Radically Liberal Arts (Part 4: Chapter 10-12 END)

📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3 | อ่าน Part 2: บทที่ 4-6 | อ่าน Part 3: บทที่ 7-9

 

บทที่ 10

เมืองอ็อกเซนเฟิร์ตเริ่มเย็นลงหลังจากค่ำคืนอันเร่าร้อนของเทศกาลเบเลทีนผ่านพ้นไป

แสงอรุณทักทายเมืองพร้อมกับหยาดฝนปรอย ๆ ขับไล่พวกอันธพาลกลุ่มสุดท้ายให้รีบกลับบ้านหลังค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองอันแสนยาวนาน

แต่ถึงกระนั้นตลาดในเมืองก็ยังคงมีผู้คนพลุกพล่าน เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ทยอยเก็บแผงสินค้าและนับเงินอย่างสำราญใจ แดนดีไลออนและอิริอานาเดินลัดแผงลอยประดับดอกไม้และเลี้ยวเข้าไปยังตรอกแคบ ๆ ระหว่างทิวบ้านเรือนที่สร้างด้วยอิฐสีแดง ทั้งสองหยุดลงตรงประตูโลหะหน้าทางเข้าสวนของบ้านหลังหนึ่ง คราวนี้นักกวีรู้แล้วว่าต้องหลบต้นตำแยไปทางไหน

‘แดนดีไลออน… ไม่นะ’

หยาดฝนหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้พงหญ้าราบลู่ลงไป นักกวีพลิกคอเสื้อให้ตั้งขึ้น ปาดนิ้วไปตามขอบหมวกเพื่อรีดน้ำฝนที่ชุ่มโชกออก เขารู้สึกปวดศีรษะและไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนหรือเปล่า นักกวีได้แต่สงสัยอยู่อย่างนั้น

‘อิริอานา…’ เขาโอดครวญ ‘ถ้าเจ้าไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเลวร้ายแค่ไหนล่ะก็ ข้าจะทบทวนความจำให้สักหน่อยว่าตรงโน้น…ข้างหลังตลาดน่ะ มันมีมหาวิทยาลัยอยู่ และกลุ่มก้อนควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ข้างบนนั้นมันมาจากซากอาคารภาควิชาศาสนวิทยาที่ถูกเผาจนวอด ถ้ายึดตามคำพูดของสังฆาธิการแล้ว ทั้งหมดที่ว่ามานี้ล้วนเป็นความผิดของเจ้ากับข้า’

‘เขายังไม่ปักใจเชื่อสักหน่อย’

‘มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่า ที่สำคัญคือหลักฐานทุกอย่างมันชี้ไปทางไหนต่างหาก’

‘ข้าเคยบอกท่านแล้วนี่… ข้าจะไม่เข้าไปข้างในอย่างเด็ดขาด’

แดนดีไลออนทิ้งแขนลงอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

‘มันจะไม่เกิดฉากน้ำเน่าแบบนั้นขึ้นหรอกน่า! ไม่มีใครขอร้องให้เจ้าทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของพ่อเจ้าเลย แต่เจ้าต้องเข้าใจสักทีว่าเขาสามารถช่วยเหลือพวกเราได้’

‘ไม่ ท่านนั่นแหละที่ต้องเข้าใจข้า ข้าไม่ต้องการให้เขาช่วย และจะไม่เข้าไปในบ้านหลังนี้ด้วย’

นักกวีถอนหายใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเอาศีรษะไปโขกกับกำแพงมา เสื้อผ้าของเขาเปียกโชก ความหนาวเย็นเริ่มซึมลึกเข้าไปในกระดูก เขาทนไม่ไหวแล้ว พอได้เห็นท่าทางแข็งขืนของอิริอานา นักกวีจึงตัดสินใจว่าจะใช้ยุทธวิธีอื่นซึ่งให้ผลดีกว่าการรบเร้าเซ้าซี้เสมอ

เขาก็แค่แกล้งทำเป็นเหมือนว่าไม่มีปัญหานั้นอยู่

‘เอาเถอะ… ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าบ้านหลังนี้มันเก่าแก่ซอมซ่อ ข้าไม่โทษเจ้าหรอกที่ไม่อยากรีบร้อนเข้าไปข้างใน แต่อย่างน้อยหลังคาบ้านก็ยังพอใช้งานได้อยู่ และมันก็เป็นสิ่งจำเป็นในสภาพอากาศแบบนี้ด้วย’

อิริอานาหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดอะไร ประตูก็ส่งเสียงครางดังเอี๊ยด

‘อิริ แดนดีไลออน เข้ามาสิ’

นักกวีแอบยิ้มอยู่ในใจ


*

ภายในบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นซุป

ดีคสตราเชิญทั้งคู่ให้นั่งลงตรงโต๊ะที่มีเทียนไขหลายเล่มถูกจุดเอาไว้ แดนดีไลออนสังเกตได้ทันทีว่าสายลับมีท่าทางที่เปลี่ยนไป ดีคสตราดูเกร็ง ๆ กว่าปกติ การเคลื่อนไหวของเขาสูญเสียจังหวะอันทรงพลังไปจนหมดสิ้น แต่เขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่มีท่าทางเปลี่ยนไป อิริอานาที่เคยตวาดแหวและออกฤทธิ์ออกเดชเมื่อครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ นางแทบจะหมดเรี่ยวแรงลงทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในบ้าน

ดีคสตราใช้ทัพพีคนซุปในหม้อก่อนจะตักแบ่งใส่ถ้วยและวางลงบนโต๊ะอาหาร

‘รองท้องกันก่อน’ เขาเอ่ยขึ้นแล้วจึงเริ่มกิน

แดนดีไลออนใช้ช้อนคนซุปในถ้วย ‘ซุปคือการเริ่มต้นที่ดีเลยล่ะ’ นักกวีกล่าว

‘เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร?’ ดีคสตราถาม

‘มันทำให้ข้านึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ขึ้นมาน่ะ ซุปปลาที่ข้าเคยกินตอนกำลังออกเดินทางเมื่อนานมาแล้ว ข้ากับมิลวาจับปลาซิวมาได้นิดหน่อย ส่วนคาเฮียร์บุตรชายของเคลลาควางเบ็ดได้ปลาไพค์ตัวเบ้อเริ่ม เราเอาผักเท่าที่พอจะหาได้ใส่ลงในหม้อที่เก็บมา… เรจิสแบ่งเครื่องเทศกับสมุนไพรมาให้ แล้วเราก็ใช้เสื้อเกราะโซ่ถักของคาเฮียร์กรองซุปอีกที แม้แต่เกรอลท์ก็ยังมาช่วยพวกเราทำอาหารเลย ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้พวกเราได้เรียนรู้ขึ้นอีกเยอะ’

ดีคสตรากระพริบตา

‘ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการจะเรียนรู้อะไรจากซุปนี่ มันก็แค่ซุปหัวหอมธรรมดา ๆ’

อิริอานาผลักถ้วยซุปของนางออกไป สายลับพยายามเลี่ยงที่จะหันไปมองนางซึ่ง ๆ หน้า

‘อิริ ขอบใจที่เจ้ามา’ เขาเอ่ย

‘อย่ามาเรียกข้าแบบนั้น’

‘ก็ได้’

อิริอานาลุกขึ้นและขยับตัวออกจากโต๊ะอาหาร

‘มันเป็นความผิดพลาดต่างหาก’ นางกล่าวอย่างไม่พอใจ ‘แดนดีไลออน… รีบทำธุระให้เสร็จ ๆ แล้วออกไปจากที่นี่กันเถอะ ข้าจะออกไปรอข้างนอก’

เสียงฟ้าคำรามดังสนั่น ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงดังเปรี้ยงขึ้นเมื่อสายฟ้าฟาดลงที่ไหนสักแห่งเหนือหลังคาบ้าน นักกวีมองออกไปนอกหน้าต่าง ‘เจ้าแน่ใจนะ?’

‘จะทำอะไรก็เชิญ ข้าจะขึ้นไปรอที่ชั้นบน แต่ขอร้องล่ะ…ช่วยรีบ ๆ หน่อย’

ดีคสตราเคลื่อนสายตาตามนางไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อประตูห้องปิดลงนักกวีก็ตัดสินใจยุติการทรมานสองพ่อลูกและรีบเข้าประเด็นทันที

‘ฟังนะ…’

‘ข้ารู้หมดแล้ว’ สายลับขัดจังหวะ ‘ไอเซนกริมรายงานกลับมาทุกอย่างแล้ว’

‘แล้วจะเอาไงต่อดีล่ะ?’

‘ข้าก็บอกไปแล้วนี่ เจ้าต้องหาหลักฐานมาให้ได้’

‘มันมีหลักฐานซะที่ไหนกันเล่า ต่อให้มันมีจริง ๆ ก็คงแล่นฉิวไปถึงโคเวียร์กับเรือคอร์เดียลแฮงแมนไปแล้ว’

‘ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีปัญหาแล้ว’

‘ดีคสตรา… ปัญญาอันล้ำลึกของเจ้าน่ะสร้างความฉงนและทำให้ข้าตกตะลึงจริง ๆ สมกับการเป็นหัวหน้าสายลับโดยแท้’

‘เงียบไปเลย ข้าจะใช้ความคิด’

จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นบน ตามมาด้วยเสียงทึบเหมือนมีบางอย่างกระแทกลงกับพื้น ดีคสตราวิ่งขึ้นบันไดไปก่อนที่แดนดีไลออนจะทันได้กระพริบตาเสียอีก มีดสั้นเซอร์ริเคเนียส่องประกายแวววาวอยู่ในมือของสายลับ

พวกเขารีบเข้าไปดูในห้อง อิริอานานั่งอยู่บนพื้น นางกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ โน้มตัวลงจ้องมองภาพวาดที่วางอยู่เบื้องหน้า แดนดีไลออนแทรกตัวผ่านใต้วงแขนของดีคสตราเข้าไปข้างใน เขาคุกเข่าลงข้าง ๆ อิริอานาและโอบกอดนาง

ภาพวาดที่นางโยนลงบนพื้นห้องคือรูปของชายสูงวัยที่มีสันจมูกโด่ง อาจเป็นเจ้าของเดิมของบ้านหลังนี้ ในภาพยังมีสตรีและเด็กหญิงอยู่เคียงข้างกายเขาด้วย หรือจะเป็นภรรยากับลูกสาว? นักกวีจ้องมองภาพดูใกล้ ๆ แล้วก็ต้องตกตะลึงกับใบหน้าที่ดูคลับคล้ายคลับคลาอยู่ไม่น้อย แดนดีไลออนมั่นใจว่าเด็กสาวที่เขากำลังโอบกอดอยู่คือเด็กหญิงที่อยู่ในภาพ

นักกวีถอนหายใจ

‘บ้านหลังนี้คือบ้านของเจ้าใช่ไหม?’

‘เคยเป็น’ อิริอานาตอบ ‘มันเคยเป็นบ้านของข้า ก่อนที่เจ้าหมูโสโครกตัวนั้นจะยึดมันไปและจับตัวพ่อของข้าส่งไปที่คุกดราเคนบอร์ก’

‘เขาไม่ใช่พ่อของเจ้า’ ดีคสตราแย้ง

อิริอานาเงยหน้าขึ้น

‘หมูโสโครกแบบเจ้าไม่เคยคิดอยากจะเป็นพ่อคนหรอก เขาเป็นคนสำคัญของข้า ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เต็มออกว่าข้า…ไม่ใช่สายเลือดของเขา’

‘ดีคสตรา…’ แดนดีไลออนเอ่ยขึ้น ‘...เจ้าขับไล่พวกเขาออกไปรึ?’

สายลับเหน็บมีดเข้ากับเข็มขัดและยักไหล่

‘ไม่มีใครขับไล่ใครทั้งนั้น เคาท์แวนทรอฟฟ์เก้…สามีของแม่ของอิริอานาแอบร่วมมือกับหน่วยสืบราชการลับเคดเวน ตำแหน่งสมาชิกในราชสภาทำให้เขาเข้าถึงความลับต่าง ๆ ของอาณาจักรได้ เมื่อเขานำข้อมูลเหล่านั้นไปเปิดเผยก็เท่ากับว่าเขาเป็นกบฏขายชาติ ต้องรับโทษประหารและถูกริบทรัพย์สิน’

อิริอานาลุกขึ้นยืนพร้อมกับปาดน้ำตา

‘แม่เคยบอกข้าอยู่หลายครั้งว่าการไปนอนกับเจ้าคือความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของนาง และข้าก็รู้สึกแบบนั้นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าข้าเป็นแค่ความผิดพลาด แต่เขาไม่เคยคิดว่าข้าเป็นแบบนั้นเลย เจ้าส่งเขาขึ้นตะแลงแกง เจ้าเป็นคนฆ่าเขา เจ้าหมูโสโครก!’

ดีคสตราก้มหน้าลง เมื่อเขาเอ่ยคำพูด น้ำเสียงของเขาช่างฟังดูอ่อนล้า

‘ใช่ ข้าทำให้เขาตาย… ตายไปจากสารบบราชการเฉย ๆ’

‘พูดบ้าอะไรของเจ้า?’

‘ในวันที่มีการแขวนคอประหารชีวิตพวกคนทรยศที่คุกดราเคนบอร์ก มีถุงอยู่ใบหนึ่งที่ไม่มีนักโทษอยู่ข้างใน เคาท์แวนทรอฟฟ์เก้ได้รับข้อเสนอที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ เขาจะต้องออกไปจากเรเดเนียและไม่กลับเข้ามาในอาณาจักรนี้อีก’

ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้อง มีเพียงเสียงหยาดฝนที่กระหน่ำลงบนหลังคาและขอบหน้าต่าง เวลาผ่านเลยไปครู่หนึ่งอิริอานาก็เอ่ยขึ้นมา

‘เขายังมีชีวิตอยู่?’

‘ข้าไม่รู้ บางทีอาจจะเป็นอย่างนั้น’

‘แล้วทำไมเจ้าไม่ยอมบอกข้า?’

‘มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว’

‘แล้วไงล่ะ? ข้าควรต้องซาบซึ้งพระคุณของเจ้างั้นรึ?’

‘ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงดี แต่ข้าไม่ถือสาหรอก อย่างน้อยขอให้เจ้าเลิกเกลียดข้าก็พอ’

อิริอานาปรายตามองไปที่ภาพวาด นางหยิบเศษกรอบรูปที่แตกหักขึ้นมาชิ้นหนึ่งและพลิกกลับไปกลับมาอยู่ในมือ

‘ข้าไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่านะ’ นางตอบ ‘แต่เอาเป็นว่าข้าจะอนุญาตให้เจ้าเข้ามาในชีวิตข้าสักห้านาทีก็แล้วกัน’


*

เมื่อทุกคนกลับลงมาที่โต๊ะอาหาร อิริอานาก็คว้าถ้วยซุปของนางและรับประทานอย่างเงียบเชียบ นักกวีกระแอมให้คอโล่ง

‘กลับมาที่เรื่องเผามหาวิทยาลัยได้หรือยัง?’ เขาเอ่ยขึ้น

‘หลักฐาน’ ดีคสตราเตือนความจำนักกวี ‘ข้าบอกให้เจ้าไปหาหลักฐาน หรือไม่ก็สร้างมันขึ้นมา’

‘ข้าทำได้ซะที่ไหนกันล่ะ? โทษทีนะ…พอดีว่าข้าเป็นศาสตราจารย์ด้านคีตกวีที่มีแค่บัตรยืมหนังสือ ไม่ได้มีทรัพยากรเหลือแหล่เหมือนพวกสายลับของทางการสักหน่อย’

‘ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีปัญ—’

‘ขอร้องล่ะ ดีคสตรา เลิกพูดสักทีว่าข้ากำลังมีปัญหา เพราะข้าชักจะทนไม่ไหวแล้ว! ขอเตือนไว้เลยนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะแต่งเพลงกวีด่าเจ้า’

สายลับไม่พูดอะไรอีก อิริอานาจัดการซุปจนเกลี้ยง นางขยับถ้วยและเคาะช้อนเป็นสัญญาณว่าต้องการซุปเพิ่ม

‘ข้าไม่เข้าใจว่าเราจะตื่นตูมกับเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร’ นางเอ่ยพร้อมกับบิก้อนขนมปังจุ่มลงในซุป ‘ภาควิชาถูกเผา… แล้วไงล่ะ?’

แดนดีไลออนหันไปมองนาง เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ท่าทีของนางเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ เขาเคยผ่านเรื่องน้ำเน่าในชีวิตมาอย่างโชกโชนเพื่อแสวงหามิตรสหายที่มีบางสิ่งคล้าย ๆ กัน เขาเคยพบคนบางคนที่เก็บความทุกข์ระทมไว้เบื้องหลังและสลัดมันออกไปได้ราวกับสลัดน้ำฝนทิ้ง ดูเหมือนว่าอิริอานาจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นด้วย

‘ตอนที่ข้าทำงานกับท่านแรดคลิฟฟ์น่ะ มีเหตุไฟไหม้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเลย’ นางเล่า ‘อสังหาฯในย่านที่เขาอยู่มีราคาตกไปเยอะมากเพราะเกิดไฟไหม้แทบทุกสัปดาห์ แล้วก็มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาทำการทดลองด้วย เพราะฉะนั้น—’

แดนดีไลออนอ้าปากค้าง

‘แรดคลิฟฟ์!’ เขาตะโกนอย่างตื่นเต้น ‘ใช่แล้ว! อิริอานา เจ้าฉลาดมาก!’

‘อะไรนะ?’

นักกวีหักข้อนิ้วและสร้างบรรยากาศให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เขาเป่าลมให้เทียนบนโต๊ะดับลงไปเล่มหนึ่งแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า นักกวีลดระดับเสียงพูดลงจนเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบ ดีคสตราและอิริอานาขยับเข้าไปฟังใกล้ ๆ ตอนนี้ผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งสามกำลังคิดแผนการอยู่เหนือซุปหัวหอม

‘ฟังนะ’ แดนดีไลออนกระซิบ ‘เราจะทำแบบนี้….’

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 11

สายฝนยามสนธยาทำให้กลุ่มควันเหนือมหาวิทยาลัยมลายหายไป

มีเสียงเอะอะวุ่นวายภายในสถานศึกษา นักบวชอัคคีนิรันดร์และเหล่าทหารเรเดเนียต่างตะโกนออกคำสั่งโหวกเหวกใส่กัน เกวียนบรรทุกสเบียงกระแทกเข้ากับหล่มโคลนอย่างแรง คณาจารย์และพวกนักศึกษาพากันมารวมตัวภายในประตูมหาวิทยาลัย จ้องมองจุดจบโลกทั้งใบของพวกเขาอย่างเงียบงัน

แดนดีไลออนรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในห้องทำงาน เขาพิงหน้าผากลงบนหน้าต่างพลางถอนหายใจไปด้วย แต่ก่อนที่เขาจะจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความเศร้าสลด นักกวีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา

เขาสลัดความขมขื่นทิ้ง นั่งลงหลังโต๊ะทำงานและยกมือขึ้นมาเท้าคาง นักกวีนั่งอยู่ในท่าเดียวกับรูปปั้นนักคิดในสวนที่เขาเคยใช้กลเม็ดเด็ดพรายหลอกล่อพวกลูกศิษย์สำเร็จมานักต่อนัก

ประตูเปิดออก รานัลฟ์เดินเข้ามาในห้อง เขานั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่ปริปากพูด ภาษากายแสดงออกถึงความเคารพและความระมัดระวังเฉกเช่นนักศึกษาที่ถูกอาจารย์เรียกมาเพื่อตำหนิ เขายังคงเล่นละครไปตามบทของตัวเองอย่างแกน ๆ เช่นเดียวกับที่แดนดีไลออนทำ

‘ต้องการพบข้ารึ? ท่านศาสตราจารย์’

‘ใช่แล้วล่ะ รานัลฟ์’ แดนดีไลออนแตะเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขาพร้อมกับเอ่ยคำชม ‘เยี่ยมไปเลย’

เจ้าหนุ่มโคเวียร์หยิบเอกสารมาคลี่อ่านดู ‘นี่มันวิทยานิพนธ์ของข้า?’

‘ใช่ เป็นการวิเคราะห์ผลงานฌอง เดอ ซานูลี ในยุคสมัยของอาณาจักรซินทราได้อย่างน่าสนใจและชวนให้สงสัยใคร่รู้ ต้องยอมรับเลยว่าข้าประทับใจมาก เจ้าผ่านหลักสูตรนี้แล้ว’

รานัลฟ์มองไปยังม้วนเอกสารคล้าย ๆ กันที่ถูกเรียงซ้อนไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ เขาม้วนแผ่นกระดาษของตัวเองและเก็บเข้ากระเป๋า

‘กองทัพกับศาสนจักรเข้ามาคุมมหาวิทยาลัยแล้ว ท่านยังมีอารมณ์นั่งตรวจวิทยานิพนธ์อยู่อีกรึ? ท่านน่ะทำให้ข้าทึ่งจริง ๆ ศาสตราจารย์’

‘ทึ่งเรื่องอะไรล่ะ?’

‘ก็…ท่านยังอยู่ที่นี่ ไม่คิดจะเดินทางไกลขึ้นเหนือบ้างเลยรึ?’

นั่นปะไร… อดที่จะแสดงท่าทีของผู้ชนะไม่ได้เลยสินะ? แดนดีไลออนคิด

นักกวีอ้าแขนกว้าง

‘ยังมีบางสิ่งที่ข้าต้องทำให้ได้ก่อนภาคเรียนนี้จะจบลง ข้าต้องสะสางรายการหนังสือในบัตรยืมซะก่อน… เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์อลอนโซจะทำทุกทางเพื่อให้ข้าเอาหนังสือไปคืนหอสมุด ต่อให้ข้าถูกขังไว้ในคุกใต้ดินที่ลึกที่สุดในโคเวียร์ เขาก็จะตามไปเอาหนังสือที่ข้ายังไม่ได้คืนจนได้ เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้ข้าต้องยกเลิกแผนการลาพักร้อน ถึงแม้ว่ามันจะเริ่มต้นได้อย่างหฤหรรษ์ก็ตาม’

‘ต่อให้ท่านพูดเป็นต่อยหอยก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก มันจบแล้ว’

นักกวีเงียบปาก เขารู้อยู่แล้วว่าการสนทนาครั้งนี้จะลงเอยแบบไหน แต่เขาก็มั่นใจว่ายังมีสิ่งสำคัญที่รอคอยอยู่ข้างหน้า และเขาก็คิดไม่ผิดเลย

‘ปัญหานี้มีทางออกอยู่ทางหนึ่ง’ รานัลฟ์เอ่ยขึ้น ‘ท่านอาจจะรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว อยากได้อะไรก็ว่ามา’

‘ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่’

‘โอ้…อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย เพื่อน ๆ ของข้าที่แลนเอ็กเซเตอร์น่ะตื่นเต้นมากตอนที่ได้รู้ว่าท่านกำลังเดินทางไปพร้อมกับเรือ สิ่งที่ท่านรู้นั้นมีค่าต่อพวกเขามาก ต่อให้ต้องเสียเงินเสียทองพวกเขาก็ยินดีจ่ายให้ ข้าขอย้ำชัด ๆ อีกครั้ง…บอกราคาค่างวดของท่านมา’

‘จะจ่ายมากแค่ไหน เจ้าก็ซื้อข้าไม่ได้หรอก’

‘บางทีเงินอาจซื้อท่านไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นล่ะ… บางสิ่ง…ที่ท่านจะยอมกระโดดเข้ากองไฟเพื่อให้ได้มันมา’

‘อย่างเช่น…?’

รานัลฟ์ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างพร้อมกับประสานมือเข้าหากัน

‘อย่างเช่นมหาวิทยาลัยอ็อกเซนเฟิร์ต อาจจะแก้ไขไม่ได้ทุกอย่าง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากสหายของข้า ผลกระทบที่ตามมาจะเปลี่ยนไป…ในทางที่ดีขึ้น’

‘ช่างเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนเหลือเกิน แต่เกรงว่าข้อมูลอันล้าสมัยของข้าจะไร้ประโยชน์ใด ๆ ต่อผองเพื่อนของเจ้า’

‘ใครบอกว่าพวกเขาอยากรู้ข่าวซุบซิบของเมื่อวานกันล่ะ? พวกเขาสนใจเรื่องใหม่ ๆ ต่างหาก’

เจ้าหนุ่มโคเวียร์โน้มตัวเข้าใกล้และจรดปลายนิ้วลงบนโต๊ะ

‘เอลฟ์ที่ไปปรากฏตัวตรงท่าเรือคือไอเซนกริม เฟวลทิอาร์นา ฉายาหมาป่าเหล็ก เขาเที่ยวตระเวนไปกับสายลับหนึ่งเดียวคนนั้นมาได้สักพักแล้ว เรเดเนียไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา… เพื่อน ๆ ของข้าสามารถคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกเขาได้’

เสียงระฆังด้านนอกดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกเวลาชั่วโมงใหม่ แดนดีไลออนสงสัยว่าเมื่อไรมันจึงจะเงียบเสียงไปตลอดกาล

‘ท่านมีเวลาถึงพรุ่งนี้’ รานัลฟ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าพาดแขน ‘พาดีคสตรามาให้เรา แล้วข้าจะช่วยท่าน เราจะกอบกู้อ็อกเซนเฟิร์ตไปด้วยกัน’


*

‘เราจะทำแบบนี้จริง ๆ หรือ?’

อิริอานายืนอยู่ข้าง ๆ แดนดีไลออนหน้าตู้เสื้อผ้า ขณะที่เขาหยิบผ้าแพรวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยมาสวมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกล่าวสุนทรพจน์

‘เจ้าร่ายมนตร์ลงไปแล้ว เราก็แค่จัดการที่เหลือให้เสร็จสมบูรณ์’

‘ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพ่อ…ข้าหมายถึงดีคสตรา…ถึงได้เห็นด้วยกับแผนนี้ เขาควรเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นสายลับในอุดมคติจริง ๆ’

‘ข้าคิดว่าเขายอมทำทุกอย่างเพื่อเจ้า’

นางหันไปมองทางอื่นอย่างละอายใจและเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

‘ท่านไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงเลยรึ?’

‘ทำไมล่ะ?’

‘เรามาถูกทางแล้วก็จริง ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามคำพูดของสังฆาธิการ ความจริงจะช่วยให้เราเป็นฝ่ายชนะ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมร่วมมือกับพวกศัตรูด้วย’

‘ข้าเป็นนักกวี ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก’

‘ท่านไม่คิดแบบนั้น?’

‘เรื่องแต่งบางเรื่อง หากถูกนำเสนออย่างเหมาะสมก็จะเป็นพันธมิตรกับเรื่องจริง เรื่องแต่งที่ดีสามารถทำให้ผู้คนมองเห็นเรื่องจริงได้อย่างชัดเจน เรื่องแต่งที่เล่าตรงจุดจะช่วยให้เห็นสาระสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าการบอกเล่าด้วยความจริงเพียงอย่างเดียว’

‘บ่นอะไรไม่เห็นเข้าท่าเลย แดนดีไลออน’

นักกวียักไหล่ เขาดึงแขนเสื้อให้ตึงแล้วบรรจงพับเข้าที่อย่างเรียบร้อย

‘คงงั้น ข้าดูเป็นยังไงบ้าง?’

‘ดูเหมือนศาสตราจารย์มาก ๆ เลย ผมหงอกทำให้ท่านดูจริงจังขึ้นมาก’

‘เจ้าออกไปเถอะ มีจดหมายกล่าวโทษที่ต้องเอาไปส่งนะ’

เขาเดินทะลุม่านตรงบานประตู ก้าวเท้าขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปสู่เวทีกลางโถง พวกนักศึกษาจับจองที่นั่งภายในห้องประชุมอย่างหดหู่และเงียบงัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาแดนดีไลออนเคยทำอะไรต่อมิอะไรมาแล้วมากมาย แต่เขาไม่เคยต้องทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อขุดหลุมปิดงานแบบนี้มาก่อนเลย

เหล่าทหารเรเดเนียสวมเสื้อประดับตราพญาอินทรียืนพิงกำแพงประจำตำแหน่ง พวกเขาอยู่ในความเงียบเช่นกัน แต่เป็นความเงียบที่ต่างออกไป ดูเฉยชาและเต็มไปด้วยระเบียบวินัยจากการรับใช้บ้านเมืองมานานหลายปี โคเมส รายนาร์ด ผู้บัญชาการหน่วยรักษาความสงบกำลังเงี่ยหูฟังท่านสังฆาธิการอธิบายบางอย่างด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

โดยธรรมชาติของนักกวี แดนดีไลออนมักต้องทำหน้าที่เข้าไปทำลายความเงียบ และเขาก็ช่างจะสรรหาคำพูดที่เหมาะเจาะมาใช้ได้เสมอ แม้ในสถานการณ์ที่ยุ่งยากก็ตาม

‘เราทำให้พวกเจ้าผิดหวัง’ เป็นการเริ่มต้นที่หนักแน่นอย่างไม่ต้องสงสัย

‘พวกเจ้ามาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เพื่อศึกษาจากผู้รู้ แต่กลายเป็นว่าศาสตราจารย์เหล่านั้นก็ไม่ได้รู้ไปมากกว่าพวกเจ้าเลย และมันก็ยากเหลือเกินกว่าพวกเขาจะรู้ตัวว่าควรยืนอยู่ฝั่งไหนบนโลกอันสับสนวุ่นวาย วัยวุฒิที่สั่งสมมามีแต่จะนำพาโรครูมาตอยด์กับใบหน้าบูดบึ้งมาให้พวกเขาเท่านั้น ใช่…ใช่แล้ว! ข้ารู้จักคนเส็งเคร็งพวกนี้ดี เมื่อวานนี้ไม่มีใครโผล่หัวมาให้เราเห็นเลยสักคน’

เสียงหัวเราะคิกคักและเสียงพูดพึมพำดังขึ้นในหมู่นักศึกษา บรรยากาศที่ดูซึมเซาเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง

‘ข้าเคยคิดอยู่เสมอว่ามหาวิทยาลัยถูกสร้างขึ้นมาเพราะพวกเราต้องการสถานที่รวบรวมสรรพตำราต่าง ๆ และสังคมของพวกหนอนหนังสือเก่าแก่ที่น่าเบื่อหน่ายเหล่านี้ก็คงไม่มีประโยชน์อื่นใดอีก แต่พวกเจ้ารู้อะไรไหม? ข้าน่ะคิดผิดถนัดเลย’

สายตาของเขามองหาอิริอานา แต่นางถูกกลืนหายเข้าไปในฝูงชน

‘ข้ากำลังจะอำลาอ็อกเซนเฟิร์ต และขอส่งต่อภาควิชากวีนิพนธ์คลาสสิกให้ใครสักคนที่ดื่มเหล้าน้อยกว่าและเหมาะกับผ้าแพรวิทยฐานะมากกว่าข้า เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ข้าจะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้ภายในกำแพงผุ ๆ พวกนี้’

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ไม่ได้เป็นเพราะต้องการให้เกิดผลกับผู้ฟังเป็นหลัก แต่เพราะภารกิจสายลับทำให้เขาแทบไม่เหลือเวลาร่างสุนทรพจน์เลย และตอนนี้เขาต้องด้นสดแล้ว

‘เรามักไม่พบความจริงตั้งแต่แรกเห็น เหตุนี้เองพวกเจ้าจึงต้องรู้จักตั้งคำถาม ต้องหมั่นถามซ้ำ ๆ และอย่าหยุดแม้จะได้รับคำตอบแรกแล้วก็ตาม ขอให้อ็อกเซนเฟิร์ตเป็นสถาบันแห่งความสงสัยใคร่รู้เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด นักศึกษาเอ๋ย ข้าจะบอกให้ว่าความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละจะสืบทอดโลกใบนี้ต่อไป’

‘เลิกพล่ามได้แล้ว แดนดีไลออน’ คณบดีที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เขาขู่ฟ่อ แต่แดนดีไลออนก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้เขามองเห็นอิริอานาแล้ว นางกำลังยืนคุยอยู่กับทหารยามคนหนึ่งที่หน้าประตูหลักของห้อง

‘สำหรับบทเรียนนี้ เป็นตัวอย่างของการเรียนรู้แบบผสมผสาน ต้องขอขอบคุณรานัลฟ์…หนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ของข้า ขอบคุณเจ้ามาก ข้าละอายใจเหลือเกินเพราะควรจะเป็นข้าที่สั่งสอนเจ้า แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น’

แดนดีไลออนสบตารานัลฟ์ เจ้าหนุ่มโคเวียร์กำลังยืนกอดอกพิงเสาอยู่

‘รานัลฟ์ รูลวาลด์ นักกวีหนุ่มน้อยจากแลนเอ็กเซเตอร์ คือผู้ที่รักชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงไม่ปฏิเสธเมื่อเจ้าหน้าที่ระดมพลจากหน่วยสืบราชการลับแห่งโคเวียร์ไปเคาะประตูเรียก และเมื่อรู้ตัวว่าต้องมาทำภารกิจก่อวินาศกรรมในมหาวิทยาลัยอ็อกเซนเฟิร์ต เขาก็ถกแขนเสื้อรอด้วยความยินดี’

เสียงพูดคุยดังกระหึ่มห้องประชุม จากเสียงซุบซิบค่อย ๆ ทวีขึ้นคล้ายหิมะถล่มที่ฝังภูเขาได้ทั้งแถบ พวกทหารยามที่ยืนนิ่งมานานก็เริ่มขยับตัวกันแล้ว ทหารบางส่วนถือง้าวไปยืนขวางทางเข้าออกไว้ ส่วนที่เหลือวิ่งแทรกเข้าไปในหมู่ฝูงชน

‘สหายเอ๋ย…พวกเราถูกปั่นหัวกันหมด ความขัดแย้งของเราถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงอย่างชาญฉลาด อ็อกเซนเฟิร์ตต้องมาพังพินาศลงด้วยน้ำมือของเราเอง ให้บทเรียนที่ขมขื่นนี้ถูกจารึกไว้ในความทรงจำของเรา’

ความแตกตื่นโกลาหลแพร่กระจายในหมู่ฝูงชนไปทั่วทั้งห้องประชุม แดนดีไลออนยิ้มออกมา แม้แต่เสียงของเขาที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็ไม่อาจทะลุผ่านเสียงอื้ออึงเช่นนี้ไปได้ แต่เขาก็ได้พูดทุกสิ่งที่จำเป็นต้องพูดไปจนหมดสิ้นแล้ว

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 12

โคเมส รายนาร์ด สอดนิ้วหัวแม่มือลงไปที่ด้านหลังเส้นเข็มขัดซึ่งห้อยหย่อนลงจากน้ำหนักดาบอัศวิน

‘ฝ่าบาทไม่พอพระราชหฤทัย ข้าราชพริพารในราชสำนักเรเดเนียต่างได้รับการศึกษาจากที่นี่ และในยามนี้ประชาชนกำลังบาดเจ็บล้มตายท่ามกลางภัยสงคราม ราชอาณาจักรจึงมิอาจเสียเวลาไปกับเหตุวุ่นวายภายในมหาวิทยาลัยได้ ข้าได้รับคำสั่งมาเพื่อดูแลการปฏิรูปให้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เจ้า…เล็ทเทนฮูว์ฟ เจ้ากลับก่อเหตุจลาจล สำหรับข้าแล้ว การกระทำของเจ้ามีแต่จะทำให้คนอื่นเสียเวลา’

‘แสดงว่าฝ่าบาททรงไม่สนใจข้อเท็จจริงที่ว่า หน่วยสายลับจากต่างแดนกำลังออกอาละวาดไปทั่วอาณาจักรของพระองค์เลยล่ะสิ? สายลับโคเวียร์มันเข้ามาก่อวินาศกรรมในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในแดนเหนือเชียวนะ เป็นเพชรยอดมุงกุฎของเรเดเนียเลยก็ว่าได้…’

‘พระองค์สนพระทัยอยู่แล้ว ตราบใดที่พบว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นความจริง’

สังฆาธิการค้อมศีรษะลงอย่างสุภาพอ่อนน้อม

‘ข้าเชื่อว่าเปลวไฟนิรันดร์จะนำเราไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง’

โคเมสนิ่วหน้าและเหลือบมองนักบวชอย่างเคลือบแคลง เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าท่างสังฆาธิการมีนิสัยเคร่งครัดจริงจัง ไม่บ่อยนักที่เขาจะยกเอาถ้อยคำคร่ำครึเกี่ยวกับเรื่องศาสนาขึ้นมาอ้าง

‘ท่านสาธุคุณ หรือท่านพอจะทราบอะไรมา?’

‘ข้ารึ? ไม่เลยสักนิด ข้าเพียงแค่ศรัทธาต่อโชคชะตาก็เท่านั้น’

ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงดังสนั่น ทหารสองนายเดินนำหน้ารานัลฟ์เข้ามาในห้องพร้อมกับผู้ช่วยอีกคนที่หอบเอกสารกองโตมาด้วย

‘นี่คือข้าวของทั้งหมดที่เราเจอในห้องของเขา ไม่มีช่องลับซุกซ่อนอยู่เลย’

‘ใต้พื้นห้องก็ไม่มีอะไรเลย?’

‘ไม่มี’

รานัลฟ์ส่ายหัวด้วยความรู้สึกเวทนา

‘ศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูฟสมองเพี้ยนจนหลุดจากโลกแห่งความจริงไปแล้ว แต่ข้าพอจะเข้าใจได้ว่าข้อกล่าวหาเลื่อนลอยพวกนั้นมาจากสำนึกรักต่อมหาวิทยาลัย ได้โปรดอย่าทำรุนแรงกับเขาเลย’

กำปั้นซัดเข้ามาอย่างไม่คาดคิด รานัลฟ์เซถลาชนเชิงเทียนไปปะทะเข้ากับกำแพง เขาดึงม่านจนขาดหลุดลุ่ยระหว่างพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มลง

แดนดีไลออนสะบัดมือที่เจ็บปวดไปมาในอากาศ

‘อูย…’ นักกวีร้องคราง ‘รู้สึกดีชะมัด ชักจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเกรอลท์ถึงชอบทำแบบนี้อยู่บ่อย ๆ’

รานัลฟ์มองแดนดีไลออนอย่างโกรธแค้น เขาลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลและนวดเฟ้นกรามไปด้วย สังฆาธิการถอนหายใจแล้วกลอกตามองขึ้นฟ้า นายทหารมองไปยังผู้บังคับบัญชาด้วยความลังเล โคเมสยักไหล่

‘ตรวจดูเอกสารพวกนั้น’

ผู้ช่วยเริ่มอ่านเอกสารแต่ละแผ่น รานัลฟ์สวมหน้ากากเสแสร้งว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ขณะชี้แจงเรื่องเอกสาร

‘นั่นน่ะ เป็นลายมือข้าที่คัดสำเนาโคลงกลอนของท่านลาวาสซา จดหมายพวกนั้นข้าเขียนถึงสำนักงานของท่านอธิการ ส่วนนั่นเป็นเรียงความตอนสอบปลายภาค แผนผังดาราศาสตร์ที่ใช้ในคาบเรียนศิลปศาสตร์ และนี่… วิทยานิพนธ์วิชากวีนิพนธ์คลาสสิกที่สอนโดยศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูว์ฟ’

โคเมส รายนาร์ด เริ่มมีท่าทางกระฟัดกระเฟียดขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ช่วยที่กำลังตรวจเอกสารไม่สามารถซ่อนเร้นความกระดากใจเอาไว้ได้ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมกับแววตาที่ดูระแวดระวังยิ่งขึ้น

‘นายท่าน ดูนี่สิ’

เมื่อโคเมสกวาดตาอ่านข้อความในย่อหน้าอรรถาธิบาย เส้นเลือดที่เต้นตุบ ๆ บนขมับของเขาก็ยิ่งดูปูดโปน

‘เคาท์ บ. ได้รับเงินจำนวนห้าคราวน์จากคลังของเจ้ากระทรวง สำหรับข้อมูลปฏิบัติการยั่วยุที่ป้อมปราการเกลวิทซิงเกน [1] สายข่าว จ. และเจ้าหน้าที่ระดับสูงยืนยันว่ารายงานของท่านเคาท์เป็นความจริง’

โคเมสยื่นเอกสารคืนให้ผู้ช่วย

‘ไหนเจ้าบอกว่ามันเป็นวิทยานิพนธ์?’

สายลับโคเวียร์อ้าปากค้างเหมือนปลาที่ถูกจับโยนขึ้นไปบนบก

‘เป็นไปไม่ได้’ เขาเอ่ยแย้งพร้อมกับคว้าเอกสารมาจากมือของผู้ช่วย เขาอ่านแต่ละแผ่นอย่างคร่าว ๆ และโยนมันลงบนโต๊ะในที่สุด

‘มัน…มันต้องเป็นเวทมนตร์คาถาอะไรสักอย่าง คาถาอำพรางอักษรของแรดคลิฟฟ์…’

‘คาถาอำพรางอักษร…’ สังฆาธิการที่สังเกตการณ์ด้วยท่าทีเฉยชามาโดยตลอด กลับกระตือรือร้นขึ้นทันที ‘น่าสนใจนะ เล่าต่อสิ…’

รานัลฟ์จับจ้องทุกใบหน้าที่ล้อมรอบตัวเขา ไม่มีวี่แววของพันธมิตร เขาส่งสายตาไปยังแดนดีไลออนแสดงความรู้สึกบางอย่างที่ดูคล้ายกับความเคารพนบนอบจากจิตใต้สำนึก ความตกประหม่าทำให้ริมฝีปากของเขาบิดเบี้ยว และต่อจากนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ อีกเลย

‘ข้าจะคุยกับราชทูตแห่งโคเวียร์’

 

บทส่งท้าย

 

สัมภาระทุกอย่างที่เขามีนั้นถูกม้วนห่อเก็บไว้ในผ้าผืนเล็กอย่างพอดิบพอดี เขาจ้องมองห้องทำงาน เหวี่ยงลูทแนบไว้ในวงแขนและออกเดินอย่างมีชีวิตชีวาผ่านตรอกต่าง ๆ ภายในเมืองที่เขาเพิ่งจะตื่นนอนขึ้นมา

เมื่อเขาผ่านประตูเมือง เขาสูดลมหายใจจนเต็มปอดและนั่งบนหินก้อนหนึ่งเพื่อยลทิวหลังคาของเมืองอ็อกเซนเฟิร์ตเป็นครั้งสุดท้าย เขาลังเลว่ามันจะเป็นการดีแล้วหรือที่มิได้เอ่ยคำอำลา แต่ก็ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็วว่าในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้เขาได้กล่าวคำลามามากพอแล้ว

แค่เริ่มออกเดินเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกหา คนผู้นั้นกำลังวิ่งตามเขามาจากประตูเมืองพร้อมกับโบกไม้โบกมือและกระโดดพรวดในทุกสองสามก้าว นักกวีหยีตามองว่าเจ้าบ้าที่วิ่งตามมาเป็นใคร

‘โอ้…ให้ตายเถอะ’ เขาอุทาน

‘ศาสตราจารย์! ศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูว์ฟ! แดนดีไลออน!’

‘ท่านอาจารย์อลอนเซียส’

บรรณารักษ์สูงวัยหยุดวิ่ง ก้มตัวลงเอามือยันหัวเข่าพร้อมกับไอออกมา เขาแบกกระเป๋าสัมภาระสำหรับเดินทางมาบนหลังด้วย ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าที่แดนดีไลออนสะพายมา

‘ท่าน…ท่านจะเดินทางไปที่ไหน?’ บรรณารักษ์ถาม

นักกวียักไหล่และส่งยิ้ม พลิกหมุนก้านต้นหญ้าที่คาบอยู่ตรงมุมปาก

‘พูดตามตรงข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน’ เขาตอบ ‘สิ่งที่สำคัญคือการเดินทาง มิใช่ปลายทาง’

‘หืมมม…’

‘แล้วท่านล่ะ? ท่านอาจารย์ ท่านก็จัดสำภาระเดินทางเหมือนกันนี่ ตัดสินใจตอบรับเสียงเพรียกแห่งการผจญภัยและออกจากอ็อกเซนเฟิร์ตตอนอายุปูนนี้น่ะหรือ?’

‘แล้วถ้าข้าทำแบบนั้นจริง ๆ’ ชายชราถามต่อ ‘ท่านคิดว่าข้าจะไปรอดไหม?’

‘ริบหรี่’

‘ถ้าเช่นนั้นท่านก็สบายใจได้เลย ข้าจะไปแค่น็อทวีดเมโดว์ [2] น้องสาวข้าชื่อว่า เกอร์ทรูด เป็นเจ้าของฟาร์มอยู่ที่นั่น ข้าจะกลับไปเยี่ยมนางปีละครั้งหลังเทศกาลเบเลทีน เป็นธรรมเนียมของครอบครัวเรา’

แดนดีไลออนกระโจนลงมาจากก้อนหินและถ่มก้านต้นหญ้าที่เขาเคี้ยวเล่นอยู่

‘น็อทวีดเมโดว์’ เขาทวน ‘ฟังดูน่าสน’

‘อะไรนะ?’

‘ไม่มีอะไรหรอกท่านอาจารย์ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าจะต้องผ่านไปแถวนั้นพอดี เราเดินทางไปด้วยกันเถอะ’


*

เกวียนติดหล่มโคลน

ทหารที่ประจำอยู่บนหอสังเกตการณ์เร่งรุดเข้ามาดู พวกเขาออกแรงทั้งผลักทั้งยัน ไม่นานล้อเกวียนก็ขึ้นมาสัมผัสกับพื้นดินที่มั่นคงอีกครั้ง

‘ขอบคุณหลาย ๆ เลยนะ พ่อทหารรูปหล่อ’

กลุ่มชายฉกรรจ์ถูมือด้วยความภาคภูมิใจกับผลงาน แต่ประเดี๋ยวเดียวพวกเขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนถึงสาเหตุที่รีบเข้ามาช่วยอย่างกระตือรือร้น

‘ยายจ๋า แทนที่จะขอบคุณเฉย ๆ ทำไมไม่แบ่งเหล้าให้เราสักขวดล่ะ ได้ยินเสียงขวดดังโกร่งกร่างมาแต่ไกลเชียว’

‘อาาา…อยู่ข้างหลังน่ะ เชิญหยิบไปได้เลย’

‘แล้วพวกนี้ล่ะ? คืออะไร?’

‘ว็อดก้าแต่งกลิ่น’

‘เอ่อ…อันนั้นเรารู้อยู่แล้ว ข้าหมายถึงของในหีบน่ะ’

‘ข้าจะเอาผ้าไปส่งให้ช่างตัดเสื้อ เอาไปแลกกับพรม นี่ไง มีตราประทับอยู่ข้าง ๆ ด้วย’

‘ตราอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ ข้าแค่ต้องตรวจดูว่าข้างในมีของผิดกฎหมายหรือเปล่า’

‘เชิญเลย’

ฝาหีบส่งเสียงครางดังเอี๊ยด

‘เอาล่ะ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ’

ซานเนลงแส้ใส่เจ้าม้า เมื่อเสียงโหวกเหวกของพวกทหารอยู่ห่างไปไกลแล้ว นางก็ได้ยินเสียงเปล่งออกมาจากหีบใบนั้น

‘ไม่เสียดายว็อดก้าหรอกหรือ?’

‘เพราะอย่างนี้ไง ข้าถึงต้องเอาเหล้าพวกนี้ติดมาด้วย ยังต้องผ่านหอสังเกตการณ์อีกหลายจุดกว่าจะถึงดราเคนบอร์ก ถ้าเจ้าอยากให้ข้าพาเข้าไปข้างในป้อมปราการ เหล้าว็อดกาจะช่วยให้ทางสะดวกขึ้น’

เกวียนแล่นไปตามรอยทางอย่างเชื่องช้าผ่านพุ่มไม้แคระแกร็นและต้นไม้โด่เด่

‘ซานเน?’

‘หือ?’

‘ทำไมเจ้าถึงยอมช่วยข้า?’

‘ก็เจ้าจ่ายค่าจ้างมาแล้ว’

‘แต่เจ้าน่าจะปฏิเสธนะ โดยเฉพาะหลังจากที่ข้าปฏิบัติต่อเจ้าแบบนั้น’

‘ก็…เจ้าเล่นขู่ว่าจะเอาตัวข้าไปส่งทางการเรเดเนียอีกรอบนี่นา’

‘ฟังนะ—’

‘โอ้ย…ไม่เอาน่า พอเหอะ ข้าแค่จะแหย่เล่นก็เท่านั้น’

‘ถ้าอย่างนั้นก็เลิกเล่นแล้วตอบคำถามข้าสักที’

‘แล้วเจ้าจะเข้าไปในป้อมปราการนั่นทำไม?’

‘ก็บอกแล้วนี่ ข้าต้องตามหาตัวโอริ รูเวน [3] เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนข้า’

‘เป็นงานล่าค่าหัวรึ? หรือว่าเจ้าถูกแบล็คเมลมา?’

‘เปล่าเลย เดอัน เอร์ [4] …มันเป็นสิ่งที่ควรทำ’

‘ข้าไม่ได้ยินคำจัดความที่เรียบง่ายแบบนี้มาสักพักแล้ว เอาเป็นว่าคราวนี้ข้าแค่อยากเดินทางไปกับเจ้าก็แล้วกัน’

ฮาฟเวการ์เปิดเหล้าขวดหนึ่งแล้วยกขึ้นจิบ ว็อดก้าแผดเผาในลำคอนาง

‘ใคร ๆ ก็ต้องมีที่ทางสักแห่งให้เริ่มต้นแหละ หมาป่าเอ๋ย’ นางกล่าว


*

บ้านหลังนี้ดูแปลกออกไปเมื่ออยู่ท่ามกลางแดดจ้า

อิริอานาจ้องมองรอยปูนประดับบนกำแพงที่ถูกกะเทาะทำลาย นางกำลังมองหาร่องรอยของความทรงจำ แต่ก่อนที่นางจะทันได้เจออะไร ดีคสตราก็เปิดประตูและเชื้อเชิญให้นางเข้าไปข้างใน

พวกเขานั่งลง เก้าอี้ถูกกดเบียดเข้ากับแผ่นหลังของนาง เด็กสาวขยับตัวอย่างกระวนกระวาย

‘ขอบคุณ’ นางเอ่ย คำพูดเหล่านี้ทิ้งค้างรสประหลาดไว้ในปากของนาง

‘เรื่องอะไร?’

‘ท่านก็รู้อยู่แล้ว เรื่องเอกสารที่ท่านเอามาให้’

‘ก็แค่รายงานเก่า ๆ ของหน่วยสืบราชการลับเรเดเนีย เรายังมีเอกสารพวกนี้เก็บไว้ตามที่ต่าง ๆ ในเมืองอ็อกเซนเฟิร์ตอยู่อีกเพียบ’

‘ถ้าไม่มีมัน เราคงไม่มีทางเปิดโปงรานัลฟ์ได้’

‘ข้ายินดีที่ได้ช่วย แต่เรามาคุยเรื่องที่สำคัญกว่านี้กันดีกว่า’

สายลับล้วงลงไปในกระเป๋าแล้ววางลูกกุญแจผูกแถบริบบิ้นลงบนโต๊ะ

‘บ้านหลังนี้เป็นของเจ้า’ เขากล่าว

‘คิดว่าถ้าคืนบ้านหลังนี้ให้ข้าแล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้นหรือไง?’

ดีคสตรายกมือขึ้นถูศีรษะตัวเอง

‘ตอนที่ข้ามาถึงอ็อกเซนเฟิร์ต ข้านึกว่าเจ้ากำลังต้องการความช่วยเหลือ’ เขาเอ่ย ‘ข้าคิดผิดถนัด เพราะข้ายังไม่รู้จักเจ้าดีพอ’

‘แล้วตอนนี้รู้จักข้าดีแล้วรึ?’

‘ก็ดีขึ้นกว่าตอนนั้น แล้วข้าก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้าต้องการอะไร’

‘ถ้าคิดว่าสิ่งนั้นคือการอภิบาลของผู้เป็นพ่อแล้วล่ะก็… เสียใจด้วย ท่านน่ะเป็นคนสุดท้ายที่—’

‘ข้าไม่เหมาะจะเป็นพ่อของเจ้าหรอก อิริอานา แต่ข้าพอจะช่วยเจ้าตามหาตัวเขาได้

นางนิ่งเงียบไปสักพัก จ้องมองกุญแจที่วางอยู่ตรงหน้า

‘ไหนท่านเคยบอกว่า ไม่แน่ใจว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่’

‘ก็จริง ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเคาท์แวนทรอฟฟ์เก้ แต่ข้ารู้จักผู้คนมากมายและข้าพอจะหาทางได้ เราจะเริ่มต้นจากตรงนั้น’

สายลมฤดูร้อนพัดโชยมาจากคุ้งอ่าว ดวงตะวันสาดแสงสว่างจ้าเข้ามาในห้อง อิริอานาหรี่ตาลง

‘ท่านอยากได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน?’

‘ฮ่า จริง ๆ แล้วมันก็เป็นโอกาสดีที่จะขอให้เจ้ายกโทษให้ ยอมกลับมาญาติดีกับข้า แต่…มันอาจจะเกิดปัญหาตามมาในอนาคตได้’

นางหยิบลูกกุญแจขึ้นมา เนื้อเหล็กให้สัมผัสที่ไม่ชวนอภิรมย์นัก และริบบิ้นก็ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ในฝ่ามือ นางกำมันไว้แน่น

‘ทำไมล่ะ?’

‘เพราะนอกจากคุณงามความดีที่ข้าเคยทำมาแล้ว ก็ยังมีมลทินอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ข้าต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก’ ดีคสตราอธิบายและยิ้มออกมา ‘ในชีวิตนี้ ข้าไม่เคยขโมยของของใครแม้แต่ชิ้นเดียว’


*

แดนดีไลออนกระเถิบออกมาจากข้าง ๆ กองไฟและเริ่มปรับสายลูทให้ตรงโน๊ต อลอนเซียสโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม

‘ท่านจะเล่นเพลงรึ?’

‘ข้าขึ้นโครงเพลงกวีไว้คร่าว ๆ ในหัวแล้ว มีทั้งทำนองและเนื้อร้องเสร็จสรรพ ขาดเพียงแค่ชื่อ’

‘เพลงนี้เกี่ยวกับอะไร?’

‘เกี่ยวกับสาวน้อยผู้หาญกล้านางหนึ่ง และวีรกรรมที่นางปกป้องโลกจากอำนาจมืดอันชั่วร้าย ด้วยความช่วยเหลือของนักกวีผู้องอาจ และเรื่องราวที่นางช่วยจุดประกายไฟในใจเขาให้กลับมาโชติช่วงอีกครั้ง’

‘อาาาา… ท่านกำลังพูดถึงเรื่องที่ขโมยหนังสือออกมาจากหอสมุดใช่ไหม?’

‘ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะ—’

‘ไม่เอาน่า แดนดีไลออน ท่านเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมแต่โกหกได้ยอดแย่’

‘เอ่อ… ข้าจะข้ามเรื่องขโมยหนังสือไปก็แล้วกัน มันดูไม่เข้ากับเนื้อเพลงส่วนที่เหลือเท่าไรนัก’

บรรณารักษ์เปิดผ้าห่มออกและขยับเข้าไปใกล้ ๆ

‘ข้านึกชื่อให้เพลงกวีของท่านได้แล้ว’

‘ว่ามาเลย’

‘“เรื่องทั้งมวลล้วนศิลปศาสตร์” ท่านคิดว่าไง?’

‘ก็ดีนะ แต่เหมือนยังขาดอะไรบางอย่างไป อืมมม…ขอคิดสักหน่อยนะ…รู้ละ ข้าได้ชื่อแล้ว’

เถ้าถ่านในกองไฟคุกรุ่นและเศษกิ่งไม้แห้งก็ส่งเสียงแตกปะทุชวนให้ผ่อนคลาย แดนดีไลออนเล่นคอร์ดเมเจอร์เพื่อเรียกความคล่องแคล่วให้กับนิ้วมือ เมื่อพอใจกับเสียงที่ได้ เขาก็กดสายให้เงียบลงพร้อมกับส่งรอยยิ้มมีเลศนัย

‘เชิญสดับได้เลยท่านอาจารย์ เริ่มล่ะนะ…’

 

หมายเหตุ:

[1] เกลวิทซิงเกน (Glevitzingen) เป็นป้อมปราการที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนทางใต้ของอาณาจักรลีเรียและริเวีย ในเดือนมิถุนายน ปี 1267 เหล่าราชาแดนเหนือได้พยายามจัดฉากว่ากองทัพนิลฟ์การ์ดที่ประจำการในโดลอังกราเป็นฝ่ายยั่วยุให้เกิดสงคราม โดยราชาเดมาเวนด์ได้ส่งกองกำลังของพระองค์ไปโจมตีป้อมปราการแห่งนี้

[2] น็อทวีดเมโดว์ (Knotweed Meadow) เป็นหมู่บ้านในอาณาจักรเทเมเรียที่มีฮาล์ฟลิ่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

[3] โอริ รูเวน (Ori Reuven) เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของดีคสตรา หลังจากดีคสตราหนีจากการลอบสังหารไปได้ โอริก็ถูกทางการจับไปสอบสวนและทรมานอยู่นานถึง 6 ปี ก่อนจะถูกปล่อยตัวในสภาพเจ็บป่วยเรื้อรังและนิ้วมือหักทุกนิ้ว โอริตกระกำลำบากและเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีต่อมา

[4] เดอัน เอร์ (D’éan aer) ภาษาเอลฟ์ เป็นศัพท์ใหม่ที่ยังไม่รู้ความหมายแน่ชัด แต่น่าจะสื่อถึง ‘the right thing to do’ (สิ่งที่ควรทำ) ซึ่งเป็นประโยคขยายความต่อท้าย

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡  จบบริบูรณ์  ✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

ชื่อตัวละครเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ

Dandelion = แดนดีไลออน / Julian de Lettenhove = จูเลียน เดอ เล็ทเทนฮูฟว์ / Iriana van Troffke = อิริอานา แวน ทรอฟฟ์เก้ / Dijkstra = ดีคสตรา / Isengrim Faoiltiarna = ไอเซนกริม เฟวลทิอาร์นา / Sanne = ซานเน / Komes Ruynard = โคเมส รายนาร์ด / Theodor Radcliffe = ธีโอดอร์ แรดคลิฟฟ์ / Jan de Sanoulie = ฌอง เดอ ซานูลี / Lavassa = ลาวาสซา / Master Alonsius = อาจารย์อลอนเซียส

ชื่อเฉพาะอื่น ๆ

Drakenborg = ดราเคนบอร์ก / Lan Exeter = เมืองแลนเอ็กเซเตอร์ / The Cordial Hangman = เรือคอร์เดียลแฮงแมน

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.