Radically Liberal Arts (Part 1: Chapter 1-3)
เรื่องทั้งมวลล้วนศิลปศาสตร์ (Radically Liberal Arts) เป็นเรื่องราวภารกิจสุดป่วนท่ามกลางการแผ่ขยายอิทธิพลของศาสนจักรอัคคีนิรันดร์ (Church of the Eternal Fire) จากเมืองโนวิกราดไปยังเมืองอ็อกเซนเฟิร์ต หลังจากสงครามแดนเหนือครั้งที่ 2 จบลงในปี 1268 ซิกิสมุนด์ ดีคสตรา (Sigismund Dijkstra) อดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับแห่งเรเดเนียต้องหนีการตามล่าไปไกลถึงดินแดนเซอร์ริเคเนีย จนกระทั่งเขาตัดสินใจหวนกลับมาที่แดนเหนืออีกครั้งพร้อมกับ ไอเซนกริม เฟวลทิอาร์นา (Isengrim Faoiltiarna) เอลฟ์หน้าบากที่เคยเป็นหนึ่งในผู้นำของกองกำลังสกอยาเทล แต่แล้วดีคสตราก็ได้รู้ข่าวว่าลูกสาวของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย อดีตสายลับที่ไร้ซึ่งอำนาจและเงินทองจึงต้องจำใจไปขอความช่วยเหลือจากสายข่าวผู้ไม่เอาถ่านอย่างแดนดีไลออน
Radically Liberal Arts เป็นเรื่องราวในโหมด journey ลำดับที่ 8 ของเกม Gwent เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างตอนจบของนิยายและเกม The Witcher ภาคแรก หลังจากเกิดเหตุจลาจลที่เมืองริเวีย แดนดิไลออนก็กลับไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกเซนเฟิร์ต สำหรับดีคสตรานั้นในนิยายระบุว่าเขามีภรรยาและลูก แต่ก็ไม่ได้ลงรายเอียดเกี่ยวกับชื่อ เพศ หรืออายุเอาไว้ แต่ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ทีมงาน CDPR ได้เพิ่มรายละเอียดให้ดีคสตรามีลูกสาว และเธอก็กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอ็อกเซนเฟิร์ตด้วย
แปลไทยโดย อาอี๊จับจอย
บทที่ 1
แม้แดนดีไลออนจะเคยเดินทางท่องเที่ยวครึ่งหนึ่งของโลกมาแล้ว แต่ภาพดวงตะวันลอยขึ้นเหนือหมู่หลังคาในเมืองอ็อกเซนเฟิร์ตก็ยังทำให้เขาอิ่มเอมหัวใจอยู่เสมอ
เขาเยื้องย่างเท้าข้ามแอ่งโคลนอย่างสง่างาม เปลี่ยนตำแหน่งหนังสือไปโอบไว้ในวงแขนอีกข้าง ขยับหน้ากระดาษเก่า ๆ เหลือง ๆ ให้กลับเข้าที่ เขาให้คำมั่นกับตัวเองว่าคราวหน้าจะขอยืมหนังสือเล่มอื่นที่เบากว่า วิปัสสนาแห่งชีวิต, ความสุขและความเจริญ ของนิโคเดมัส เดอ บูท [1] จากหอสมุดของมหาวิทยาลัย
เขาเดินเข้าสู่ย่านการค้าผ่านทางตรอกแคบ ๆ แม้ตอนนี้จะยังเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่การตระเตรียมงานฉลองเทศกาลเบลเลทีน [2] ก็ปรากฏให้เห็นในทุกย่างก้าว พ่อค้าแม่ขายร้องตะโกนพลางตั้งแผงสินค้าและประดับประดาดอกไม้ลงไปด้วย เนื้อปลาส่งเสียงฉ่า ๆ อยู่ในกระทะพร้อมกับกลิ่นขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ ทำให้กระเพาะของเขาส่งเสียงโครกครากจนยากจะทานทนได้
แดนดีไลออนเดินผ่านสองนักบวชแห่งลัทธิอัคคีนิรันดร์ที่ยืนอยู่ข้างประตูนักปราชญ์ สำหรับเขาแล้ว การปรากฏขึ้นของศาสนจักรในมหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เขาต้องพยายามทำใจให้คุ้ยเคย แต่สิ่งอื่นนอกเหนือไปจากนี้ล้วนไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหลายปีก่อน
สายลมพัดโบกให้ใบไม้ไหวขยับ กลิ่นของฤดูใบไม้ผลิลอยละล่องมาจากสวนนักคิด แดนดีไลออนหวนระลึกวันวานเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาและช่วงเวลาหลายปีที่ออกตระเวนแสดงไปทั่ว ซึ่งชักนำให้เขาหวนกลับมาที่อ็อกเซนเฟิร์ต ท่านอาจารย์เดอเล็ทเทนฮูฟว์ [3], ศาสตราจารย์สาขากวีนิพนธ์คลาสสิก ชะตานั้นช่างประหลาดเหลือแสน
เขาได้ยินเสียงขับร้องเคล้าท่วงทำนองลูทอันแสนโศกลอยมาจากฝั่งลานจตุรัสน้ำพุ เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ และเบียดแทรกเข้าไปในหมู่นักศึกษาที่กำลังยืนรุมล้อมนักกวีคนหนึ่ง
“อันดวงเนตรฟ้ากระจ่างกลางกองไฟ
ลาลับไปดุจคืนวันที่ผันผ่าน
จ้องมองห้วงหุบมหันต์อนันต์นาน
เฝ้ารอวันได้เอ่ยคำจำจากลา”
นักกวีหนุ่มปล่อยสายลูทให้สิ้นเสียงแล้วไล่นิ้วไปตามเฟรตบนคอเครื่องดนตรี แดนดีไลออนรอจนกระทั่งเสียงปรบมือเงียบลงแล้วจึงกระแอมให้ลำคอโล่ง นักกวีหนุ่มเห็นเขาและส่งยิ้มให้
‘ท่านศาสตราจารย์! มาแอบดูอยู่นานแค่ไหนแล้วเนี่ย?’
‘ก็นานพอที่จะได้ยินเจ้าเล่นผิดโน๊ตแล้วกัน รานัลฟ์ ฟังแทบไม่ได้ยินแต่ว่าผิดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น: เจ้าแหกกฎพื้นฐานของเพลงกวี’
เสียงอื้ออึงหยุดลง เหล่านักศึกษาจ้องมองไปยังแดนดีไลออนอย่างเงียบ ๆ
‘กฎข้อไหนกัน?’
‘ข้ารู้จักพวกนักร้องที่มีน้ำเสียงไพเราะดั่งทูตสวรรค์ ผู้ที่เป็นจอมเวทแห่งการบรรเลงลูท แต่เจ้ารู้อะไรไหม? ข้าไม่เคยจำชื่อของพวกเขาได้เลย แม้แต่คนเดียวก็ตาม เห็นหรือยังว่าพวกเขาล้วนทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่เจ้าได้ทำลงไป มีสูตรอยู่มากมายที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในศาสตร์แห่งกวี แต่มีหลักใหญ่ใจความอยู่เพียงอย่างเดียวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ข้าพร่ำสอนเจ้ามาตลอดหกเดือน ดั้งนั้นเจ้าคงจะจำได้ว่ามันหมายถึงกฎข้อไหน “ไม่ว่าสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม จงอย่าริอาจ…”’
รานัลฟ์ถือลูททำท่าสลด
‘...ขับขานอะไรก็ตามที่ประพันธ์โดยวัลโด มาร์ก [4] นักกวีแห่งซิดาริส’ เขาต่อประโยคให้จบ
‘เยี่ยม!’ แดนดีไลออนกล่าวพร้อมกับตบบ่าลูกศิษย์ ‘เอาเถอะ เชิดหน้าเข้าไว้ เดี๋ยวเจ้าก็คิดออกเองแหละ’
*
‘ท่านอาจารย์นิโคเดมัส…’ แดนดีไลออนถอนหายใจพลางมองท้องฟ้า ‘โลกคงดีกว่านี้หากท่านเรียนรู้ที่จะวางปากกาลงบ้าง’
หนังสือเล่มนั้นหนักจนแทบจะหอบหิ้วไปไม่ไหว แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่แยกจากมัน เนื่องด้วยรู้ดีว่าทันทีที่เขาข้ามเข้าไปในเขตหอสมุด เขาก็จะได้ยินเสียงตำหนิของอาจารย์อลอนเซียสและต้องจ่ายค่าปรับที่คืนหนังสือล่าช้า เพื่อยืดเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ออกไปอีกหน่อย เขาจึงตัดสินใจแวะไปยังห้องทำงานของตัวเองที่คณะคีตศิลป์และกวีนิพนธ์ก่อน
เขาผิวปากอย่างร่าเริงเข้าสู่ห้องโถงที่สว่างไสว เดินผ่านกลุ่มนักศึกษาที่กำลังง่วนอยู่กับการแต่งเพลง จากนั้นจึงวิ่งขึ้นไปยังชั้นบน ไม่ทันรู้ตัวว่าเผลอฮัมเพลงของวัลโด มาร์กออกมาจนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องทำงาน เขาจึงสะบัดศีรษะและหยิบลูกกุญแจออกมา แต่มือจับบนประตูก็ยอมเผยทางให้อย่างง่ายดายโดยที่เขาไม่ทันได้ออกแรงบิดเลยด้วยซ้ำ
แดนดีไลออนหรี่ตาลง พยายามนึกถึงครั้งล่าสุดที่เขาเข้ามายังห้องนี้ เขาแทรกตัวเข้าไปในความมืดสลัวที่ไม่น่าไว้วางใจและสังเกตเห็นว่าใครบางคนกำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานของเขา
‘ปิดประตูด้วย ท่านศาสตราจารย์’ ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้น แดนดีไลออนจดจำเขาได้ทันที
‘ฉิบหายแล้ว’ เขาเอ่ยขึ้นบ้าง
‘ไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้วนะ’
‘มาทำอะไรที่นี่ล่ะ? ดีคสตรา’
อดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับแห่งเรเดเนียยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่าง
‘เรามาเริ่มกันด้วยเรื่องที่เจ้าลืมไปแล้วว่าควรเรียกนามสกุลของข้าอย่างไร เพื่อความปลอดภัย… ซึ่งแน่นอนว่าทั้งของข้าและของตัวเจ้าด้วย สำหรับเจ้า ข้าคือซิกิ รูเวน อดีตนักศึกษาของสถาบันแห่งนี้ที่กลับมาเยี่ยมเยือนอ็อกเซนเฟิร์ตด้วยความคิดถึง’
‘ได้ข่าวมาว่ามีคนพยายามลอบสังหารเจ้านี่นา ซิกิ แล้วก็ลือกันว่าพวกนั้นทำสำเร็จด้วย ว่ากันว่าเจ้าถูกจับโยนทิ้งดิ่งลงไปยังเหวลึกในนรก’
‘ตลกฉิบ ข้าไปเซอร์ริเคเนียมาต่างหาก’
‘แล้วตอนนี้ล่ะ?’
‘ตอนนี้ข้าก็อยู่ที่นี่ไง’
แดนดีไลออนส่งเสียงฮึดฮัดและกอดตำราวิปัสสนาฯ ไว้แนบแน่นกับหน้าอก
‘ก็นะ… เสียใจด้วยแล้วกันทูลหัว การสนทนาถึงวันเก่า ๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่ข้ากำลังรีบไปหอสมุดน่ะ ท่านอาจารย์อลอนเซียสคงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแน่ถ้าข้าเก็บหนังสือนี่ไว้นานกว่านี้แม้แต่วันเดียวก็ตาม ข้าต้องไปแล้วล่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ สุขสันต์วันเทศกาลเบเลทีนด้วย สุขสันต์วันอะไรต่อมิอะไรทั้งหมดเลย’
แดนดีไลออนบิดมือจับประตูและออกแรงดึง แต่เขายังไม่ทันได้เปิดประตู ใครบางคนก็คว้าเสื้อนอกของเขาเอาไว้ ก่อนจะลากตัวเขาเข้ามาในห้องทำงานแล้วจับให้นั่งลงบนเก้าอี้ เขามองหน้าบุรุษผู้นั้น มีแผลเป็นน่าเกลียดพาดคั่นกลางระหว่างดวงตาของอมนุษย์ที่แสนเย็นชา เอลฟ์ผู้นั้นถอยเท้ากลับไปและเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงของเขาฟังดูราวกับเสียงเหล็กกระทบก้อนหิน
‘เราจะคุยกันให้จบก่อน’
ประสบการณ์การแสดงที่ยาวนานทำให้แดนดีไลออนยังคงวางท่าโอหังอยู่ได้ เขาหวังแค่เพียงว่าจะไม่ปากสั่นฟันกระทบเมื่อต้องเอ่ยปากพูด หวังว่าเขาจะไม่สั่นสะท้านจนกัดลิ้นตัวเอง
‘นี่มันเป็นเรื่องเสื่อมเสียสุด ๆ ! บอกผู้ช่วยของเจ้าให้ขอโทษที่ประทุษร้ายข้าด้วย! ข้าเป็นถึงศาสตราจารย์ของสถาบันแห่งนี้เชียวนะ…’
สายลับตรงเข้ามาหาแดนดีไลออน เขากวาดแผ่นเอกสารออกไปให้พ้นทางแล้วขึ้นไปนั่งที่ริมขอบโต๊ะพร้อมกับถอนหายใจ
‘สหายผู้นี้คือหมาป่าไอเซนกริม [5] เขาไม่ได้คิดร้ายอะไรหรอก เราแค่อยากให้เจ้าอยู่ต่ออีกหน่อย เข้าใจแล้วนะว่าข้ามีธุระสำคัญกับเจ้า เป็นความลับสุดยอด’
ดีคสตราคำรามและขยับตัวด้วยความอึดอัด
‘ข้ามีเรื่องจำเป็นต้องให้เจ้าช่วย'
‘ช่วยรึ? โอ้ ไม่ ไม่เอาน่า… ดีคสตราและสหายอีกคนของเจ้าด้วย ข้าวางมือแล้ว วางแบบตัดทิ้งและเอากลับมาต่อใหม่ไม่ได้ด้วย พอกันทีกับการเล่นเกมสอดแนม กับแผนยึดอำนาจ กับการไล่ล่าไปตามตรอกเหม็นเน่า มันไม่ใช่งานถนัดของข้าเลย จ้างเท่าไรก็ไม่ทำ’
‘ข้าไม่มีเงินหรอก แดนดีไลออน’ ดีคสตราตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ‘ข้าไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้ากำลังขอความกรุณาจากเจ้า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ…’
สายลับอาวุโสยกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเอง
‘มันเกี่ยวกับลูกสาวข้า’
หมายเหตุ:
[1] นิโคเดมัส เดอ บูท (Nicodemus de Boot) อธิการคนแรกของมหาวิทยาลัยอ็อกเซนเฟิร์ต
[2] เบเลทีน (Belleteyn) หรือ เบลเทน (Beltane) เทศกาลฉลองความอุดสมบูรณ์ จัดขึ้นในคืนวันที่ 30 เมษายน หนุ่มสาวมักใช้เป็นโอกาสในการหาคู่
[3] เดอ เล็ทเทนฮูฟว์ (de Lettenhove) เป็นชื่อตระกูลของแดนดีไลออน ชื่อจริงของเขาคือ จูเลียน อัลเฟรด แพนแครตซ์ เดอ เล็ทเทนฮูฟว์ (Julian Alfred Pankratz de Lettenhove)
[4] วัลโด มาร์ก (Valdo Marx) นักกวีคู่ปรับของแดนดีไลออน ถูกกล่าวถึงในเรื่องสั้น The Last Wish (คำอธิษฐานสุดท้าย)
[5] ไอเซนกริม เฟวลทิอาร์นา (Isengrim Faoiltiarna) เป็นหนึ่งในผู้นำของกองกำลังสกอยาเทล (Scoia'tael) และอดีตผู้พันของกองกำลังไวรเฮดด์บริเกด (Vrihedd Brigade) หลังพ่ายแพ้ในสงครามแดนเหนือครั้งที่ 2 เขาก็ถูกจับไปรับโทษประหารที่นิลฟ์การ์ด แต่เขาก็หนีออกมาได้และพบกับดีคสตราโดยบังเอิญ ทั้งคู่จึงเดินทางลี้ภัยไปยังเซอร์ริเคเนียด้วยกัน ไอเซนกริมมีฉายาว่า “หมาป่าเหล็ก” (iron wolf) จากชื่อจริงของเขา (isengrim = iron, faoiltiarna = wolf)
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
บทที่ 2
‘คืนช้ากว่ากำหนดน่ะ’
แดนดีไลออนส่งยิ้มผูกมิตรและผายมือออกทั้งสองข้าง บรรณารักษ์ไม่ได้รู้สึกประทับใจเลยสักนิด เขาดีดเม็ดกลม ๆ บนแถวลูกคิดอย่างคล่องแคล่วราวกับเครื่องจักรที่หยอดน้ำมันหล่อลื่นมาเป็นอย่างดี…
‘สองคราวน์กับอีกห้าเฮลเลอร์’
นักกวีเปลี่ยนกลยุทธ์พลางวาดมืออย่างสุภาพ เขาไม่สนใจกับจำนวนเงินซึ่งไม่มีค่าพอจะทำให้เขาสนใจได้
‘เดี๋ยวข้าจะส่งคนมาจ่ายให้นะ พอดีว่าไม่ได้พกเงินติดตัวมา’
บรรณารักษ์ไม่ได้ตอบรับท่าทางของนักกวีด้วยมารยาทอย่างที่ควร เขาขยับแว่นตาพร้อมกับคลี่ม้วนกระดาษที่ลงหมึกอย่างประณีต ลากปลายเล็บเหลือง ๆ ไปตามแถวรายการยาวเหยียดและหยุดลงที่รายชื่อหนึ่ง
‘วิปัสสนาฯ โดยนิโคเดมัส เดอ บูท ท่านสังฆาธิการผู้ตรวจเนื้อหากำลังรอหนังสือเล่มนี้อยู่’
แดนดีไลออนเชิดคางขึ้น
‘ข้าก็กำลังรีบแจ้นไปหาเขาอยู่นี่ไง เขาคงไม่สบอารมณ์แน่หากรู้ว่าเจ้ารั้งตัวข้าไว้เพราะอยากรีดเศษเงินแค่ไม่กี่เพนนี’
‘เช่นนั้นก็ดีเลย ท่านสังฆาธิการอยู่ในหอสมุดนี้แล้ว ไปหาเขาได้ที่ห้องคัดตำราเลย ท่านศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูฟว์ เชิญเอาหนังสือไปมอบให้เขาด้วยมือของท่านเองได้เลย… แน่นอนว่าท่านต้องจ่ายค่าปรับมาก่อน’
ก่อนที่แดนดีไลออนจะรวบรวมสติปัญญาเพื่อคิดหาแผนการใหม่ เขาก็ได้ยินเสียงเหรียญกระทบลงบนโต๊ะ นักศึกษาคนหนึ่งได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน นักกวีตอบแทนลูกศิษย์ด้วยการค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพ
‘ขอบใจนะ รานัลฟ์’
‘ด้วยความยินดี ท่านอาจารย์’
แดนดีไลออนหยิบหนังสือวิปัสสนาฯ ขึ้นมาจากโต๊ะและถือมันไว้แนบอกราวกับเป็นโล่ของอัศวิน แล้วเจือความเยือกเย็นอย่างผู้มีชัยลงไปในน้ำเสียง
‘แม้แต่เยาวชนก็ยังรู้จักเคารพเสื้อครุยของศาสตราจารย์’
บรรณารักษ์มองลอดแว่นตา
‘ใครบางคนก็ควรหัดเรียนรู้สักเรื่องสองเรื่องจากแบบอย่างของตัวเองเสียบ้าง’
*
แดนดีไลออนชอบทำงานในหอสมุด ห้อมล้อมตัวเองเอาไว้ในหมู่ตำรา เขารู้สึกว่าบรรดาถ้อยคำอันดาษดื่นจะตรงรี่มาหาเขาราวกับดรุณีร้อนรักและเรียบเรียงกันเป็นวลีเสร็จสรรพด้วยตัวของมันเอง และต่อให้จินตศิลป์ของเขาล้มเหลว เขาก็ยังมีผลงานของกวีคนโปรดอยู่ในมือให้ขโมยเนื้อร้องหรืออุปมาโวหารไปใช้ได้ในยามที่จำเป็น
แต่เมื่อสังฆาธิการผู้ตรวจเนื้อหาของศาสนจักรอัคคีนิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางชั้นหนังสือเหล่านั้น หอสมุดก็กลายเป็นสถานที่แปลกหูแปลกตาและกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อนักกวีไปในบัดดล เหล่าศิษยานุศิษย์ห้วโล้น ๆ พากันรื้อค้นชั้นหนังสือ ปีกอาคารถูกปิดตลอดทั้งคืนภายใต้ข้ออ้างว่ากำลัง ‘จัดรายการหนังสือ’ หรือ ‘ซ่อมแซมตำรา’ เงามืดได้ทอดยาวเข้ามาปกคลุมมหาวิทยาลัยอ็อกเซนเฟิร์ตแล้ว
เงาหนึ่งทอดออกมาจากบุรุษผู้ปราศจากความโดดเด่นใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ซึ่งนั่งอยู่บนแท่นวางตำราที่เต็มไปด้วยตั้งหนังสือและม้วนบันทึกที่ถูกคัดอย่างประณีต นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘ศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูฟว์ ดีจริงที่ได้พบท่าน ข้าอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าท่านอาจมีปัญหาสุขภาพตอนที่ท่านไม่ได้ไปเข้าประชุมกับสภาคณะ’
‘จริง ๆ ข้าก็… เพิ่งจะหายป่วยน่ะ’ แดนดีไลออนไอกระออดกระแอดพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปาก เขายังคงรู้สึกแย่เมื่อนึกถึงสภาพตัวเองเมื่อวานที่ตื่นขึ้นมาหลังจากประชุมลากยาวตลอดทั้งคืนที่ภาควิชาเล่นแร่แปรธาตุ
‘ข้าเชื่อว่าท่านคงหายดีแล้ว’
‘หายสนิท ตอนนี้ข้าเปล่งประกายราวกับเทพทองคำเลยล่ะ!’
แดนดีไลออนรู้สึกถึงรสชาติอันไม่น่าอภิรมย์ที่ติดค้างอยู่บนลิ้น ราวกับอากาศในห้องคัดตำราเกิดเหม็นอับและมีรสขมขึ้นมา ยากที่จะบอกได้ว่ามันเป็นความทรงจำจากสุรามูนไชน์ของพวกนักศึกษา หรือเกิดจากแลกเปลี่ยนบทสนทนาวิสาสะกับสังฆาธิการผู้ตรวจเนื้อหากันแน่ เขาตรงไปที่แท่นวางตำราและวางหนังสือลงตรงหน้านักบวช
‘ได้ยินมาว่าท่านกำลังรอหนังสือเล่มนี้อยู่ ต้องขออภัยด้วย ข้ารู้จักท่านอาจารย์นิโคเดมัสมาตั้งแต่สมัยที่ข้ายังเป็นนักศึกษา ท่านเป็นเหมือนสหายเก่าแก่และการต้องแยกจากท่านก็เป็นสิ่งที่ยากจะทำใจได้’
สังฆาธิการพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ เขาเปิดหนังสือออกและประทับตราสัญลักษณ์อัคคีนิรันดร์ลงบนหน้าปกใน
‘นักคิดผู้ลุ่มลึก มีจริยธรรมดีงาม ศาสนจักรเห็นคุณค่าผลงานของเขา… เป็นบางเล่ม’
‘แล้วที่เหลือล่ะท่าน?’ แดนดีไลออนอดถามไม่ได้
‘ก็ไม่ได้มีคุณค่าขนาดนั้น’
‘ถ้าเช่นนั้น… ท่านคงกำลังสังคายนาผลงานคลาสสิกอยู่ล่ะสิ?’
‘ในบางแง่มุมน่ะ ข้ากำลังตรวจสอบเนื้อหาเฉพาะอย่างที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หลังจากข้าคัดเลือกแล้ว ก็จะส่งไปเก็บไว้ในหมวดหมู่เฉพาะที่แยกออกไป’
‘เนื้อหาที่เป็นอันตรายรึ? ในหนังสือวิปัสสนาฯ ของท่านเดอ บูท เนี่ยนะ? อีกอย่างท่านเป็นถึงอธิการคนแรกของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เชียวนา เป็นบิดาผู้ก่อตั้งเลยก็ว่าได้’
สังฆาธิการเงยหน้าขึ้นจากรายการหนังสือ
‘มหาวิทยาลัยเปลี่ยนไปเยอะแล้วนับตั้งแต่มันถูกก่อตั้งขึ้นมา’
‘นั่นสินะ โชคร้ายจริง ๆ’
แดนดีไลออนอยากต่อปากต่อคำมากกว่านี้ แต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้ เขาหงุดหงิดกับความซวยมาตลอดทั้งวันและยังมีเรื่องอื่นให้ต้องทำอีกด้วย
‘ข้ามาที่นี่เพราะเรื่องของอิริอานา แวน ทรอฟฟ์เก้’
‘อา…’
ชั่วอึดใจหนึ่งดูเหมือนว่าการสนทนาได้จบลงแล้ว สังฆาธิการผู้ตรวจเนื้อหาขยับปากกาขนนกไปบนแผ่นกระดาษ ร่ายตัวอักษรไปจนถึงเกลียวเส้นตกแต่งริมขอบ แต่ในตอนท้ายเขาก็ม้วนมันเป็นทรงกระบอก เช็ดปลายปากกาด้วยผ้าซาติน ปิดขวดน้ำหมึก และตรึงแดนดีไลออนไว้ด้วยสายตาเพ่งพินิจผ่านม่านตาสีเทา
‘เราพบฟิสเทคในห้องพักของนักศึกษาหญิงแวน ทรอฟฟ์เก้ ระหว่างทำความสะอาด นางกำลังจะถูกไล่ออก’
จริง ๆ คงอยากจะพูดว่า ‘เจอระหว่างการตรวจค้น’ ล่ะสิ แดนดีไลออนคิด
‘บางที… พวกนักศึกษาก็ต้องการตัวช่วยพิเศษเพื่อให้ผ่านการทวนวิชาไปได้ ค่ำคืนอันแสนยาวนานก่อนการสอบครั้งใหญ่ ท่านก็รู้ดีนี่ นางคงอยากสอบให้ได้คะแนนดี ๆ ข้อนี้ท่านคงโทษนางไม่ได้’
‘นั่นสินะ นักศึกษาหญิงแวน ทรอฟฟ์เก้มีผลการเรียนยอดเยี่ยมมาตลอด นางคงเป็นความภาคภูมิใจของภาควิชา หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่าอับอายขึ้นมาเสียก่อน โชคไม่ดีเลยที่มีเหตุให้ต้องสงสัยว่านางค้าผงฟิสเทคในมหาวิทยาลัยด้วย’
แดนดีไลออนพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์
‘น่าขันสิ้นดี’
‘บางที สภาอาจผ่อนปรนได้หากอิริอานาสำนึกผิด ยอมรับสารภาพ และให้การถึงแหล่งที่มา’
‘ถ้านางไปรับการบำบัด ข้าสามารถรับรองความประพฤติของนางได้ ข้าจะทำให้มั่นใจว่า—’
สังฆาธิการแสดงท่าทางขัดจังหวะแดนดีไลออน
‘ข้าจะยึดถือในสิ่งที่ท่านได้ให้คำมั่นเอาไว้ ท่านอาจารย์เดอเล็ทเทนฮูฟว์ ท่านจะได้ลงนามในเอกสารที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามปัญหานี้หนักหนากว่าที่ท่านคิด ไม่มีใครพบเห็นอิริอานาในมหาวิทยาลัยมาสองวันแล้ว บางทีนางอาจจะไปคบพวกคนพาลเข้า นางอาจกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ได้ หากท่านพอจะรู้ว่าควรไปตามหาตัวนางที่ไหน… ข้าขอแนะนำให้ท่านรีบออกไปตามหาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย’
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
บทที่ 3
ดีคสตราให้คำมั่นว่า ‘คนของเขา’ จะให้ความช่วยเหลือกับแดนดีไลออนได้ทุกเรื่อง แต่คนที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงเอลฟ์ ไม่ใช่มนุษย์ แดนดีไลออนและไอเซนกริมเริ่มการค้นหาในบริเวณที่พวกนักศึกษานิยมไปกัน เช่น ร้านนักวิชาการคอแห้ง ร้านใต้ขวดหมึก ร้านกาลานุกรม แน่นอนว่าทุกคนล้วนจำอิริอานาได้เนื่องจากเธอมักจะมาเที่ยวเล่นแถวนี้อยู่บ่อย ๆ แต่ไม่ใช่วันนี้หรือหรือเมื่อวาน
ต่อจากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าต่อไปยังท่าเรือ ท่ามกลางกลิ่นจอกแหนเน่าในแม่น้ำพอนทาร์และกลิ่นเหงื่อไคลของเหล่ากรรมกรท่าเรือ ได้ความว่านางเพิ่งแวะมาแถวนี้จริง ๆ แต่สุดท้ายนางก็ไปที่อื่นแล้ว
‘นางไปที่ไหน แล้วไปกับใคร?’ แดนดีไลออนซักไซ้พลางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ
‘ข้านึกไม่ออกแฮะ’
นักกวีถอนหายใจและกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบถุงเงินของเขา แต่ไอเซนกริมก็คว้าคอผู้ดูแลโรงแรมแล้วกระแทกหน้าเขาเข้ากับโต๊ะเคาน์เตอร์
‘ไปกับพวกลูกเรือของเรือเมอร์รีวิโดว์ พากันลงเรือลำนั้นไปนั่นแหละ’ ผู้ดูแลโรงแรมเอามือกุมจมูกโชกเลือดของตัวเองไว้ ‘ปล่อยข้าไปเถอะนะ’
ทั้งสองเดินออกมาท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เอลฟ์จับปกเสื้อของเขาให้ตั้งขึ้น แดนดีไลออนเดินกอดอก
‘บรื๋อออ’ นักกวีตัวสั่น
‘นางออกไปสำมะเลเทเมานี่เอง’
‘หวังว่านางคงไม่เลยเถิดจนป่วยไข้นะ ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่านางไปคบพวกคนพรรค์นั้นได้ยังไง’
‘ไปดูให้รู้เรื่องกันเลย’ เอลฟ์คว้าตะเกียงรายทางมาจุดไฟ เขามุ่งหน้าไปยังท่าเทียบเรือ แสงจากตะเกียงส่องสว่างไปยังถนนข้างหน้า
‘เรือเมอร์รีวิโดว์… ไม่ผิดแน่’
เรือลำนี้คือส่วนผสมอันน่ารังเกียจของไม้กระดานผุ ๆ ที่ถูกหนอนเรือเจาะและกลิ่นเหม็นน้ำมันดินยาท้องเรือ บนดาดฟ้าเรือมีผ้าใบผืนใหญ่คลุมเอาไว้ มีเสียงทอยลูกเต๋าเกรียวกราวเคล้าเสียงคนเมาหัวเราะร่าดังขึ้นมาจากข้างล่าง หนึ่งในนั้นมีเสียงอันไพเราะของผู้หญิงที่โดดเด่นออกมา
แดนดีไลออนโมโหจนเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า เขากระโดดจากท่าน้ำลงไปบนดาดฟ้าเรืออย่างห้าวหาญราวกับมันเป็นเรือของเขาเอง
‘พอได้แล้ว อิริอานา เราจะกลับบ้านกัน!’
ลูกเรือไหล่กว้างกำยำคนหนึ่งเข้ามาขวางทางเขาไว้
‘แกเป็นใครวะ?’ ออกไปจากเรือเดี๋ยวนี้เลย หรือจะให้ข้าหิ้วหูรองเท้าแกแล้วจับโยนลงแม่น้ำ’
‘ข้า…’ นักกวีขยับคอเสื้อนอกสีลูกพลัมให้เข้าที่และยกมือลูบขนนกบนหมวกที่เปียกลู่เพราะสายฝน ‘ข้าคือศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัย มีนามว่าจูเลียน เดอ เล็ทเทนฮูฟว์ และแม่สาวคนนี้ก็เป็นลูกศิษย์ของข้า ขอบอกไว้เลยว่านางกำลังมีเรื่องเดือดร้อน’
ลูกเรือตอบกลับด้วยการใช้นิ้วอุดรูจมูกข้างหนึ่ง โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วสั่งน้ำมูกออกมาแรง ๆ จนกระเด็นใส่พื้นตรงหน้าเท้าของแดนดีไลออน
นักกวีโกรธจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง
‘ตั้งใจฟังให้ดีนะ ไอ้โง่! มือข้างซ้ายของข้าคือความตาย โดยเฉพาะกับไอ้โง่อย่างแก!’
ไอเซนกริมจับด้ามมีดพกของเขา แต่ก่อนจะเกิดการวางหมัดวางมวย อิริอานาก็ลุกขึ้นพลางสลัดอ้อมกอดของชาวเรืออีกคนออกไป
‘สุภาพบุรุษทั้งหลาย! ได้เวลาที่ข้าต้อง—’ นางสะอึกเสียงดัง ‘ท่านศาสตราจารย์มารับข้ากลับมหาวิทยาลัยแล้ว ขอบคุณสำหรับเหล้ามูนไชน์และเกมสนุก ๆ ด้วย แล้วเจอกันนะ!’
หลังจากร่ำรากันด้วยเสียงครวญเพราะความเสียดาย นางก็ผละออกมาจากดาดฟ้าเรือ เดินเปะปะเตะเชือกและไม้พายที่กองเกะกะขวางทาง ไอเซนกริมต้องคว้าตัวอิริอานาเอาไว้เมื่อนางเดินสะดุดท่าเทียบเรือ ทั้งสามเดินฝ่าความเงียบสงัดอันอึมครึม ย่ำแอ่งโคลนที่ลมพายุทิ้งไว้ ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นในอกแดนดีไลออน จนในที่สุดนักกวีก็ระเบิดมันออกมา
‘ฟิสเทครึ? ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้ด้วย?!
อิริอานาชะงัก ‘ท่านรู้ได้ยังไง?’
‘พวกเขาเจอมันในห้องของเจ้า ใต้เตียงนั่งเล่นนั่นแหละ! เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?’
นางขยับริมฝีปากโดยปราศจากสุ้มเสียง ฤทธิ์สุรายังคงส่งเสียงอื้ออึงอยู่ในหัวของนาง
‘มันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดหรอกน่า ศาสตราจารย์’
‘แล้วมันเป็นยังไง?!’ แดนดีไลออนแผดเสียง ทำเอาเด็กน้อยในบ้านริมถนนหลังหนึ่งตกใจตื่นร้องไห้จ้า ฝูงสุนัขเริ่มส่งเสียงเห่าถัดไปอีกหลายช่วงตึก สตรีนางหนึ่งโผล่หน้ามาดูจากหน้าต่างชั้นบน
‘เงียบ ๆ หน่อยได้ไหม? ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันแล้ว!’
‘อยากหลับก็ไปกินสตริกนิน*ซะ!’ แดนดีไลออนตัวสั่นด้วยความโกรธ
ไอเซนกริมวางมือลงบนบ่านักกวี
‘ช่างเถอะน่า ไปหาที่ที่มันเป็นส่วนตัวกว่านี้ แล้วรอให้นางสร่างเมาก่อน’
*
นางถือเหยือกดินเผาใส่เครื่องดื่มอุ่น ๆ นั่งอยู่บนเตียงของแดนดีไลออน แก้มของนางหายแดงแล้ว ดวงตาก็กลับมาสดใสเป็นปกติอีกครั้ง
‘ตั้งแต่ท่านอธิการอนุญาตให้พวกนักบวชเข้ามาในมหาวิทยาลัย ทุกอย่างก็ดูเลวร้ายไปหมด พวกเขาคิดจะเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นอาราม เราสูญเสียที่เล่าเรียนไปในเวลาชั่วข้ามคืน และพวกอาจารย์ก็ไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่าง พวกเขาขี้ขลาดตาขาวหรือไม่ก็แก่จนเกินแกง ได้แต่ไหลตามน้ำไปเรื่อย ๆ’
‘เจ้าจะพูดอะไร? ไม่ต้องหาเรื่องมาหว่านล้อมข้าเลย’
‘พวกเราต้องปกป้องตัวเอง! เราต้องหาทางจัดการเรื่องนี้ด้วยมือของเราเอง!’
‘ด้วยการค้ายาเนี่ยนะ?’
‘ใช่! เอ่อ… ไม่ใช่อย่างนั้น’
แดนดีไลออนลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอามือไพล่หลังและเริ่มก้าวเท้าเดินจนพื้นไม้ในห้องส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ไอเซนกริมหยิบมีดพกขึ้นมาถือเล่นขณะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ข้าง ๆ โต๊ะ
‘เจ้ากำลังจะถูกไล่ออกนะ ไปเอาผงฟิสเทคพวกนั้นมาจากไหนกัน?’
‘เราผลิตขึ้นมาเอง’
‘ว่าไงนะ?’
‘ข้ากับพวกเพื่อน ๆ ในภาควิชาเล่นแร่แปรธาตุน่ะ’
‘แค่ต้มเหล้าเถื่อนนี่ยังไม่มากพออีกหรือไง? ไอ้เจ้าพวกนักเรียนดีเด่นเอ๊ย!’
‘ไม่ได้ทำมาเสพเองสักหน่อย เราต้องการเงินต่างหาก’
นักกวีบีบฝ่ามือตัวเองแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้าด้วยท่าทางมุ่งร้าย ราวกับเขาอยากจะบีบคออิริอานาให้รู้แล้วรู้รอด
‘แผนการของพวกเจ้าคือการยื่นกระสุนให้กับพวกนักบวชชัด ๆ ! เดี๋ยวพวกนั้นก็ได้โอกาสหาเรื่องประจานว่ามหาวิทยาลัยปล่อยให้นักศึกษาเสียผู้เสียคน แทนที่จะอบรมสั่งสอนให้ดี’
เอลฟ์ทำเสียงฮึดฮัดรำคาญ
‘ให้นางอธิบายก่อนสิ แดนดีไลออน เจ้าเอาแต่พูดขัดคอนาง’
นักกวีสูดลมเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงบนม้านั่งบุนวม ยกแขนขึ้นมากอดอกแน่น
‘ได้… ข้ารอฟังอยู่’
‘สังฆาธิการผู้ตรวจเนื้อหาเข้ามาวิ่งพล่านในหอสมุดของเราเหมือนกับจิ้งจอกหลุดเข้าเล้าไก่ คัมภีร์, ม้วนอักขระ หรือกระดาษจดบันทึกแผ่นไหนที่เขาไม่ชอบ จะถูกส่งไปเก็บไว้ในหมวดหมู่สงวน ท่านคิดว่าเขากำลังทำอะไรล่ะ? มาช่วยพวกเราจัดหนังสือหรือไง?’
แดนดีไลออนบุ้ยปาก แต่อิริอานารีบชิงจังหวะอธิบายต่อโดยไม่ยอมให้เขาขัดคอขึ้นมาอีก
‘เจ้าหน้าโง่พวกนั้นอยากทำลายตำราของเรา ไอ้ม้วนบันทึกยาว ๆ ที่เขาหนีบไว้ใต้แขนนั่นคือรายชื่อหนังสือต้องห้าม เล่มไหนที่มีชื่ออยู่ในรายการจะต้องถูกเอาไปเผาทิ้ง’
ไอเซนกริมหัวเราะเบา ๆ
‘พวกมนุษย์นี่ชอบเล่นกับไฟจริง ๆ’
แดนดีไลออนชำเลืองมองเขาด้วยหางตา เขาโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเท้าข้อศอกลงบนหัวเข่า จ้องมองอิริอานาด้วยท่าทางสงบลง
‘เจ้าก็เลยจะหยุดเขา? ด้วยตัวเองคนเดียวเนี่ยนะ?’
‘มีพวกนักศึกษาอีกหลายคนที่คิดแบบนี้ พวกเราเลยมารวมตัวกันเพื่อปกป้องอ็อกเซนเฟิร์ต เราวางแผนไว้แล้วว่าจะเอาหนังสือพวกนั้นออกมาจากหอสมุดและขนย้ายไปเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย… เป็นการชั่วคราวก่อน’
‘แล้วมันคือที่ไหน?’
‘บนเรือลำหนึ่งที่จอดเทียบท่ารออยู่ แต่ว่าหนังสือมันมีเยอะมาก และมันก็จะกลายเป็นของผิดกฎหมายด้วย พวกเราก็เลยต้องขอความช่วยเหลือจากพวกมืออาชีพ’
‘พวกขนของเถื่อนล่ะสิ’
‘ใช่’
‘และพวกเจ้าก็ต้องจ่ายค่าจ้างด้วยผงฟิสเทค’
‘ใช่’
ความเงียบปกคลุมห้องอยู่นาน จนกระทั่งไอเซนกริมเอ่ยปากขึ้น
‘เราคงต้องเอาตัวนางออกไปจากเรื่องเสี่ยงอันตราย’
อิริอานาเงยหน้าขึ้นอย่างทรนง ‘ข้าไม่ยอมเลิกหรอก ข้าจะทำมันจนกว่าจะสำเร็จ’
‘เจ้าไม่เหลืออะไรที่จะเอาไปจ่ายพวกขนของเถื่อนแล้วนะ พวกนักบวชยึดของของเจ้าไปหมดแล้ว’ เอลฟ์ช่วยเตือนความจำให้
อิริอานายักไหล่ ‘เดี๋ยวข้าก็หาทางได้เอง’
‘แต่คนพวกนั้นมันอันตรายนะ!’ แดนดีไลออนแผดเสียงอีกครั้ง ‘ถ้าพลาดแม้แต่ก้าวเดียวล่ะก็… พวกมันได้เชือดคอเจ้าแน่! เจ้าไปรู้จักคนพวกนี้ได้ยังไง?’
‘พวกชาวเรือบอกข้าว่าต้องไปติดต่อใคร’ นางยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ขมับ ‘ก็แค่ต้องไปหาเพื่อนดื่มให้ถูกคน’
ไอเซนกริมกับแดนดีไลออนหันไปมองหน้ากัน
‘เราเอาเชือกมัดนางเลยดีไหม? ข้าไม่คิดจะจับตาดูไปตลอดหรอกนะ’ เอลฟ์เสนอความคิด
‘พวกท่านช่วยข้าได้นะ’ นางเสนอแบบไม่เกรงใจใคร ‘ข้าจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าคนดีที่ไหนจะทนนิ่งดูดายกับการกระทำต่ำช้าของพวกคลั่งศาสนาที่ชอบเผาตำราได้ โดยเฉพาะศาสตราจารย์อย่างท่าน’
แดนดีไลออนสางผมอย่างหวาดวิตก และยิ่งตื่นตระหนกเมื่อสังเกตเห็นว่ามีผมหงอกหลุดติดมือมาด้วย
หมายเหตุ: สตริกนิน (srychnine) เป็นสารอัลคาลอยด์ที่พบในเมล็ดของต้นแสลงใจ (Strychnos nux-vomica) มีความเป็นพิษสูงจึงมีการนำมาใช้เป็นยาเบื่อสัตว์ต่าง ๆ หากรับประทานเข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก ชักเกร็งโดยที่ยังมีสติรู้ตัว ระบบหายใจล้มเหลว เกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายตัวจนนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันและเสียชีวิตได้
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
ชื่อตัวละครเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ
Dandelion = แดนดีไลออน / Julian de Lettenhove = จูเลียน เดอ เล็ทเทนฮูฟว์ / Nicodemus de Boot = นิโคเดมัส เดอ บูท / Ranulf = รานัลฟ์ / Sigismund Dijkstra = ซิกิสมุนด์ ดีคสตรา / Sigi Rueven = ซิกิ รูเวน / Isengrim Faoiltiarna = ไอเซนกริม เฟวลทิอาร์นา / Master Alonsius = ท่านอาจารย์อลอนเซียส / Iriana van Troffke = อิริอานา แวน ทรอฟฟ์เก้
ชื่อเฉพาะอื่น ๆ
Meditations on Life, Happiness and Prosperity = วิปัสสนาแห่งชีวิต, ความสุขและความเจริญ / Philosophers’ Gate = ประตูนักปราชญ์ / Thinkers’ Park = สวนนักคิด / Department of Trouvership and Poetry = ภาควิชาคีตศิลป์และกวีนิพนธ์ / Department of Alchemy = ภาควิชาเล่นแร่แปรธาตุ / The Thirsty Scholar = ร้านนักวิชาการคอแห้ง / Under the Inkwell = ร้านใต้ขวดหมึก / The Almanac = ร้านกาลานุกรม / The Merry Widow = เรือเมอร์รีวิโดว์
ไม่มีความคิดเห็น