Radically Liberal Arts (Part 2: Chapter 4-6)

📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3

 

บทที่ 4

แดนดีไลออนรักเมืองอ็อกเซนเฟิร์ตก็จริง แต่การเดินเตร็ดเตร่เลียบท่าเรือยามดึกก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่ามันเป็นความรักที่ยังคงมีเงื่อนไขอยู่ เขารู้สึกอุ่นใจที่มีไอเซนกริมร่วมทางมาด้วย

อิริอานานำทางอย่างชำนิชำนาญผ่านหลุมบ่อและก้อนหินปูพื้นถนนที่ขรุขระ

‘ดูนางสิ’ เอลฟ์กระซิบ ‘เจ้าเคยคิดมาก่อนรึเปล่าว่านางเป็นลูกสาวของเขา?’

‘ไม่เลย’

สาวน้อยกลับหลังหันพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาบังไว้หน้าริมฝีปาก 

‘เงียบ ๆ หน่อย ถึงแล้ว’

แดนดีไลออนกวาดสายตาไปรอบ ๆ มันเป็นตรอกที่มีหน้าตาเหมือนกับตรอกอื่น ๆ ในอ็อกเซนเฟิร์ต บ้านเรือนทรงสูงเรียงกันเป็นตับ แทรกด้วยบานหน้าต่างร้านค้าและทิวป้ายหลากสี เขาเพ่งสายตาพยายามอ่านอักษรรูนเลือนรางเหนือประตูร้านที่อิริอานายืนอยู่

‘“ภคินีแวนโอลเทอเรน สินค้าจากต่างแดน” ดูเหมือนว่าจะปิดมาสักพักแล้วนะ เจ้าแน่ใจรึว่ามาถูกที่?’

‘ข้ารู้จักร้านนี้’ ไอเซนกริมกล่าว ‘พวกฮาฟคาเรน [1]

สาวน้อยพยักหน้า แดนดีไลออนมองลอดผ่านหน้าต่างและเดาะลิ้น

‘ดูจากการจัดเรียงสินค้า แม่หญิงบ้านนี้คงจะค้าขายพรมจากโอเฟียเป็นหลัก ขายแพงกว่าราคาทุนแบบน่าเกลียด พวกเจ้าเห็นราคานั่นไหมล่ะ? ที่ร้านเนสปีในเมืองโนวิกราด เจ้าจะซื้อพรมลายนี้ได้อย่างแพงที่สุดก็แค่ครึ่งเดียวของราคานี้’

‘เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องพรมตั้งแต่ตอนไหนกัน?’ ไอเซนกริมถาม

‘ข้าเชี่ยวชาญหลายเรื่องเชียวแหละ แต่ช่างเถอะ ช่วยอธิบายมาก่อนว่าพวกเรามาที่นี่กันเพื่ออะไร’

‘เจ้าหนิช่างพูดมากจริง ๆ เจ้าดวาน [2]

อิริอานาวางมือลงบนบ่าของแดนดีไลออน ‘ข้ารู้จักนักกวีอยู่คนหนึ่ง เขาก็ไม่ยอมหุบปากง่าย ๆ เหมือนกัน’ นางกล่าวพร้อมกับส่งยิ้ม ‘มันคงเป็นโรคประจำอาชีพนี้น่ะ’

ไอเซนกริมเคาะประตูสามครั้ง ทิ้งจังหวะนานเท่าหัวใจเต้นสองครั้งแล้วเคาะซ้ำแบบเดิม ไม่มีใครตอบรับจากข้างใน

‘เอาเถอะ อย่างน้อยเราก็ลองตรวจตราดูแล้ว’ แดนดีไลออนพูดพลางขยับเข็มขัด ‘ไม่มีใครอยู่ที่นี่หรอก’

อิริอานาหยิบที่สะเดาะกลอนออกมาแล้วสอดเข้าไปในรูกุญแจ ประตูเปิดออกทันทีที่เธอออกแรงกระแทก

‘ข้าเองก็เชี่ยวชาญหลายเรื่องเหมือนกันนะ ท่านศาสตราจารย์’ นางกล่าว


*

กลิ่นใยผ้าทำให้แดนดีไลออนคันจมูก แต่ก่อนที่จะจามออกมาเขาก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มไหว ๆ อยู่ในความมืด เสียงง้างกลไกบางอย่างดังขึ้น แสงสลัวส่องผ่านบานประตูที่เปิดอ้าออก ลูกศรส่องประกายวาววาบอยู่บนหน้าไม้ที่ถูกเล็งมาทางพวกเขา

‘ใครน่ะ?’ หญิงคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกองพรมเอ่ยถามขึ้น

อิริอานายกมือขึ้นทั้งสองข้าง ‘ข้ามาจากมหาวิทยาลัย คนงานบนเรือเมอร์รีวิโดว์บอกว่าท่านจะช่วยข้าได้’

‘ช่วยเรื่องอะไร?’

‘ก็เรื่องที่… ไม่ค่อยถูกกฎหมายเท่าไร’

‘เจ้ามาผิดที่แล้วล่ะ แม่หนู

ไอเซนกริมก้าวเท้าออกไปข้างหน้า ชูมือทั้งสองข้างให้อีกฝ่ายเห็น ‘ฮาฟเวการ์ [1] จำข้าได้หรือเปล่า? ข้าเป็นสกอยาเทล’

‘ไม่มีสกอยาเทลอีกต่อไปแล้ว เอลฟ์เอ๋ย ฮาฟเวการ์ก็ไม่มีอีกแล้ว ราโดวิดประหารพวกเขาทันทีที่มีโอกาส ใครที่ช่วยเหลือพวกอมนุษย์ก็ต้องได้รับโทษตาย เป็นความผิดติดตัวไปตลอดชีวิต’

‘เจ้าชื่อซานเนใช่ไหม?’

อีกฝ่ายเงียบ

‘ข้าคือไอเซนกริม เฟวลทิอาร์นา กองกำลังของข้าเคยซื้อผ้าขนสัตว์โคเวียร์จากร้านเจ้าด้วยราคาที่เหมาะสมและยุติธรรม เจ้าไม่เคยหากินกับความสิ้นหวังของเรา ต่างจากพวกดวานคนอื่น ๆ พี่น้องข้าหลายคนรอดตายจากอากาศหนาวเย็นไปได้ก็เพราะเจ้า’

สตรีฝ่ายตรงข้ามลดหน้าไม้ลงและก้าวออกมาจากข้างหลังกองพรม ใต้เรือนผมสีเทาที่ยุ่งเหยิงมีดวงตากลมโตสีดำจ้องมองมายังพวกเขา

‘หมาป่าเหล็กรึ ให้ตายเถอะ ข้านึกว่าพวกมันเล่นงานเจ้าไปซะแล้ว’

แดนดีไลออนเห็นบางสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเอลฟ์ นั่นคือรอยยิ้ม

‘ยังหรอก’ ไอเซนกริมตอบพร้อมกับยื่นมือออกไปข้างหน้า ‘ข้ายังไม่ตาย’


*

ซานเนดึงจุกคอร์กออกจากปากขวดแล้วรินเครื่องดื่มลงไปในแก้วของทุกคน ไอระเหยของวอดก้าแต่งกลิ่นทำให้แดนดีไลออนเริ่มมึน เขาเลียริมฝีปากและกระดกแก้วซดจนเกลี้ยงโดยไม่รอใครทั้งนั้น นักกวีเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ

‘ขอสรุปเลยนะ’ ฮาฟเวการ์กล่าวขณะเติมเหล้าให้นักกวี ‘เจ้ากำลังหาผู้สมรู้ร่วมคิดให้ไปช่วยทำงานอันตราย แล้วงานนั้นก็เสี่ยงมาก ๆ จนพวกชาวเรือปฏิเสธและบอกให้เจ้ามาหาข้าแทน เจ้าจะจ่ายค่าจ้างด้วยฟิสเทค ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ไม่มีของอยู่ในมือแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ยังคาดหวังว่าข้าจะยอมช่วยขโมยหนังสือออกมาจากหอสมุด’

‘พูดตรง ๆ ล่ะก็ หนังสือพวกนั้นมีหลายร้อยเล่มเลย’ อิริอานาเสริม ‘รายชื่อหนังสือต้องห้ามมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ท่านก็น่าจะรู้ว่านักบวชพวกนั้นไม่ใช่คนสันหลังยาว…’

‘ไม่เห็นได้ยินเลยว่าข้าจะได้อะไรจากงานนี้บ้าง’

อิริอานายักไหล่ ‘ต่อให้รู้ว่าคุณูปการของท่านจะช่วยรักษาผลงานวรรณกรรมชิ้นเอกให้อยู่รอดปลอดภัย แต่เรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้ท่านพอใจง่าย ๆ หรอก ใช่ไหมล่ะ?’

‘เจ้าก็รู้ดีแล้วนี่’

‘เรื่องนั้น…’

แดนดีไลออนกระดกเหล้าแล้วโขกแก้วลงกับโต๊ะ ขนบนร่างลุกเกรียวขณะที่ความอบอุ่นอันน่าอภิรมย์แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

‘พวกเรานี่มันไม่รู้จักเรียนรู้อะไรบ้างเลย จริงไหม?’ เขาเอ่ยแทรกขึ้นพลางชำเลืองมองไอเซนกริม ‘พวกเราที่เป็นมนุษย์น่ะ มันเริ่มต้นมาจากหนังสือก็จริง แต่ก่อนที่เราจะทันได้มองย้อนกลับไป พวกเขาก็ตัดสินความชอบธรรมและต้นตอของมันไปแล้ว กองไฟจะถูกจุดให้ลุกโชน แล้วในที่สุดกลิ่นกระดาษไหม้ก็จะถูกแทนที่ด้วยกลิ่นไหม้ของสิ่งอื่นที่ชวนให้สะอิดสะเอียนมากกว่า ถ้าจะรอให้ถึงวันนั้นทุกอย่างก็สายเกินแก้ไปแล้ว’

‘ข้าล่ะสุดแสนจะประทับใจกับสุนทรพจน์วิงวอนของเจ้า’ ซานเนกล่าว ‘บางที… ถ้าข้ายังสาวกว่านี้สักสามสิบปี ข้าก็คงจะตามไปช่วยเจ้าดับกองไฟพวกนั้น แต่ตอนนี้คงไม่ หลังจากข้าได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสงคราม สิ่งที่ข้าต้องการก็มีแต่ความสงบ และด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องการเงินจำนวนมาก มากพอ ๆ กับเงินที่ได้จากการขายฟิสเทค ถ้าของไม่มา ข้าก็ไม่ทำ เสียใจด้วย’

ไอเซนกริมจิบเหล้าเถื่อน ก่อนจะทำหน้าเหยเกแล้วผลักแก้วออกไปไกล ๆ ตัว

‘เจ้าจะช่วยแม่หนูนี่’ เขาประกาศก้อง ‘ทำอะไรก็ตามที่นางร้องขอ และหลังจากที่เจ้าทำงานสำเร็จลุล่วง ข้าจะ…ไปเจรจากับสหายของข้า เราจะหาทางจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าอย่างสมน้ำสมเนื้อ’

‘เอาเป็นว่า… ขอฟิสเทคสักปอนด์ก็พอ…’

‘แล้วความสงบของเจ้าล่ะ มีราคาเท่าไร?’ เอลฟ์คำรามพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของฮาฟเวการ์ ‘ราโดวิดกับนักล่าค่าหัวของเขายังคงมองหาคนอย่างเจ้า เจ้าพูดเองนี่…การค้าขายกับพวกสกอยาเทลเป็นความผิดที่จะติดตัวไปจนวันตาย ถ้ามีใครหลุดปากเรื่องนี้ เจ้าก็คงจบเห่’

ซานเนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

‘เจ้าหมาป่า รู้ไหมทำไมข้าถึงไม่เคยคิดจะเอาเปรียบเผ่าพันธุ์ของเจ้า ก็เพราะข้าเชื่อมาตลอดว่าเอลฟ์อย่างพวกเจ้าน่ะสูงส่งกว่าพวกมนุษย์ น่าขำนะ ผ่านไปไม่เท่าไรเจ้าก็มีนิสัยเหมือนพวกเราเสียแล้ว’

เฮฟเวการ์สูงวัยยกแก้วรินสุราเข้าปาก

‘ข้าช่วยก็ได้’ นางบ่น ‘เชิญไสหัวออกไปจากร้านข้าได้แล้ว’

 

หมายเหตุ:

[1] ฮาฟเวการ์ (Havekar) มาจากคำว่า ฮาฟคาเรน (Hav’caaren) ในภาษาเอลฟ์ แปลว่า ความโลภอย่างหิวกระหาย เป็นคำที่พวกเอลฟ์ใช้เรียกพวกพ่อค้าที่แอบค้าขายกับกองกำลังสกอยาเทล พ่อค้าเหล่านี้มักขูดรีดและโก่งราคาเนื่องจากเป็นการค้าที่ผิดกฎหมาย

[2] ดวาน (dh’oine) ในภาษาเอลฟ์ แปลว่า มนุษย์

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 5

ยามวิกาลนั้นเงียบสงัดกว่าที่เคย

แดนดีไลออนคุ้นชินกับความจริงที่ว่ามหาวิทยาลัยจะทุเลาความพลุกพล่านลงหลังจากฟ้ามืด และความมีชีวิตชีวาของเหล่านักศึกษาก็จะเคลื่อนย้ายไปยังโรงเหล้าที่อยู่ใกล้ ๆ แทน แต่ความเงียบสงัดที่ปรากฏอยู่ทั่วทุกแห่งหนนั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย

เขาพยายามเร่งฝีเท้าตามอิริอานาให้ทันขณะเดินผ่านต้นฮอร์นบีมที่เรียงขนาบข้างตลอดความยาวถนน เมื่อผ่านพ้นน้ำพุที่บรรดานักกวีรุ่นเยาว์มักมารวมตัวกัน ทั้งสองคนก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกซึ่งนำพาไปสู่หอสมุด

‘ศาตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูว์ฟ… ทำไมท่านต้องออกไปตามหาข้าอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ด้วย?’

‘ข้าได้ยินเรื่องผงฟิสเทคนั่น ก็เลยอยากจะช่วยเจ้า’

‘ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่ท่านต้องเอ่ยปากห้ามข้าไม่ให้เข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายอีก ใช่ไหมล่ะ?’

‘บางทีข้าก็ควรจะห้ามอยู่หรอก แต่เรื่องนี้ข้าอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้า จงไปทำในสิ่งที่ต้องทำ… และช่วยหยุดเรื่องวุ่นวายพวกนี้สักที ทั้งเรื่องตำราเอย บันทึกเอย บทเรียนเอย แล้วก็ชีวิตวุ่น ๆ ของวัยรุ่นดีเด่นคนหนึ่งด้วย ได้ยินไหม?’

ประตูหอสมุดส่งเสียงดังเอี๊ยด ใครบางคนผิวปากขึ้น อิริอานามองไปรอบ ๆ แล้วจูงมือแดนดีไลออนเข้าไปข้างใน

ข้างในนั้นมีนักศึกษาสองคนกำลังรอพวกเขาอยู่ ซึ่งแดนดีไลออนก็จำทั้งคู่ได้ เฮนจ์ซึ่งเป็นนักศึกษาปีหนึ่งสาขาประวัติศาสตร์เป็นผู้เปิดประตูให้ อีกคนคือ พาเทรค นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาชายหนุ่มที่ชานิชื่นชอบ กำลังยืนมองลงไปยังพื้นด้านล่างของห้องโถง ผมหยักศกสีดำของเขาทำให้แดนดีไลออนจดจำได้ในทันที

อิริอานาถอดรองเท้ารัดส้นออกและโยนมันใส่ถุงสัมภาระของเธอ แดนดีไลออนสังเกตว่านักศึกษาชายทั้งสองต่างก็ไม่มีใครสวมรองเท้าเลย นักกวีกลอกตาและคลายเชือกผูกรองเท้าของตัวเองออก

พวกเขาเดินเข้าไประหว่างแถวโต๊ะและชั้นหนังสือที่มีตำราเรียงซ้อนกันเป็นตั้ง ๆ

‘พวกนั้นเอาหนังสือไปเก็บไว้ที่ไหนกัน?’ อิริอานาถามขึ้น เสียงกระซิบของนางสะท้อนก้องไปมาในห้องโถงหลัก

‘ทางนี้’ แดนดีไลออนตอบพร้อมกับนำทางพวกนักศึกษาไปยังห้องคัดตำรา

กองหนังสือที่ถูกอายัดไว้เพิ่มขนาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ตอนที่เขาสนทนากับสังฆาธิการผู้ตรวจเนื้อหา

‘พวกนักบวชนี่ทำงานกันแบบไม่ปล่อยให้เสียเวลาเลย’ อิริอาน่ากล่าวพลางไล่นิ้วไปตามเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะ แดนดีไลออนชำเลืองมองข้ามไหล่นาง

‘นั่นมันหนังสือ “วิปัสสนาฯ”?!’ เขาอ้าปากค้าง

‘อย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ ประวัติศาสตร์ยุคหลังจำนวนมากก็กำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย ดูนี่สิท่านศาสตราจารย์ หนังสือชุด “ผลพวงทางภูมิรัฐศาสตร์จากเหตุกบฏเกาะธาเนดด์” ทั้งห้าเล่มกำลังจะถูกลบทิ้งหมดเลย’

‘ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ข้าอยากจะลบไอ้เรื่องบัดซบเรื่องนั้นเองด้วยซ้ำ แต่การทำลายหนังสือวิปัสสนาฯ ทิ้งนี่มันช่างไร้สมองบ้องตื้นสุด ๆ’

พาเทรคเดินไปริมหน้าต่างและชะโงกออกมองไปข้างนอก

‘อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าคิดจะโยนหนังสือลงไปข้างล่าง คงไม่ทำแบบนั้นใช่ไหม?’ แดนดีไลออนถาม

เฮนจ์เข็นรถเข็นของหอสมุดเข้ามาในห้องคัดตำรา

‘เราจะเอาหนังสือใส่รถเข็น’ เขาตอบ ‘แล้วค่อยเข็นออกไปทางประตูด้านหลัง’

อิริอานาพยักหน้าและหอบหนังสือกองโตขึ้นมาจากพื้น

‘มีช่องทางเดินตรงกำแพงหลังอาคาร’ อิริอานาบอกทุกคน ‘มันจะตรงไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ ตรงที่ซานเนกับไอเซนกริมกำลังรออยู่บนเรือพอดี พวกเขาจะลำเลียงหนังสือต่อไปยังท่าเรือ แล้วขนขึ้นเรือคอร์เดียลแฮงแมนอีกที’

แดนดีไลออนถอดหมวกออกแล้วถอนหายใจ

‘ถ้าข้าจะพูดว่า “อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายอีก” ก็คงไม่ทันแล้วใช่ไหม?’

อิริอานาส่งตั้งหนังสือให้แดนดีไลออน ‘กองมันไว้บนรถเข็นเลย ท่านศาสตราจารย์’ นางตอบ


*

พวกเขาช่วยกันขนตำราชุดสุดท้ายขึ้นรถเข็น เฮนจ์เป็นคนเข็นมันผ่านประตูออกไป

‘อย่าปล่อยให้ท่านสังฆาธิการไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีสิ’ แดนดีไลออนเอ่ยขึ้น ‘เขายิ่งเป็นคนโมโหง่ายอยู่ด้วย’

‘ขอเวลาเดี๋ยวเดียว’ อิริอานากล่าว ‘ข้าจะทิ้งของที่ระลึกไว้ให้เขาเอง’

นักศึกษาหญิงเลียริมฝีปากและหยิบกระดาษจดบันทึกแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ นางกระซิบกระซาบถ้อยคำบางอย่าง แล้วงอนิ้วมือเป็นสัญลักษณ์ที่เรียบง่าย เกิดประกายแสงขึ้นมาบนหน้ากระดาษ แดนดีไลออนเห็นบรรดาตัวอักษรเปลี่ยนรูปร่างและหลอมรวมเข้าหากัน ภาพวาดลายเส้นแบบลวก ๆ ปรากฏขึ้นจากพลังเคออส

‘เจ้าใช้เวทมนตร์ได้ด้วยรึ?’

‘ข้าเคยเป็นผู้ช่วยของจอมเวทแรดคลิฟฟ์ [1] น่ะ’

‘แล้วเจ้าก็ใช้มันวาดรูปลึงค์ลงในบันทึกของสังฆาธิการเนี่ยนะ?’

‘ท่านโกรธหรือ? ศาสตราจารย์’

‘เจ้าล้อข้าเล่นหรือไง? นี่คือการใช้เวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลยล่ะ พอ ๆ กับตอนที่สหายจอมเวทหญิงคนหนึ่งของข้ายกเท้าขึ้นมาร่ายคาถาเลย [2]

พาเทรคส่งเสียงชู่วและโบกมือเป็นสัญญาณ

‘มีคนกำลังเดินเข้ามา’

แดนดีไลออนกับอิริอานากระโจนขึ้นไปบนขอบหน้าต่างและพยายามเพ่งมองจนจมูกแนบติดบานกระจก ชายผู้หนึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังหอสมุดผ่านทางประตูนักปราชญ์

‘นั่นมันอาจารย์อลอนเซียสนี่’ แดนดีไลออนเอ่ยขึ้น

อิริอานากระฟัดกระเฟียด ‘เจ้าฟอสซิลนี่ไม่คิดจะทำอย่างอื่นบ้างหรือไง? ถ้าเขาเห็นพวกเราล่ะก็ ทุกอย่างคงได้สูญเปล่าแน่’

‘เคารพครูบาอาจารย์หน่อยสิ’ แดนดีไลออนกระซิบ

‘อะไรนะ?’

‘ช่างมันเถอะ’

อิริอานาเกาหน้าผากตัวเองแล้วคลึงฝ่ามือเข้าหากัน

‘ช่วยไม่ได้ ข้าคงต้องทำอะไรสักอย่าง ข้าจะออกไปคุยกับเขาจนกว่าเฮนจ์จะกลับเข้ามา แล้วค่อยหาทางออกไปจากที่นี่’

‘เจ้าทำมามากพอแล้วล่ะ’ แดนดีไลออนบอกลูกศิษย์พลางขยับหมวกของเขา ‘ให้ข้าออกไปคุยเถอะ ข้าน่ะเก่งเรื่องนี้อยู่แล้ว’


*

แดนดีไลออนวิ่งออกมาจากประตูหอสมุดและฉีกยิ้มกว้างเหมือนกับที่เขาเคยทำขณะรวบรวมเงินจากผู้ชมหลังจบการแสดง

‘ท่านอาจารย์อลอนเซียส! บังเอิญอะไรเช่นนี้’

‘ศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูว์ฟ?’ บรรณารักษ์สลัดเอาความตกอกตกใจออกไป ‘แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่จนดึกดื่น แถมไม่ใส่รองเท้าอีก?’

‘เอ่อ…’ แดนดีไลออนชำเลืองมองเท้าตัวเอง ‘ท่านคงไม่อยากเชื่อหรอก แต่ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเอารองเท้าไปวางไว้ตรงไหน… สักที่… ในหอสมุดนี่แหละ’

‘ว่ากันตามตรง ท่านศาสตราจารย์… ท่านควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีนะ’

‘เอ้อ…’

‘หลังจบการศึกษา ท่านก็สอนวิชาคีตกวีอยู่หนึ่งปีเต็มใช่ไหม? ท่านอาจจำไม่ได้ แต่ว่าเราเคยพบกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนั้นข้ายังเป็นแค่ผู้ช่วยบรรณารักษ์ หลังจากท่านออกจากมหาวิทยาลัยไป ข้าก็ได้ยินสารพัดเรื่องราวที่เล่าขานวีรกรรมอันโชกโชนของท่าน’

แดนดีไลออนเงียบกริบ อลอนเซียสยิ้มออกมาแล้วหันไปมองประตูนักปราชญ์

‘ข้าน่ะ แทบไม่เคยก้าวเท้าออกไปนอกกำแพงนี้เลย ข้าอิจฉาท่านนะ ท่านอาจารย์เดอเล็ทเทนฮูว์ฟ ข้าอิจฉาที่การผจญภัยและการเดินทางเหล่านั้นได้พาท่านไปจนถึงสุดขอบโลก อิจฉาที่ท่านได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย ท่านมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์มาก… และท่านก็ใช้มันอย่างสุรุ่ยสุร่ายเลย’

แดนดีไลออนได้ยินเสียงผิวปากเบา ๆ เป็นสัญญาณที่นัดแนะเอาไว้แล้ว เรือของซานเนหันหัวมุ่งตรงไปยังท่าเรือตามที่ตกลงกันไว้

‘โลกข้างนอกกำแพงนั่นมีสารพัดอย่างเลยล่ะ ท่านอาจารย์’ เขาตอบ ‘ข้าเคยออกเดินทางมาบ้างแล้ว ข้าจึงรู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ ข้าเจอมิตรสหายระหว่างทาง แต่แล้วก็ต้องสูญเสียพวกเขาไป… แทบทุกคนเลย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่ามันมีอะไรให้ท่านอิจฉาด้วย’

อลอนเซียสยิ้มและส่ายนิ้วชี้ไปมา

‘นี่ยังไม่ใช่จุดจบของการเดินทาง บทเพลงนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แล้วท่านจะรู้ว่าข้าพูดถูก’

‘เอาล่ะ… ข้าต้องไปที่อื่นแล้ว คงต้องขอตัวไปตามหารองเท้าก่อน โชคดีมีชัยนะ ท่านอาจารย์อลอนเซียส’

‘ลาก่อน… แดนดีไลออน’

 

หมายเหตุ:

[1] จอมเวทแรดคลิฟฟ์แห่งอ็อกเซนเฟิร์ต (Radcliffe of Oxenfurt) เป็นที่ปรึกษาของราชาเดมาเวนด์ที่ 3 แห่งเอเดิร์น และเป็นสมาชิกสภาจอมเวทย์ (Council of Wizards) เช่นเดียวกับเยนเนเฟอร์ แรดคลิฟฟ์อยู่ฝ่ายภักดีต่อแดนเหนือในเหตุกบฏบนเกาะธาเนดด์

[2] หมายถึงเยนเนเฟอร์ในตอนที่เธอร่วมคณะล่ามังกรในเรื่องสั้น The Bounds of Reason (ขีดจำกัดของความเป็นไปได้ อยู่ในหนังสือดาบแห่งโชคชะตา)

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 6

เหยือกดินเผากระทบกันเกรียวกราวเหนือโต๊ะ ฟองเครื่องดื่มกระฉอกเคล้าเสียงอื้ออึงแห่งการเฉลิมฉลอง

‘หมดแก้ว!’

‘แด่แดนดีไลออน! แด่พี่น้องนักศึกษา!’

หลังจากดื่มฉลองแก้วแล้วแก้วเล่า พื้นของร้านก็โคลงเคลงราวกับดาดฟ้าเรือที่กำลังแล่นฝ่าพายุ เสียงคุยโม้ ความทรงจำที่ถูกแบ่งปัน และเนื้อเพลงสัปดนทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงแห่งความสำราญ ไม่มีใครในห้องที่ไม่ถูกคนอื่น ๆ ตบหลังตบไหล่

‘เมื่อศาสตราจารย์อยู่กับเรา…’

‘ใครเล่าจะต้านทานพวกเราได้!’

แดนดีไลออนพรมนิ้วลงบนลูทอย่างเอื่อยเฉื่อยและรับคำสรรเสริญจากสมาชิกร่วมอุดมการณ์ด้วยความซาบซึ้ง เมื่ออยู่ท่ามกลางพวกนักศึกษา เขาก็รู้สึกอ่อนเยาว์ลงไปอีกยี่สิบปี

เสียงประตูกระแทกดังสนั่น รานัลฟ์เร่งรุดเข้ามาในร้านกาลานุกรมพร้อมกับกระแสลมจากข้างนอก เขาเดินสะดุดเข้ากับเฮนจ์ที่นอนหลับคุดคู้อยู่ตรงธรณีประตู

‘ดูนี่สิพวก!’

เขาคลี่แผ่นกระดาษยับ ๆ ออก ทับมุมข้างหนึ่งด้วยเหยือกเหล้าและวางเชิงเทียนทับไว้อีกมุมในฝั่งตรงข้าม เหล่านักศึกษาชะเง้อหน้าเข้ามาอ่านประกาศบนโต๊ะ ตัวหนังสือที่ดูชั่วร้ายบนแผ่นประกาศยับย่นเขียนไว้ว่า:

“หอสมุดปิดทำการจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง งดการเรียนการสอนในวันพรุ่งนี้ นักศึกษาทุกคนจะต้องมารายงานตัวในตอนเช้า มิเช่นนั้นจะถูกพักการเรียน”

‘ทำไมต้องเขียนตัวหนังสือให้มันใหญ่โตอะไรปานนี้ด้วยนะ?’

‘ตัวหนังสือใหญ่เท่าบ้าน แต่ไอ้นั่นเล็กเท่ามด!’

‘สังฆาธิการพาพวกสามเณรมาที่มหาวิทยาลัยด้วย พวกเขาคงจะหาหนังสือกันแบบพลิกแผ่นดิน’

‘ฮ่า! ขอให้โชคดีนะ ต่อให้หาทั้งชาติก็ไม่เจอหรอก’

แดนดีไลออนวางลูทลงและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้จนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด

‘ทำได้ดีมากเลยพวกเด็ก ๆ ไม่ช้าก็เร็วสายลมจะต้องเปลี่ยนทิศ เดี๋ยวพวกนักบวชก็ต้องออกจากมหาวิทยาลัยแล้วกลับไปนั่งสวดมนต์บนอาสนะเหมือนเดิม ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยแอบย่องไปเอาหนังสือกลับมาเก็บไว้ในหอสมุด พวกเจ้าแค่ใจเย็นลงหน่อยและรอจนกว่าจะถึงเวลานั้น

รานัลฟ์ส่ายหัว เกลียวผมหยักศกถูกสะบัดจนฟูฟ่อง

‘ใจเย็นรึ? ท่านศาสตราจารย์! เราทำให้พวกนักบวชลนลานได้แล้วเชียว! ต้องอาศัยจังหวะนี้ตามไปเผด็จศึกให้ราบคาบสิ! จัดการมันเลย!’

เหล่านักศึกษาตอบกลับมาด้วยเสียงกระแทกแก้วลงกับโต๊ะและเสียงตะโกนเป็นจังหวะ

‘จัดการมัน! จัดการมัน! จัดการมัน!’

แดนดีไลออนเช็ดฟองเบียร์ออกจากปาก

‘เวรแล้วไง…’

ระลอกคลื่นแห่งความฮึกเหิมก่อตัวขึ้นและทำให้พวกนักศึกษาคิดการใหญ่กว่าเดิม

‘ช่างหัวศาสนจักร! ช่างหัวไอ้พวกนักบวช! ที่นี่คือมหาวิทยาลัยของเรา!’

‘ช่วยกันต่อต้านการบุกรุกกันอีกครั้งเถอะสหาย! เราจะไม่หยุดสู้เพื่อศักดิ์ศรีของพวกเรา!’

เสียงโห่ร้องดังขึ้น เมื่อหูนักดนตรีของแดนดีไลออนได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังใกล้เขามา เขาก็สร่างเมาทันที นักกวีหันไปมองอิริอานาอย่างเป็นกังวล แต่นางตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์และทำท่าส่งจูบมาให้

รานัลฟ์ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะสามครั้งและชูมันขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เหล่านักศึกษาพากันเงียบเสียงลง

‘ทุกคนได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเราล้วนร่วมมือร่วมใจกันและทำภารกิจให้สำเร็จได้’ เขาเริ่มสุนทรพจน์พร้อมกับกวาดสายตาไปยังเพื่อนนักศึกษา ‘พวกเราจะปกป้องอ็อกเซนเฟิร์ตจนถึงที่สุด มหาวิทยาลัยนี้ไม่ใช่สถานที่ของพวกนักบวช ได้เวลาแสดงให้เห็นแล้วว่าที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเขา’

ทุกสายตาจดจ้องไปยังรานัลฟ์ เหล่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ล้วนเมามายกับชัยชนะและกระหายที่จะลงมือทำภารกิจต่างรอแค่คำพูดชี้นำจากเขาเท่านั้น

‘พวกเราจะฉลองงานเบเลทีน ค่ำคืนแห่งเดือนพฤษภา คืนแห่งไฟ! มาทำให้มันเป็นวันที่น่าจดจำกันเถอะ!’

รานัลฟ์วางมือลงบนโต๊ะและโน้มตัวเข้าหาเหล่าผู้ฟัง สีหน้าของเขาซาบซ่านไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย

‘เมื่องานเทศกาลเริ่มขึ้น ในตอนที่ทั้งเมืองกำลังเฉลิมฉลอง เมื่อพวกนักบวชกลับไปเฝ้ายามที่วิหารแล้ว พวกเราจะ…’

เขาเว้นระยะเพื่อเร่งเร้าความอยากรู้ พวกนักศึกษาต่างพากันกลั้นหายใจ ตอนนี้เขามีอิทธิพลเหนือทุกคนแล้ว

‘...เราจะเผาภาควิชาศาสนวิทยา’


*

เหล่านักบวชเริ่มการค้นหาด้วยความร้อนรนอย่างพวกคลั่งศาสนา ในระหว่างที่เหล่านักศึกษาผู้เข้ามารายงานตัวถูกบังคับให้ขับร้องบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การนำของมัคนายก พวกสามเณรก็พากันรื้อพื้นไม้ในหอพัก หอบกองเสื้อผ้าโยนออกมาทางหน้าต่าง และรื้อทำลายห้องใต้หลังคาเพื่อค้นหาที่ซ่อนลับ การรื้อค้นอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ก่อให้เกิดผลลัพธ์บางอย่าง: เหล่าวงศาคณาญาติชาติแมงมุมและครอบครัวนกพิราบทั้งฝูงถูกขับไล่ออกไปจากอาคารเก่าแก่หลังนี้

ส่วนหนังสือพวกนั้น แน่นอนว่าไม่มีใครหาเจอแม้แต่เงา

หลังจากนั้นตลอดทั้งวัน พวกนักศึกษาก็เดินกันขวักไขว่ไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยเพื่อตามหาข้าวของและเก็บกวาดเศษซากที่พวกนักบวชรื้อทิ้งเอาไว้ แดนดีไลออนแอบย่องออกมาจากการประชุมเร่งวาระด่วนของสภามหาวิทยาลัยและเจอตัวอิริอานาในสวนนักคิด นางนั่งพิงหลังกับรูปปั้นของวีโซโกตาแห่งคอร์โว*พลางพลิกหน้าสมุดบันทึก

‘การไต่สวนเป็นยังไงบ้าง?’ เขาถามนาง

‘รอดฉลุย’

เขานั่งลงข้าง ๆ อิริอานา แขนอุ่น ๆ ของนางถูกยกขึ้นมาวางไว้บนไหล่นักกวี แดนดีไลออนกระแอมไอใส่กำปั้นตัวเอง

‘สภาวุ่นวายกันใหญ่ สังฆาธิการกระวนกระวายเหมือนแมลงภู่ที่บินเข้าไปในเหยือกน้ำ เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่มีใครแพร่งพรายเรื่องนี้?’

‘ไม่มีหรอก เว้นแต่จะพวกเราจะถูกจับไปทรมาน’

‘ไปเอาความคิดเรื่องย้ายหนังสือลงเรือมาจากไหนกันล่ะเนี่ย?’

‘รานัลฟ์เป็นคนเสนอมันขึ้นมา ลุงของเขาเป็นเจ้าของเรือในเมืองแลนเอ็กเซเตอร์’

‘รานัลฟ์มาจากโคเวียรึ?’

‘ใช่แล้ว เขามาเรียนที่นี่ เมืองแลนเอ็กเซเตอร์มีมหาวิทยาลัยก็จริง แต่มันเพิ่งจะก่อตั้งได้ไม่นาน ชื่อเสียงก็ไม่ค่อยดี ไม่เหมือนกับอ็อกเซนเฟิร์ต อย่างน้อยก็ตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมา’

เสียงผู้ช่วยของวิหารดังออกมาจากห้องทำงานของอธิการ เขาประกาศรายชื่อนักศึกษาที่ต้องมาให้การเพิ่มเติมต่อท่านสังฆาธิการ ฝูงนกพิราบแตกตื่นพากันบินออกจากรังใต้หลังคาพลางส่งเสียงร้องเหนือยอดต้นฮอร์นบีม

‘อิริอานา’

‘มีอะไรรึ? ท่านอาจารย์’

‘มันชักจะเลยเถิดกันไปใหญ่แล้ว คิดจะวางเพลิงกันเลยรึ? เพื่อนของเจ้าน่ะเสียสติไปแล้ว พวกเขาจะคุกคามสังฆาธิการและมันจะพาทุกอย่างไปสู่หายนะ จนถึงตอนนี้การกระทำของพวกเจ้ายังถือว่ามีเหตุผล เรียกว่ามีเกียรติเลยก็ว่าได้ พวกอาจารย์หลาย ๆ คนก็แสดงท่าทีเกลียดชังกับสิ่งที่ศาสนจักรปฏิบัติกับเรา แต่ถ้าพวกเจ้าลงมือต่อ… เจ้าจะสูญเสียพันธมิตรไปทั้งหมด’

‘ข้ารู้ดีว่ามันเสี่ยง แต่ก็ต้องมีใครสักคนที่ยอมทำ’

‘ทำอะไร? วางเพลิงรึ?’

‘ส่งข้อความออกไป ต่อสู้เพื่ออ็อกเซนเฟิร์ต พวกอาจารย์น่ะไม่กล้าทำแบบนี้หรอก’

‘อิริอานา เราตกลงกันแล้วนะ ข้าช่วยเจ้า แล้วเจ้าก็รับปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้อีก’

‘แดนดีไลออน ข้าไม่ได้รับปากอะไรทั้งนั้น ข้าจะไม่ละทิ้งเพื่อน ๆ ของข้า ข้าจะไม่ยอมแพ้เพียงเพราะว่าต้องเข้าไปเสี่ยงกับอันตรายนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น’

แดนดีไลออนถอนหายใจ

‘พ่อของเจ้าเป็นห่วงอยู่นะ’

แขนอุ่น ๆ หายไปจากบ่าของเขา อิริอานาขยับตัวออกห่าง บรรยากาศเริ่มตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด

‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ?’

‘เขาขอให้ข้าคอยจับตาดูเจ้าไว้’

นางเก็บรวบรวมสมุดบันทึกแล้วหอบมันขึ้นมา ตั้งใจออกแรงให้มากเกินกว่าที่จำเป็น

‘เขารู้ว่าข้ามีตัวตนอยู่ด้วยหรือไง? เหอะ… มันสายไปแล้วล่ะ ข้าคิดไว้แล้วเชียว แต่กับท่านน่ะ ท่านศาสตราจารย์ ข้าคาดหวังไว้สูงกว่านี้ ข้าหลงคิดว่าท่านสนับสนุนพวกเรา คิดว่าท่านยื่นมือมาช่วยอย่างบริสุทธิ์ใจ ตาแก่หมูตอนนั่นจ่ายเงินจ้างท่านเท่าไรกัน?’

‘ไม่ใช่อย่างนั้น อิริอานา’

‘แน่ล่ะ ช่วยอยู่ห่าง ๆ ข้าเลย แล้วบอกเขาให้ทำแบบเดียวกันด้วย’

 

หมายเหตุ: วีโซโกตาแห่งคอร์โว (Vysogota of Corvo) เป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ในแทบทุกสาขา เขาเป็นทั้งศัลยแพทย์ นักเล่นแร่แปรธาตุ นักวิจัย นักประวัติศาสตร์ นักปรัชญาและจริยศาสตร์ เคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกเซนเฟิร์ตและราชวิทยาลัยแห่งนิลฟ์การ์ด แต่ต่อมาได้ถูกเนรเทศออกจากจักรวรรดิ เขาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ซีรีหลังจากที่เธอหลบหนีจากเงื้อมมือของลีโอ บอนฮาร์ท และพรรคพวกของสเตฟาน สเกลเลน

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

 

📜 อ่าน Part 3: บทที่ 7-9

 

ชื่อตัวละครเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ

Dandelion = แดนดีไลออน / Julian de Lettenhove = จูเลียน เดอ เล็ทเทนฮูฟว์ / Iriana van Troffke = อิริอานา แวน ทรอฟฟ์เก้ / Isengrim Faoiltiarna = ไอเซนกริม เฟวลทิอาร์นา / Sanne = ซานเน / Henge = เฮนจ์ / Patrec = พาเทรค / Master Alonsius = อาจารย์อลอนเซียส / Ranulf = รานัลฟ์ /

ชื่อเฉพาะอื่น ๆ

Department of Theology = ภาควิชาศาสนวิทยา / Lan Exeter = เมืองแลนเอ็กเซเตอร์ / Meditations on Life, Happiness and Prosperity = วิปัสสนาแห่งชีวิต, ความสุขและความเจริญ / Philosophers’ Gate = ประตูนักปราชญ์ / Thinkers’ Park = สวนนักคิด / The Almanac = ร้านกาลานุกรม / The Cordial Hangman = เรือคอร์เดียลแฮงแมน

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.