทาก็ชอบทำอาหารมาก ๆ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นแค่สตูว์กับมันฝรั่งอบ เธอยังชอบทำอะไรที่ดูไร้สาระอย่างการประดับขอบจานด้วยดอกไม้อีกด้วย ทั้งสองคนคุยไปกินไปขณะที่เงาตะคุ่ม ๆ กำลังจ้องมองพวกเขาจากข้างบน

สองชั่วโมงต่อมา เจคอบแอบย่องผ่านเกรอลท์กำลังนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ข้าง ๆ เตาผิง นายพรานถึงกับชะงักเมื่อวิทเชอร์เอ่ยปากถามว่าเขากำลังจะออกไปตามหามาร์ทาใช่ไหม เจคอบตอบว่าเขาจะเป็นคนไปตามหามาร์ทาเอง เพราะมันเป็นหน้าที่ของสามีอย่างเขา เกรอลท์จึงงีบต่อและปล่อยให้นายพรานเดินออกจากห้องไปตามลำพัง

ในเงามืดข้าง ๆ เตาผิง สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายผู้หญิงแต่มีเขาโค้งเหมือนเขาแพะและมีปีกเหมือนค้างคาวกำลังย่องเข้ามาหาเกรอลท์ แต่วิทเชอร์ก็คว้าข้อมือมันไว้ได้ทัน สัตว์ประหลาดตนนี้คือซัคคิวบัสที่มีเวทมนตร์ ทำให้เธออำพรางปีกและเขาโค้ง ๆ ไว้ได้ตามใจนึก และตอนนี้เธอก็กลายเป็นสาวสวยสุดเซ็กซี่ในชุดกระโปรงยาวสีแดงแหวกข้าง

ซัคคิวบัสแนะนำตัวว่าเธอชื่อ “วาร่า” เธอติดอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มานานจนเบื่อแล้ว พอเห็นว่ามีคนเป็น ๆ เข้ามาก็เลยอยากคุยด้วย วาร่ารินไวน์ส่งให้เกรอลท์และเล่าว่าเธอเองก็ออกไปไม่ได้ เนื่องจากข้างนอกมีเกรฟแฮ็กและเลเชนที่จะอาจโผล่มาตอนไหนก็ได้ เกรอลท์คุยกับเธอด้วยท่าทีเย็นชาจนทำให้ซัคคิวบัสพยายามละลายน้ำแข็งด้วยการจูงมือเขาไปเดินชมห้องต่าง ๆ ในคฤหาสน์ ระหว่างนั้นเกรอลท์ก็พูดถึงเรื่องที่เจคอบกำลังตามหาบรุกซาที่เป็นอดีตภรรยาของเขา และถามซัคคิวบัสว่าเธอได้เจอมาร์ทาบ้างหรือเปล่า วาร่าบอกว่าเธอเคยเห็นมาร์ทาก็จริงแต่ไม่เคยคุยด้วยเลย และสงสัยเรื่องที่เจอคอบบอกว่ามาร์ทาเป็นบรุกซาเหมือนกัน

ทั้งคู่เดินผ่านทางเดินที่ประดับประดาไปด้วยเขาสัตว์ ภาพวาดเปลือกหอย และผนังกระจกสีที่เรียงเป็นรูปช่างตีเหล็ก วาร่าบอกว่าบ้านหลังนี้จะกลายสภาพไปเรื่อย ๆ จนไม่มีทางเดินสำรวจได้ทั่ว พอเริ่มเบื่อเธอก็หันไปยั่วยวนวิทเชอร์อีกรอบ ซึ่งเกรอลท์ก็ตอบสนองด้วยความเย็นชาเหมือนเดิม เธอจึงพาวิทเชอร์ไปที่ห้องจัดเลี้ยงอีกห้องซึ่งเต็มไปด้วยอาหารเช่นเคย เกรอลท์สงสัยว่าใครเป็นคนทำอาหารพวกนี้ แต่ก็ยังหยิบกินอย่างไม่กลัวว่ามันจะมีพิษ เพราะวิทเชอร์มีภูมิต้านทานที่รับมือกับสารพิษได้แทบทุกชนิด วาร่าเลยสงสัยว่าถ้าวิทเชอร์ดื่มเหล้าแล้วจะเมาเหมือนคนทั่วไปหรือเปล่า ซึ่งเกรอลท์ก็ตอบว่าเขาเมาได้ แต่ต้องดื่มมากกว่าคนปกติหลายเท่าเลย ซัคคูบัสจึงรินไวน์ให้เขาแก้วแล้วแก้วเล่าจนวิทเชอร์เริ่มคุยอย่างเป็นมิตรมากขึ้น เขาเล่าเรื่องตลกจนวาร่าหัวเราะออกมา แล้วจู่ ๆ เธอก็มอบกุญแจดอกหนึ่งให้เขา

“ข้าชอบเจ้านะ เกรอลท์ ข้ามีของขวัญมอบให้ด้วย เป็นกุญแจไขประตูห้องข้าที่อยู่บนชั้นสี่”

“หืมม… บ้านนี้มีแค่สามชั้น”

“นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเลือกเปิดประตูบานไหน จริง ๆ แล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจหรอก ข้าไม่เคยล็อกห้องอยู่แล้ว”

“เจ้าให้กุญแจกับข้า เพื่อ?”

“เพื่อให้เจ้ารู้ว่าข้ารอต้อนรับอยู่น่ะสิ”

แล้วทั้งคู่ก็เดินโอบไหล่กันและกันออกสำรวจบ้านต่อ วาร่าเล่าถึงสาหตุที่ทำให้เธอต้องมาติดแหง็กอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอเท้าความว่ากำลังเดินทางจากเมืองเวนเกอร์เบิร์กไปยังเมืองรี้ดบรูน โดยอาศัยไปกับกองคาราวานพ่อค้า แต่ต่อมาเธอก็พบว่าพวกเขาเป็นโจรในคราบพ่อค้ามากกว่า วันหนึ่งพวกเขาก็ถูกไล่ล่าโดยกองทหารที่กำลังโกรธเกรี้ยวสุดขีด ทุกคนจึงควบม้าหนีเข้ามาในป่าทมิฬและติดอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้อย่างที่เห็น

เกรอลท์สงสัยว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วคนอื่น ๆ หายไปไหนหมด วาร่าจึงเปิดพรมปูพื้นห้องขึ้นมา ข้างใต้นั้นมีประตูที่เปิดลงไปยังห้องใต้ดินซึ่งเธอและคนอื่น ๆ เพิ่งหามันเจอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วาร่าเปิดประตูขึ้นและชวนวิทเชอร์ไปลงไปข้างล่างด้วยกัน เกรอลท์เดินลงบันไดนำหน้าไปก่อน แล้วก็พบว่าสิ่งที่อยู่ในห้องใต้ดินนั้นไม่ใช่มนุษย์เป็น ๆ แต่เป็นกองซากศพที่ตายมานานจนแห้งกรังและขึ้นรา พวกมันตื่นขึ้นพร้อมกับพูดซ้ำ ๆ ว่า “ถูกสาป” รู้ตัวอีกทีวิทเชอร์ก็ตกอยู่ในวงล้อมของซากศพเดินได้… โดยไม่มีแม้แต่เงาของวาร่า

 

📜 อ่านสรุปเนื้อเรื่องเล่ม 3-4 ที่นี่

 

ชื่อตัวละครและสถานที่ภาษาไทยเทียบกับต้นฉบับ

Angren = อังเกรน / Jakob Ornstine = เจคอบ ออร์นสไทน์ / Marta Ornstine = มาร์ทา ออร์นสไทน์ / Vara = วาร่า / Riedbrune = เมืองรี้ดบรูน

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.