Radically Liberal Arts (Part 3: Chapter 7-9)
📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3 | อ่าน Part 2: บทที่ 4-6
บทที่ 7
บ้านหลังนี้ดูไม่มีอะไรเป็นที่สะดุดตาเลยเมื่อแรกเห็น
หลังคาลาดเอียงมุงกระเบื้องสีแดง ซุ้มด้านหน้ามีรอยกะเทาะอันเกิดจากสิ่วของช่างก่ออิฐ ดีคสตราเคยเล่าให้แดนดีไลออนฟังว่า บ้านหลังนี้เคยเป็นของคหบดีคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับราชสำนัก เขาสั่งให้ช่างเอาลวดลายปูนประดับออกจนหมดเมื่อมันตกมาอยู่ในมือของหน่วยสืบราชการลับแห่งเรเดเนีย เนื่องจากเจ้าของบ้านได้หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างการกวาดล้างคนทรยศหลังจากกษัตริย์วิซิเมียร์ถูกลอบปลงพระชนม์ ตั้งแต่นั้นมาดีคสตราก็จะใช้บ้านหลังนี้เป็นที่กบดานทุกครั้งเมื่อต้องแฝงตัวเข้ามาในเมืองอ็อกเซนเฟิร์ต
แดนดีไลออนเดินเข้าไปในสวนผ่านประตูเหล็กขึ้นสนิม ใช้มือแหวกเถาวัชพืชไปให้พ้นทาง กว่าจะรู้ว่ามีต้นตำแยซ่อนอยู่ในนั้นก็สายไปเสียแล้ว
เขาปาดน้ำตาด้วยนิ้วบวมแดง กลิ่นของดอกไม้ป่าพรั่งพรูเข้ามาในจมูก
‘เข้ามาสิ’
ดีคสตรายืนอยู่กลางช่องประตู ในมือยังคงถือมีด ใต้พุงของสายลับผูกผ้ากันเปื้อนผืนจิ๋วที่ดูเล็กเกินไปสำหรับเขา
หม้ออาหารส่งเสียงเดือดปุด ๆ อยู่บนเตา เปลวไฟช่วยให้ทำให้ห้องที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเล็กน้อย นักกวีได้กลิ่นหอมชวนอร่อยของซุปใส่ผัก สายลับกลับไปนั่งหั่นหัวหอมบนโต๊ะโดยไม่ปริปากแต่อย่างใด
‘เรามีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อย’ แดนดีไลออนเอ่ยขึ้น
นักกวีไม่มีอารมณ์จะพรรณนาเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยสถานการณ์อันตึงเครียดทำให้เขาตัดเข้าประเด็นเร่งด่วนที่เพิ่งไปพบเจอมา เขาเล่าเรื่องที่อิริอานาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขโมยหนังสือ เรื่องขบวนการนักศึกษาที่มีรานัลฟ์เป็นผู้นำ รวมไปถึงเรื่องที่พวกเด็ก ๆ คิดจะวางเพลิงมหาวิทยาลัย สายลับวัยชราตั้งใจฟังนักกวีโดยไม่เอ่ยปากขัดจังหวะใด ๆ ขณะที่เขาก้มลงหั่นผักไปด้วย
ดีคสตรารับฟังรายงานอย่างผู้มีเกียรติ
‘ไสหัวไปได้แล้ว หรือจะให้ข้าหั่นเจ้าใส่ลงไปในซุปด้วย’
‘ดีคสตรา…’
‘อุตส่าห์คิดว่าเจ้าคงไม่ทำให้งานง่าย ๆ แบบนี้ฉิบหายได้’ สายลับสับเขียงแรงขึ้นไปอีก ใบมีดทิ้งรอยลึกลงไปในเนื้อไม้ใต้ชิ้นหัวหอม ‘ถ้าเป็นเมื่อก่อน ข้าคงส่งเจ้าไปที่ดราเคนบอร์ก [1] แล้ว ยัดลงถุงไปเลย’
‘เล่นวิจารณ์กันแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะ ออกแนวคุกคามเลยด้วยซ้ำ คิดดูนะ ข้าตั้งใจแก้ปัญหาของอิริอานาเหมือนเป็นปัญหาของตัวเอง แม้ว่าลูกสาวของเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับข้า แต่ข้าก็ปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นคนสำคัญในชีวิต และข้าก็ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องนาง เพื่อช่วยพานางออกไปให้พ้นเรื่องวุ่นวายพวกนั้น’
‘เรื่องไหนล่ะ?’ ดีคสตราเสียงแข็ง ‘ขออภัยหน่อยเถอะที่ต้องถาม เพราะตั้งแต่เจ้าเริ่มลงไปดูแลนาง ปัญหาก็งอกตามมาเป็นหางว่าว’
‘ยกตัวอย่างก็…เรื่องฟิสเทค ซึ่งตอนนี้มติลงโทษพักการเรียนของนางได้หายไปจากกองเอกสารแล้ว เลขาฯของท่านอธิการเป็นคนดูแลเรื่องนี้เอง เพราะข้ารับปากกับนางไว้ว่า… เอ่อ ข้าจะรับปากอะไรเอาไว้ก็ช่างมันเถอะ ประเด็นคือข้าเอาอยู่ก็แล้วกัน’
ดีคสตรามองนักกวีอย่างเคลือบแคลง
‘การสนทนาของเราเมื่อครั้งก่อนมันราบรื่นกว่านี้นะ’ เขากล่าวกับนักกวี
‘ก็เพราะเจ้าขู่ข้าซะหัวหดเลยนี่นา’
‘เพราะเจ้าเคยสงบเสงี่ยมกว่านี้ ไม่ประสาทเสียจนกระวนกระวายไปหมด ข้ายอมรับว่าข้าอาจชอบแดนดีไลออนคนที่มีหัวคิดอยู่บ้าง ปัญหาคือตอนนี้เจ้ากลับไปเป็นแดนดีไลออนคนเดิมอีกแล้ว และข้าก็ไม่ชอบขี้หน้าเจ้าแดนดีไลออนคนนี้เอาเสียเลย’
นักกวีกระแอมขึ้นมาทันที
‘ฟังนะ ดีคสตรา…’
‘งานเบเลทีนรึ?’
‘อืม’
‘รู้แล้ว ได้กลิ่นอะไรเหม็นตุ ๆ’
‘เจ้าก็รู้ดีว่ามันไม่ได้มาจากหม้อซุปใช่ไหมล่ะ? ก็พวกเขายังเด็กถึงคิดอะไรกันตื้น ๆ แบบนี้ พวกเด็กหัวร้อนที่เหลิงกับชัยชนะ ตอนเด็ก ๆ ข้าก็เคยเป็น’
สายลับมองเขาด้วยหางตา
‘“เคยเป็น”ด้วย ไม่ยักรู้มาก่อน’
‘อย่าเพิ่งมาแขวะอะไรโง่ ๆ กันตอนนี้เลย ข้อร้องล่ะ นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ พวกเขาตั้งใจจะเผามหาวิทยาลัยโดยไม่ฟังใครแล้ว และรานัลฟ์ก็…’
‘เขาเป็นคนปลุกระดม เป็นผู้ปลุกปั่นให้ต่อต้านการควบคุมของศาสนจักร’
‘เด็กนั่น!? ถ้าลองได้ยุยงแล้วล่ะก็ รับรองว่าคนอื่น ๆ จะเล่นตามบทที่เขาวางเอาไว้แน่นอน’
‘แดนดีไลออน ลองจินตนาการดูนะ ถ้าอาคารอันงดงามของมหาวิทยาลัยถูกเผาจนกลายเป็นกองไฟที่โชติช่วงที่สุดในคืนเดือนพฤษภา ใครจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้?’
แดนดีไลออนนั่งลง
‘ท่านสังฆาธิการ…’ เขาตอบเบา ๆ ‘มหาวิทยาลัยไม่ใช่เขตแดนที่พวกเขาจะแบ่งออกมาได้ ถ้าอยากจะควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ใหญ่โตกว่านี้’
‘ต้องเป็นเหตุจลาจลที่ไม่มีใครควบคุมได้ ต้องวุ่นวายจนทำให้ราโดวิดมอบหมายให้ใครบางคนเข้ามาเก็บกวาดเรื่องนี้ เข้าใจไหม?’
แดนดีไลออนเข้าใจกระจ่างแจ้ง
‘แล้วข้าควรทำยังไงต่อ?’
‘เจ้าก็ต้องไปหาหลักฐานมา’
นักกวีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า เขายืนขึ้นพร้อมกับเกามือที่แดงเป็นปื้น ๆ จากฤทธิ์ตำแย
‘ข้ารู้แล้วว่าจะเริ่มจากตรงไหน’
ดีคสตราทำเสียงราวกับอึดอัดใจ
‘แดนดีไลออน ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นางจะ…’
‘ไม่ ข้าเสียใจด้วย นางไม่อยากเจอหน้าเจ้าอีก’
สายลับพยักหน้า เขาปาดน้ำตาออกจากแก้มแล้วใช้มีดกวาดชิ้นหัวหอมลงไปในหม้อ
‘ข้าจะดูแลนางเอง’ แดนดีไลออนกล่าว ‘ไว้ใจได้เลย’
‘ดูแลตัวเองเถอะ พ่อคนฉลาด อย่าไปโดนต้นตำแยเข้าอีกล่ะ’
*
รถม้ากระเด้งกระดอนเมื่อผ่านหลุมบ่อ ศีรษะของแดนดีไลออนกระแทกกับไม้กระดานที่เป็นก้นหีบปลอม ๆ เขาได้ข้อสรุปแล้วว่าแผนการนี้มีอุปสรรคมากกว่าที่คิด
‘ได้โปรดช่วยพาข้าขึ้นเรือไปแบบครบสามสิบสองด้วยจะได้ไหม?’ เขากระซิบกระซาบผ่านรูข้าง ๆ หีบ
ซานเนยักไหล่
‘อภินันทนาการจากสงครามน่ะ ถนนเส้นนี้เคยเรียบกริบจนกระทั่งกองทัพอยากได้ก้อนหินนั่นแหละ อยากได้อะไรก็มาเอาไปจนหมด’
‘ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยบังคับเจ้าม้าผอมกะหร่องของเจ้าให้เดินหลบหลุมบ้างเถอะ จมูกข้ากระแทกจนเกือบจะหักแล้ว’
‘เงียบก่อน’ ไอเซนกริมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฮาฟเวการ์เอ่ยขึ้น ‘เรามาถึงแล้ว’
แดนดีไลออนหุบปากทันที เขาได้กลิ่นเฉอะแฉะของท่าเรือที่ลอยมาในอากาศ เมื่อมองลอดรูออกไปก็เห็นกะลาสีสองคนกระโดดลงมาจากเรือคอร์เดียลแฮงแมน
‘ในหีบมีอะไร?’ หนึ่งในนั้นถามขึ้น
‘หนังสือน่ะ’ ซานเนตอบ ‘มีหีบอีกใบที่หลงหูหลงตาจนไม่ได้ขนขึ้นเรือเที่ยวที่แล้ว’
‘รานัลฟ์รู้หรือเปล่า?’
‘รู้สิ’
แดนดีไลออนได้ยินเสียงเปิดฝาหีบและเสียงมือที่แหวกผ่านข้าวของอยู่ข้างบน
‘เอาเถอะ เฮ้ย… ตอริน! สวาน! มาช่วยหน่อย ต้องลากไอ้หีบนี่ขึ้นแฮงแมนว่ะ’
เขารู้สึกได้ว่าหีบขยับขึ้น ๆ ลง ๆ พร้อมกับเสียงฮึดฮัดและเสียงหอบหายใจ
‘ให้ตายเถอะยายเฒ่า! ยัดอะไรลงมาในหีบเนี่ย? ศพคนหรือไง?’
‘ก็แค่หนังสือน่ะ ความรู้ไม่หนักหัว แต่จริง ๆ มันก็หนักอยู่นะ’
*
คนพวกนี้ไม่ใช่กะลาสีทั่ว ๆ ไป แดนดีไลออนรู้ได้โดยไม่ต้องพยายามสังเกตด้วยซ้ำ เมื่อหีบถูกขนลงมาใต้ดาดฟ้าเรือ เขาก็ได้ยินเสียงพวกนั้นคุยกัน หลังจากซึมซับศัพท์แสงทางการทหารมาหลายปี แดนดีไลออนก็แทบเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้
เห็นได้ชัดว่าชายพวกนั้นต้องออกแรงขนานใหญ่เพื่อดันหีบสัมภาระผ่านเสากระโดงเรือ
‘น่าจะเป็นหีบสุดท้ายแล้วล่ะ’ หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น
‘แล้วทำไมยังไม่ออกเรือสักที?’ ชายอีกคนตั้งคำถาม แดนดีไลออนจับสำเนียงชาวเหนือในน้ำเสียงของเขาได้ ฟังดูคล้ายกับชาวเครย์เดน [2]
‘จะรีบกลับไปหาแม่ยอดยาหยีของเจ้าหรือไง? เมอร์กา’
‘แล้วเจ้าไม่อยากจะรีบกลับบ้านรึ? เราได้แต่นั่งอยู่บนเรือนี่ไม่ต่างอะไรกับกุ้งที่ถูกจับใส่ถัง กองเรือเรเดเนียก็อยู่ห่างออกไปแค่สามลำเรือ หีบสินค้าที่เจ้าชายจะให้ขนขึ้นเรือก็อยู่ในมือเราแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่ายังต้องรออะไรอีก’
‘คำสั่งบอกให้รอจนถึงงานเบเลทีน เราก็ต้องรอ อะไรที่ควรเผาก็จะต้องถูกเผา ถ้าเด็กนั่นส่งสัญญาณมาเมื่อไร เราก็จะไปทันที’
แดนดีไลออนกลืนน้ำลายและสบถโดยไม่ออกเสียง หน่วยสืบราชการลับแห่งโคเวียร์ เจริญแล้วไง นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากเจอตอนนี้เลย
ในตอนแรกแผนของเขาคือการสำรวจเรือและหาหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึงศาสนจักร แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะรื้อแผนใหม่ทั้งหมด
เขายังเสียดายที่ปฏิเสธข้อเสนอของไอเซนกริมที่อาสาจะเข้ามาอยู่ในหีบแทนเขา เคราะห์ดีที่เอลฟ์ให้สัญญาเอาไว้ว่าจะตามมาช่วยเหลือหากแดนดีไลออนไม่สามารถกลับไปจากเรือคอร์เดียลแฮงแมนได้ก่อนเที่ยงคืน ดังนั้นนักกวีจึงเลือกที่จะปักหลักรอ
เสียงเอะอะดังขึ้นมาขัดจังหวะห้วงความคิดของเขา ใครบางคนเดินลงมายังห้องเก็บสัมภาระใต้ดาดฟ้าเรือ
‘อธิบายมาเลยว่าขนหีบใบนี้ขึ้นเรือมาทำไม?’
‘ยายแก่ฮาฟเวการ์ขนมาให้เราน่ะ กัปตัน เป็นพวกหนังสือที่เหลืออยู่นั่นแหละ’
‘เจ้าบอกว่ามันเป็นหีบหนังสืออย่างนั้นรึ? ตรวจดูข้างในหรือยัง?’
‘เราเปิดดูแล้ว’
เสียงฝีเท้าบนเรือดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
‘ข้าเคยเห็นหีบแบบนี้มาแล้ว ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมกับกองกำลังอิสระของอาดูว์ [3] ข้าก็เคยมีอยู่ใบหนึ่ง มันเป็นหีบสารพัดประโยชน์เลยล่ะ มีก้นหีบปลอมแต่ก็มีรูด้านข้างเอาไว้เปิดเข้าไปเอาของเถื่อนที่อยู่ข้างล่างโดยไม่ต้องยกของถูกกฎหมายที่อยู่ด้านบนออกจากหีบก่อน สิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่กดตรงนี้’
ช่องลับใต้หีบถูกเปิดออก แดนดีไลออนเห็นรองเท้าหลายคู่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับสายตาอีกมากมายที่จ้องกลับมา
กะลาสีคนหนึ่งฉีกยิ้มกว้าง เขาคือคนที่คุยกับซานเนก่อนหน้านี้
‘มีอะไรอยู่ในหีบอีกล่ะเนี่ย? ตอนอยู่ที่ท่าเรือข้าก็บอกแล้วว่ายายแก่นั่นยัดศพเอาไว้ในนี้ด้วย เห็นไหมล่ะ ข้าก็ไม่ได้พูดผิดไปนักหรอก’
หมายเหตุ:
[1] ดราเคนบอร์ก (Drakenborg) เป็นป้อมปราการในเรเดเนียที่ต่อมาถูกเปลี่ยนสภาพเป็นค่ายกักกัน มีห้องทรมานที่เรียกว่า “ห้องซักผ้า” หากนักโทษคนใดถูกส่งไปยังห้องนี้ก็จะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
[2] เครย์เดน (Creyden) อาณาจักรเล็ก ๆ ทางตะวันออกของอาณาจักรโคเวียร์ มีสถานะเป็นรัฐประเทศราชของโคเวียร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 นอกจากนี้ยังเป็นบ้านเกิดขององค์หญิงเรนฟรีอีกด้วย
[3] กองกำลังอิสระของอาดูว์ (Adieu’s Free Company) เป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่ได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรโคเวียร์ หัวหน้ากลุ่มคือ อดัม แพนแกรต (Adam Pangratt) หรือ “อาดูว์” พวกเขาถูกส่งไปช่วยแดนเหนือในสงครามแดนเหนือครั้งที่ 2
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
บทที่ 8
พันธนาการกดรัดข้อมือของเขา วีรกรรมการแทรกซึมขึ้นไปบนเรือสัญชาติโคเวียร์กลายเป็นแผนที่ดูโง่ขึ้นมาทันที แม้แต่ถุงกระสอบก็สามารถเปลี่ยนมุมมองของคนได้เมื่อมันคลุมอยู่บนหัวเรา แดนดีไลออนคิดในใจ เขาตั้งใจฟังเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัว เสียงพูดคุยแว่ว ๆ ตามมาด้วยเสียงขั้นบันไดลั่นเอี๊ยดอ๊าดและเสียงฝีเท้าใต้ดาดฟ้าเรือ ปิดท้ายด้วยเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
‘แล้วข้าควรจะทำยังไงกับท่านดีล่ะ? ศาสตราจารย์’
ความกังวลในน้ำเสียงของรานัลฟ์ฟังดูจริงใจจนทำให้แดนดีไลออนรู้สึกประทับใจขึ้นมาวูบหนึ่งเลยทีเดียว เด็กคนนี้ช่างมีพรสวรรค์นัก
‘แก้มัดให้ข้าก่อนสิ’
‘ไม่ได้หรอก นี่…ท่านไวเคานท์ ข้าเกือบจะเชื่อแล้วว่าท่านเป็นแค่ศิลปินตกยุคที่เฝ้ามองหาตำแหน่งงานดี ๆ ในมหาวิทยาลัย แต่ไม่นานท่านก็เผยตัวและยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเรา รู้ไหมว่าข้าประหลาดใจแค่ไหนตอนที่ได้เอกสารข้อมูลของท่าน สายลับของหน่วยสืบราชการลับแห่งเรเดเนีย ตัวแทนของซิกิสมุนด์ ดีคสตรา’
‘แค่สายข่าวน่ะ แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ผ่านมาตั้งนานแล้วด้วย’
‘ถ่อมตัวเหลือเกินนะ ข้าไม่มีเวลาจะต้อนรับขับสู้ท่านอย่างสมเกียรติ แต่เพื่อน ๆ ของข้าที่แลนเอ็กเซเตอร์คงอยากเจอหน้าท่านจนใจแทบขาดอย่างแน่นอน พวกเขาจะถามอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เกี่ยวกับชีวิตและหน้าที่การงานของท่าน แล้วก็เรื่องอื่น ๆ ด้วย’
แดนดีไลออนไม่อยากให้เจ้าหนุ่มโคเวียร์ล่วงรู้ข้อมูลที่แท้จริง อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังมีสถานะเป็นเชลยคนสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เขาอยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้ ตรงกันข้ามเขายังพยายามจะล้วงข้อมูลจากเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ด้วย
‘เฮ้อ… เจ้าน่ะโสมมเหลือเกินนะรานัลฟ์ ข้าคิดว่าเจ้าจะใช้วิธีอื่น แต่เจ้าดันไปนอนกับท่านสังฆาธิการเนี่ยนะ?’
‘จับแพะชนแกะไปกันใหญ่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่ศาสนจักรเข้ามาควบคุมมหาวิทยาลัยแห่งอ็อกเซนเฟิร์ต เกียรติภูมิของสถาบันการศึกษาก็จะสูญสิ้นไป หลังจากนั้นตะเกียงทุกดวงจากทั่วทั้งมหาทวีปก็จะมุ่งหน้าไปยังโคเวียร์ วิทยาลัยแห่งแลนเอ็กเซเตอร์เจริญขึ้นด้วยพระเมตตาและพระราชูปถัมป์จากองค์ราชาของเรา… ราชาแทงเครด ธีสเซน ขอให้พระองค์มีพระชนมชีพยั่งยืนไปชั่วกาลนาน’
‘แทงเครดคงจะภูมิใจในตัวเจ้าน่าดู ราชาทุกพระองค์ล้วนอยากมีขี้ข้าแบบนี้’
‘ได้โปรดอย่าตั้งแง่กันเป็นการส่วนตัวเลย มันเป็นเรื่องของประเทศชาติ’
‘โอ้ ช่างเป็นคนดีซะเหลือเกิน! ระวังอย่าขี้รดกางเกงตัวเองล่ะ แล้วทำไมเจ้าถึงมาที่นี่? อยากจะดูความวินาศให้มันสาแก่ใจหรือไง?’
รานัลฟ์หัวเราคิกคักเหมือนเด็ก ๆ ที่ถูกจับได้ว่ากำลังแกล้งเล่นอะไรโง่ ๆ
‘ก็นิดหน่อย หลงไปไกลเลยนะท่านศาสตราจารย์ แต่รู้เอาไว้เถอะว่าบันทึกของจอมเวทแรดคลิฟฟ์ยังปลอดภัยดี มันจะไม่ถูกเผาทิ้งอย่างที่ท่านสังฆาธิการอยากทำ ในโคเวียร์นั้นเราเคารพวิชาความรู้เป็นอย่างมาก’
‘บันทึกอะไร?’
รานัลฟ์ถอนหายใจ
‘เอาอีกแล้ว ท่านจะแกล้งโง่แบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ ในเวลาไล่เลี่ยกันท่านต้องลองเล่นบทอื่นดูบ้าง’
เสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป ขั้นบันไดส่งเสียงจากน้ำหนักตัวของรานัลฟ์
‘เดินทางให้สนุกนะ ท่านศาสตราจารย์ พยายามทำตัวดี ๆ เข้าไว้ล่ะ กัปตันของเรือแฮงแมนน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นนักล่าโจรสลัดจอมฉาวเสียด้วย เขาไม่ใจดีกับนักโทษที่ทำตัวไม่น่ารักหรอกนะ’
*
‘หักขวาสามสิบห้าองศา! เราจะล่องไปตามแควเหนือ’
เสียงกัปตันสั่งการตามมาด้วยเสียงฝีเท้ามากมายบนดาดฟ้าเรือ ระลอกคลื่นโยนให้เรือโคลงเคลง และภายในถุงกระสอบมีกลิ่นของหัวบีทเก่าเก็บ
‘ไอ้หนู… โยนเชือกวัดระดับน้ำแล้วจับตาดูความลึกไว้ให้ดี อย่าเผลองีบหลับเป็นอันขาด! ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำพอนทาร์มันไม่ธรรมดา โดยเฉพาะตรงปากอ่าว!’
แดนดีไลออนไม่รู้เวลาอีกต่อไป เมืองอ็อกเซนเฟิร์ตหายลับไปข้างหลัง และค่ำคืนแห่งเทศกาลเบเลทีนก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาได้แต่กำหมัดที่ถูกเชือกรัดจนชาไปหมด
‘ข้างหน้าน้ำตื้น! เลาะเข้าคุ้งน้ำฝั่งขวา!’
เรือเปลี่ยนทิศทางกระทันหัน ท้องไส้ของแดนดีไลออนพลิกตลบไม่ต่างจากคลื่นที่ซัดเข้าทางด้านข้างของลำเรือ
‘ประคองไว้! แล่นไปตามร่องน้ำ! นิ่ง ๆ เข้าไว้!’
เรือชนอะไรบางอย่างเข้าอย่างจังจนไม้กระดานส่งเสียงแตกโครม แรงกระแทกทำให้แดนดีไลออนกระเด็นออกจากถังไม้ที่เขาใช้ต่างเก้าอี้ นักกวีร้องครวญครางขณะกลิ้งไปตามท้องเรือและเริ่มดีดดิ้นราวกับปลาที่ติดอยู่บนพื้นดินแห้ง ๆ พยายามทุกวิถีทางเพื่อสลัดถุงกระสอบออกไปจากหัว
‘กัปตัน! เราชนหิน!’
‘มันจะมีหินอะไรได้วะ? เราอยู่ตรงชายเลนนะโว้ย!’
เรือคอร์เดียลแฮงแมนค่อย ๆ เสียความเร็วและลอยเท้งเต้งขวางแม่น้ำพอนทาร์ แดนดีไลออนรู้สึกเปียกที่แก้ม ถุงกระสอบชุ่มโชกไปด้วยน้ำ เมื่อนักกวีพลิกตัวเอาหลังลง เขาก็ได้ยินเสียงน้ำกระฉอก น้ำท่วมเข้ามาในเรือแล้ว ลางสังหรณ์ถึงเหตุร้ายไต่ยุบยิบขึ้นมาตามสันหลัง
‘เฮ้!’ เขาตะโกนลั่น ‘พาข้าออกไปก่อน! เรือกำลังจะจมแล้ว!’
แต่พวกลูกเรือต่างก็มีปัญหาของตัวเอง เสียงของความชุลมุนวุ่นวายทะลุลงมาจากดาดฟ้าเรือ
‘จะชนเรือลำเลียงแล้ว! หาที่เกาะด่วน!’
ขั้นบันไดส่งเสียงอีกครั้ง ย่างก้าวที่มั่นคงย่ำลงไปในน้ำที่ท่วมถึงข้อเท้า ตรงดิ่งเข้ามาหานักกวี ‘ขอโทษด้วย แดนดีไลออน’ เขาได้ยินเสียงกระซิบบอก
วัตถุแข็ง ๆ บางอย่างกระแทกเข้าที่ศีรษะของนักกวีและส่งเขาไปยังห้วงแห่งนิทรา
*
นักกวีรู้สึกตัวข้าง ๆ กองไฟที่มีโทรลหินในกองสาหร่ายนั่งอยู่ด้วย มันนั่งกอดเข่าเจ่าจุกและดูท่าทางขุ่นเคือง เหล่าจักจั่นส่งเสียงอื้ออึงท่ามกลางทิวต้นกก พวกกะลาสีพากันตะโกนโหวกเหวกอยู่ไกล ๆ
‘อรุณสวัสดิ์’ แดนดีไลออนเอ่ยขึ้น เขานึกหาคำอื่นที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
‘รุณหวัด’ เจ้าโทรลตอบด้วยเสียงดังกึกก้อง
‘ข้าปวดหัวจะตายอยู่แล้ว’
‘บาร์ทก็ปวด’ โทรลหินบ่นขึ้นมาบ้าง ‘เขาบอกบาร์ท… ให้ลงน้ำ… บาร์ทรอนานมาก แล้วก็ตู้ม!’
‘ตู้ม?’
‘เรือตีหัวบาร์ท’
‘เสียใจด้วยนะ’
‘บาร์ทก็เสียใจ’
แดนดีไลออนแหวกกอต้นกกออก เขาหวังว่าจะมีใครสักคนที่สามารถอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ได้
แสงอาทิตย์อัสดงทำให้แม่น้ำดูราวกับว่ามีใครทำสีเหลืองหกลงไปในน้ำ เรือคอร์เดียลแฮงแมนเอียงกะเท่เร่ครึ่งจมครึ่งเกยตื้น ใบเรือทิ้งตัวหย่อนลงมาจากเสากระโดง เหล่ากะลาสีโคเวียร์กำลังเก็บกู้สินค้าและขนขึ้นฝั่งด้วยเรือแจว ลูกเรือส่วนหนึ่งจากเรือลำเลียงทิ้งสมอลงกลางแม่น้ำพอนทาร์และลงมาช่วยอีกแรง แดนดีไลออนจำเรือลำนั้นได้ทันทีที่เห็น
‘นั่นมันเรือเมอร์รีวิโดว์นี่นา’
มันดูไม่มีเหตุผลเลย เขาจึงปล่อยกอกกให้กลับมาตั้งตรงและบดบังทิวทัศน์ของแม่น้ำไว้ดังเดิม เขาหันกลับไปทันทีที่ได้ยินเสียงม้า ไอเซนกริมถือสายบังเหียนจูงม้าสองตัวเดินตรงเข้ามายังกองไฟ
‘เจ้าตีหัวข้าใช่ไหม? เจ้ากระรอกแทะลูกสน’
‘ข้าไม่อยากเสี่ยงให้เจ้าดิ้นรนเอาตัวรอดจากกลางแม่น้ำไปเอง’
‘ข้าว่ายน้ำเป็นโว้ย!’
‘ตอนนั้นข้าไม่มีเวลา และตอนนี้เราก็เสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว ขึ้นม้าเถอะ’
‘แต่ว่าเจ้า—’
‘เราจัดฉากอุบัติเหตุกลางแม่น้ำขึ้นมา’
‘แล้วเจ้าโทรลนั่น?’
‘ซิกิเล่นไพ่ชนะพ่อค้าอูฐก็เลยได้มันมา มันชื่อว่าบาร์ท’
‘ซิกิเก่ง’ บาร์ทเสริม
ไอเซนกริมช่วยพยุงแดนดีไลออนขึ้นม้า ‘ไปจากที่นี่กันเถอะ ก่อนจะมีใครจำเจ้าได้’
‘แล้วเจ้าบาร์ทล่ะ? มันจะไม่ถูกคนพวกนั้นทำร้ายเอารึ?’
‘มันไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวมันก็เดินไปตามแม่น้ำกลับไปหาซิกิเอง มาเถอะ ไปกันได้แล้ว! ซานเนกำลังรอเราอยู่ตรงจุดกบดาน’
‘ไม่หรอก เราจะไปอ็อกเซนเฟิร์ต’
‘บ้าไปแล้ว เจ้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้วนะ’
‘ข้าบอกว่าจะไปเมืองอ็อกเซนเฟิร์ต!’ ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวปรากฏชัดในเสียงตะโกนของเขา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติของแดนดีไลออน
พวกเขาควบม้าไปตามตลิ่งเฉอะแฉะตลอดริมฝั่งแม่น้ำ จนกระทั่งกีบเท้าม้ากระทบกับถนนหินที่ทอดยาวไปสู่ตัวเมืองอ็อกเซนเฟิร์ต ทั้งสองพุ่งทะยานผ่านนักเดินทางคนอื่น ๆ ที่สบถไล่หลังในความเร่งรีบของพวกเขา ประหนึ่งว่าจะแข่งขันกับดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลาลับเส้นขอบฟ้า ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงเมืองที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง
เสียงลั่นระฆังทักทายพวกเขา ณ ประตูเมือง มันเป็นเสียงระฆังฉลองฤดูใบไม้ผลิ? หรือเป็นสัญญาณเตือนภัยกันแน่?
เมื่อเข้ามาในกำแพงเมือง พวกเขาก็ติดอยู่ท่ามกลางขบวนแห่ของพวกนักศึกษาขี้เมาที่แบกโคมไฟประดับเทศกาล ม้าทั้งสองตัวสะบัดหัวเมื่อพวกมันได้ยินเสียงพลุระเบิดกลางอากาศ นักกวีเพ่งมองไปทางมหาวิทยาลัยและสังเกตเห็นว่ามีแสงสว่างเรืองรองขึ้นเหนือหมู่อาคาร ไฟไหม้? หรือมันจะเป็นแค่กองไฟฉลองเทศกาล?
‘จับสายบังเหียนไว้! ข้าวิ่งไปที่นั่นจะเร็วกว่า’ แดนดีไลออนตะโกนพร้อมกับกระโดดลงจากหลังม้า เขามุดลอดใต้เกวียนบรรทุกถังเบียร์และตัดทะลุโรงเหล้าที่คลาคล่ำไปด้วยฝูงชน แทรกตัวเข้าไปจนถึงหลังร้านและออกมาทางประตูห้องครัวสู่ถนนข้าง ๆ จากจุดนั้นอีกไม่ไกลก็จะถึงกำแพงชั้นในที่ล้อมรอบมหาวิทยาลัยเอาไว้ เขาถกเถาไอวี่ที่บดบังรูบนกำแพงแล้วคลานเข้าไปโผล่ตรงด้านหลังโรงเก็บศพ จากนั้นจึงวิ่งสุดฝีเท้าไปตามทางเดินโรยกรวดที่มุ่งหน้าไปยังภาควิชาศาสนวิทยา
อาคารถูกเปลวไฟลุกท่วม กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากบานหน้าต่าง พวกนักวิชาการไม่มีอารมณ์จะเฉลิมฉลองเทศกาลแล้ว ต่างคนต่างวิ่งพล่านและพยายามจัดหาคนมาช่วยกันดับเพลิงอย่างจนตรอก
ด้วยร่างกายที่บอบช้ำ ผนวกกับความเหนื่อยล้าและความสิ้นหวัง แดนดีไลออนทรุดร่างลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าทางเข้าหลักของอาคาร
เขามาช้าเกินไป ทุกสิ่งล้วนเปล่าประโยชน์ รานัลฟ์ชิงลงมือไปแล้ว
นักกวีนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนั้น เหม่อมองเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงจนกระทั่งเขารู้สึกว่ามีมือหนัก ๆ ที่สวมเกราะยื่นเข้ามาจับไหล่ กลางแผ่นเกราะบนอกของนายทหารประดับด้วยตราพญาอินทรีแห่งเรเดเนีย
‘เจ้าจงมากับเรา’
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
บทที่ 9
พวกทหารคุมตัวแดนดีไลออนไปยังห้องคัดตำราและผลักเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ อิริอานา ดูเหมือนว่านางจะถูกจับมาที่นี่ได้สักพักแล้ว นักศึกษาหญิงหันมามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เปลวไฟโหมกระพืออย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านนอก ท่านสังฆาธิการผู้ตรวจเนื้อหายืนหันหลังให้พวกเขา สายตาจับจ้องไปที่กองเพลิง มือทั้งสองข้างไขว้ประสานกันอยู่ด้านหลัง
‘ข้าคิดว่าตัวข้าคือผู้แสวงหาความจริง ข้าเชื่อว่าความจริงจะช่วยให้ข้าสยบศัตรูทั้งหลายของอัคคีนิรันดร์ลงได้’
คำพูดของเขาก้องกังวานอย่างประหลาด ผนังห้องทุกด้านว่างเปล่าลงหลังจากมีการขนย้ายหนังสือออกไป
‘ขโมยตำราของหอสมุด วางเพลิงในรั้วมหาวิทยาลัย ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าอะไรผลักดันพวกเจ้าให้กระทำการต่อต้านมหาวิทยาลัยเช่นนี้’
บนโต๊ะมีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งถูกเปิดค้างไว้ ภาพลึงค์ที่อิริอานาวาดขึ้นเด่นหราอยู่บนหน้ากระดาษ ด้านนอกหอสมุดพวกภารโรงกำลังช่วยกันขนถังน้ำตรงไปยังอาคารภาควิชาศาสนวิทยา แล้วเร่งมือโยกคันโยกสูบน้ำขึ้นมาจากบ่อบาดาล
สถานการณ์ข้างนอกทำให้แดนดีไลออนกระวนกระวาย เขายกกำปั้นขึ้นมากระแอมใส่
‘บางทีเราควรจะ… ไปสอบปากคำกันที่อื่นดีกว่าไหม?’
‘แต่ข้าคิดว่าเราควรคุยกันที่นี่แหละ ไม่มีที่ไหนจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว’
ความมั่นใจของอิริอานากลับคืนมาแล้ว
‘สังฆาธิการ กล้าดียังไงถึงมากล่าวหาว่าพวกเราต่อต้านมหาวิทยาลัย เราปกป้องมันต่างหาก! จากพวกคลั่งศาสนาแบบท่าน’
นักบวชผงกศีรษะ
‘ปัญหาของการใช้อำนาจเป็นเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่ สำหรับคนที่มีค้อนอยู่ในมือ เขาจะเห็นปัญหาทุกอย่างเป็นตะปูและไล่ตอกมัน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องพยายามหักห้ามใจที่จะไม่ใช้ค้อนนั้น แต่คำอุปมานี้ก็ยังมองได้อีกด้าน ซึ่งคนทั่วไปมักจะคิดไม่ถึง สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับตะปู ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือชิ้นไหนก็ล้วนดูเหมือนกับค้อนไปซะหมด’
‘ท่านน่ะเป็นหมาป่าในคราบแกะชัด ๆ’ อิริอานาขู่ฟ่อ ‘แล้วรายชื่อหนังสือต้องห้ามพวกนั้นล่ะ? หนังสือเป็นตั้ง ๆ ที่จะถูกเอาไปเผาทิ้งล่ะ… คืออะไร? ไหนจะเรื่องที่พวกท่านทำให้ท่านนิโคเดมัส เดอ บูท กลายเป็นพวกนอกรีตหมิ่นศาสนาอีก’
‘ก่อนที่ข้าจะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับปัญหาไร้สาระที่พวกเจ้าก่อขึ้น ข้ามาที่นี่เพื่อทำงานเพียงอย่างเดียว… แค่อย่างเดียวเท่านั้น หนังสือที่ท่านไฮร์อาร์คมอบหมายให้ข้ารวบรวมรายชื่อเพื่อเอาไปทำลายนั้นเป็นตำราไสยเวทศาสตร์มืด ถ้าจะระบุให้ชัดก็คือสมุดบันทึกของธีโอดอร์ แรดคลิฟฟ์’
‘ไม่จริงเลย’ แดนดีไลออนแย้ง ‘ข้าเห็นพวกท่านขนหนังสือไปจากทุกหมวด ทั้งบทกวี ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เอาไปแม้กระทั่งหนังสือของท่านเดอบูท!’ นักกวีชะงักกึก จู่ ๆ ก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้งเพราะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ รานัลฟ์เคยบอกเอาไว้ว่าบันทึกของจอมเวทแรดคลิฟฟ์อยู่บนเรือคอร์เดียลแฮงแมนแล้ว
สังฆาธิการเงียบไปนานมาก
‘หากพวกเจ้ายังไม่รู้ตัวว่ากำลังเข้าไปยุ่งกับเรื่องอะไร มันก็มีแต่จะแย่ลงไปกว่านี้ ไม่เพียงจะถูกใช้เป็นเป็นตัวเบี้ยบนกระดานแต่พวกเจ้าก็โดนหลอกไปด้วย ธีโอดอร์ แรดคลิฟฟ์ทำการทดลองค้นคว้าในอ็อกเซนเฟิร์ตมานานกว่าสองทศวรรษและทิ้งมรดกชิ้นโตเอาไว้ที่นี่ ก่อนที่เขาจะออกจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไป เขาได้อำพรางบันทึกต่าง ๆ เอาไว้เพื่อไม่ให้มันตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว’
‘อำพรางรึ? หมายความว่ายังไง?’
‘นักศึกษาหญิงทรอฟฟ์เก้น่าจะอธิบายเรื่องนี้ได้ดีกว่าข้า นางเคยเป็นผู้ช่วยของแรดคลิฟฟ์มาก่อน เราเพิ่งคุยเรื่องนี้กันก่อนที่ท่านจะถูกพาตัวมาที่นี่น่ะศาสตราจารย์ อิริอานา…ได้โปรดเมตตาเปิดเผยเรื่องนั้นเพื่อชี้ทางสว่างให้ท่านศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูว์ฟด้วย’
‘ท่านแรดคลิฟฟ์มีความเชี่ยวชาญด้านลิขิตเวท เพื่อปกปิดหรือทำให้ตัวหนังสือกลายเป็นรหัสลับ เขาสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบอักษรบนหน้ากระดาษได้ ตอนที่โรคแคทริโอนากำลังระบาด ทหารยามปฏิเสธไม่ให้พวกเราเข้าไปในในเมืองโนวิกราด แล้วจู่ ๆ ท่านแรดคลิฟฟ์ก็หยิบหนังสือผ่านแดนที่มีลายพระหัตถ์ของกษัตริย์ราโดวิดออกมาโบกให้พวกทหารดู ข้าเลยถามเขาไปว่า “ท่านไปเอาใบผ่านแดนมาจากไหน?” เขาเลยหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาให้ข้าดู มันเป็นแค่จดหมายจากธนาคารวิวาลดิเท่านั้น แล้วยังพูดติดตลกอีกว่า “สงสัยว่าองค์กษัตริย์คงลงลายพระหัตถ์บนเอกสารทุกอย่างที่พวกเขาเอามาถวายให้”’
แต่สังฆาธิการไม่ตลกด้วย
‘ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมการกักกันโรคจึงไม่ได้ผล ได้โปรดเข้าเรื่องสักทีเถอะ’
‘ข้าก็ไม่เคยค้นหาข้อความที่ถูกซ่อนเอาไว้ในหนังสือพวกนั้นหรอกนะ’ อิริอานาถอนหายใจ ‘แต่ข้าน่ะคุ้นเคยกับบุคลิกและอารมณ์ขันของท่านแรดคลิฟฟ์ดี เขามักจะซ่อนความลับไว้ในที่แจ้ง’
‘ข้าใช้เวลานานถึงสามเดือนเพื่อตรวจดูหนังสือในแต่ละหมวดเพื่อร่อนแกลบออกไปจากเมล็ดข้าว’ สังฆาธิการโน้มตัวเข้าหาโต๊ะและกำหมัดลงบนแผ่นไม้จนข้อนิ้วซีดขาว ‘ปรัชญารึ? อยากอ่านก็เชิญเลย ดาราศาสตร์ล่ะ? เยี่ยม! ปล่อยให้พวกขี้สงสัยก้มหน้าก้มตาอ่านการสร้างจักรวาลอันน่าอัศจรรย์ของพระผู้เป็นเจ้าต่อไป นิยายชิงรักหักสวาท? หนังสือพวกนี้ไม่มีพิษภัยต่อศาสนจักรหรอก หนังสือประวัติศาสตร์ล่ะ? ใคร ๆ ก็สามารถเรียนรู้จากมันได้ แต่กับเรื่องเวทมนตร์… เวทมนตร์น่ะไม่เหมือนกับศาสตร์พวกนี้เลย ตำราที่พวกเจ้าขโมยไปจะสร้างหายนะอย่างใหญ่หลวงหากมันตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว ข้าถึงอยากรู้ว่าพวกเจ้าเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหน’
‘กำลังเดินทางไปโคเวียร์แล้วล่ะ’ แดนดีไลออนโพล่งออกมา ‘พวกเราโดนต้มจนเปื่อยกันหมด รวมถึงท่านด้วย ท่านสังฆาธิการ แล้วท่านก็ช่วยให้เจ้าหนุ่มสายลับโคเวียร์นั่นทำงานสำเร็จด้วย เขาถูกมอบหมายให้มาตามหาบันทึกพวกนั้น ส่วนพวกเราก็ถูกหลอกให้ช่วยขนย้ายหนังสือขึ้นเรือ’
‘พูดอะไรของท่าน?’ อิริอานาถามด้วยความสับสน
‘ก็เจ้ารานัลฟ์นั่นแหละ! เจ้าเด็กอวดดีผีเปรตนั่นมันสารภาพให้ข้าฟังหมดแล้ว! ไม่แปลกใจเลยล่ะ ตอนนี้พวกเราทำห่าเหวอะไรไม่ได้สักอย่าง เจ้านั่นเป็นคนปลุกปั่นให้พวกนักศึกษาลุกขึ้นมาต่อต้านนักบวช แล้วตอนนี้ก็ฉกเอาตำราเวทมนตร์ไปจากใต้จมูกของพวกเรา ตอนแรกข้าก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมเขาต้องเอ่ยถึงจอมเวทแรดคลิฟฟ์ด้วย แต่ภายใต้แสงสว่างจากข้อมูลของท่านสังฆาธิการ ทุกอย่างมันก็ประจวบเหมาะกันพอดี’
สังฆาธิการมีท่าทางผ่อนลง เขาเอามือออกจากโต๊ะและลูบเสื้อคลุมตัวนอกให้เรียบร้อย
‘บางทีมันอาจจะดีแล้วก็ได้ ถือเป็นการกำจัดทิ้งโดยส่งไปนอกราชอาณาจักร ปล่อยให้พวกที่นับถือศาสดาเลบิโอดาในเมืองแลนเอ็กเซเตอร์หาทางรับมือกับเวทมนตร์ชั่วร้ายกันเอาเอง เจ้าเด็กรานัลฟ์นั่น… จะว่าไปก็ตลกดีนะ’
‘ข้าไม่เข้าใจประโยคสุดท้าย’ อิริอานาเริ่มหงุดหงิด
สังฆาธิการดึงม้วนจดหมายออกมาจากกระบอกที่มีรอยไขผนึก เขาคลี่มันออกแล้วอ่านแบบเสียงดังฟังชัด
‘ในฐานะของนักศึกษาต่างแดนและแขกของราชอาณาจักรเรเดเนีย ข้าได้เริ่มศึกษาหาความรู้และเข้าร่วมกับองค์กรนักศึกษาเพื่อทำความรู้จักสหายใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้พบความจริงที่ว่า สมาชิกขององค์กรนักศึกษานั้นได้ถูกศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูว์ฟชี้นำไปในทางที่ผิด แนวคิดที่ก้าวร้าวและบ่อนทำลายการอุปถัมป์จากศาสนจักรอัคคีนิรันดร์ของเขาเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ศาสตราจารย์ผู้นี้ได้ใช้ชื่อเสียงและพรสวรรค์อันทรงเสน่ห์ยุยงให้พวกนักศึกษาใช้ความรุนแรง—’
‘พรสวรรค์อันทรงเสน่ห์’ แดนดีไลออนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘—และปลุกเร้าให้พวกเขาทำลายอาคารสถานที่ในมหาวิทยาลัย โดยร่วมมือกับอิริอานา แวน ทรอฟฟ์เก้ วางแผนและลงมือขโมยหนังสือไปจากหอสมุด และทำการผลิตสารเสพติดที่เป็นพิษและผิดกฎหมายในห้องทดลองของมหาวิทยาลัยเพื่อหาเงินมาปรนเปรอความโลภของตนเอง ด้วยความกังวลและเป็นห่วงอนาคตของสถานศึกษาอันเป็นที่รัก ข้าจึงเขียนจดหมายนี้มาเพื่อเปิดโปงผู้ก่อวินาศกรรมและแผนวางเพลิงภาควิชาศาสนวิทยาอันทรงเกียรติ แผนโจมตีจะเริ่มต้นในคืนนี้และข้าหวังว่าองค์เหนือหัวของท่านจะป้องกันเหตุร้ายนี้ได้ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ข้าได้แนบรายชื่อของผู้สมรู้ร่วมคิดในการก่อเหตุอันน่าประณามอย่างถึงที่สุดนี้มาให้ท่านด้วย ด้วยความเคารพอย่างสูง รานัลฟ์ เฮอร์แมน รูลวาลด์’
‘ไอ้ลูกหมาสารเลว! ข้าจะฉีกมันให้เป็นชิ้น ๆ !’
‘จดหมายกล่าวโทษอย่างสุภาพฉบับนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องมาคุยกันที่นี่ในตอนนี้’
‘ท่านคงไม่ได้หลงเชื่อคำกล่าวหาบ้าบอนี้ใช่ไหม?’
‘ข้าไม่ปล่อยให้คนอื่นมาจูงจมูกหรอก แต่พวกเจ้าก็ต้องรับผลของการก่อเหตุในคืนนี้ด้วย พวกคนใหญ่คนโตก็อยากเห็นข้าจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เพื่อรักษากฎระเบียบของมหาวิทยาลัยและลงโทษคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย’
‘แต่ท่านบอกว่าตัวเองเป็นผู้แสวงหาความจริงนะ! แล้วตอนนี้กลับเบือนหน้าหนีไปจากมันเพื่อเอาใจพวกคนใหญ่คนโตแทน’
‘ข้าไม่มีทางเลือก และพวกเจ้าก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทฤษฎีที่เจ้าอ้างว่าได้เข้าไปขัดขวางปฏิบัติการของหน่วยสืบราชการลับแห่งโคเวียร์ อีกสองวันนับจากนี้เราจะมีการจัดประชุมใหญ่ที่ห้องโถงหลักของมหาวิทยาลัย จากนั้นจะมีการประกาศยกเลิกสิทธิ์ในการปกครองตัวเองและเพิกถอนอำนาจของสภามหาวิทยาลัยด้วย จะมีการแต่งตั้งผู้ควบคุมมหาวิทยาลัยคนใหม่ที่ถูกคัดเลือกโดยศาสนจักรอัคคีนิรันดร์และฝ่าบาทจะทรงประกาศรับรองตำแหน่งนี้ด้วย เขาจะปฏิรูปมหาวิทยาลัยด้วยบัญญัติของศาสนจักร’
แดนดีไลออนหน้าซีดเผือด
‘ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ มันจะกลายเป็นจุดจบของอ็อกเซนเฟิร์ต’
‘ไม่…ไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็นเจ้าต่างหาก ศาสตราจารย์เดอเล็ทเทนฮูว์ฟ เจ้าจะได้รับเกียรติให้นั่งในที่ประชุม และหลังจากนั้นเจ้าประกาศลาออกต่อหน้าทุกคน’
⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞
ชื่อตัวละครเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ
Dandelion = แดนดีไลออน / Julian de Lettenhove = จูเลียน เดอ เล็ทเทนฮูฟว์ / Iriana van Troffke = อิริอานา แวน ทรอฟฟ์เก้ / Isengrim Faoiltiarna = ไอเซนกริม เฟวลทิอาร์นา / Sanne = ซานเน / Bart = บาร์ท / Ranulf Herman Reuelwald = รานัลฟ์ เฮอร์แมน รูลวาลด์ / Tankred Thyssen = แทงเครด ธีสเซน / Nicodemus de Boot = นิโคเดมัส เดอ บูท / Theodor Radcliffe = ธีโอดอร์ แรดคลิฟฟ์
ชื่อเฉพาะอื่น ๆ
Department of Theology = ภาควิชาศาสนวิทยา / Lan Exeter = เมืองแลนเอ็กเซเตอร์ / The Merry Widow = เรือเมอร์รีวิโดว์ / The Cordial Hangman = เรือคอร์เดียลแฮงแมน
ไม่มีความคิดเห็น