The Dead Don't Bite (Part 4: Chapter 10-12 END)

📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3 | อ่าน Part 2: บทที่ 4-6 | อ่าน Part 3: บทที่ 7-9

 

บทที่ 10

ประตูที่ห้อยติดกับบานพับเพียงจุดเดียวกระดอนออกจากผนังเมื่อโอเซียนพรวดพราดออกมาจากโรงเลื่อยไม้ ทหารหนุ่มก้มตัวลงขณะหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย

‘ไม่มีเลย ไม่มีอะไรสักอย่าง! แค่เหรียญขึ้นสนิมสักเหรียญยังไม่มีเลย!’

‘เจ้าหาดูตามช่องก้อนอิฐอย่างที่เขาบอกแล้วรึ?’

‘เจ้าเห็นห้องใต้ดินหรือยัง? ก้อนอิฐมันร่อนออกมาครึ่งห้องแล้ว! ข้ารื้อผนังออกจนเกือบหมดและมันไม่มีอะไรซ่อนอยู่เลย เจอแต่กองขี้ฝุ่นที่ไม่มีห่าเหวอะไรเลยสักอย่าง ข้าจะบอกให้นะ… เรามาผิดที่แล้ว’

เออร์สกินมองออกไปยังลานโล่งรอบ ๆ มันคือสุสานหมู่ที่บางหลุมถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ชิ้นส่วนมนุษย์ที่เย็นจนแข็งกระจายกระจายไปทั่ว ซากศพทหารนิลฟ์การ์ดถูกสัตว์ป่ากัดกินเป็นอาหาร บนร่างมีผ้าคลุมสีดำประดับตราสัญลักษณ์รูปแมงป่อง

‘ไม่ผิดแน่ ศพพวกนี้คือพลหอกแดร์ลันหน่วยที่เจ็ด เหมือนที่ตาแก่นั่นบอกเรา’

‘แสดงว่าเขาเล่าความจริงปนกับเรื่องที่แต่งขึ้นมา ไปปลุกเขาขึ้นมาเลย’

เสียงหัวเราะร่วนดังมาจากเลื่อนหิมะ นายจ่านั้นตื่นนานแล้วและได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันเมื่อครู่ ชายแก่จึงหัวเราะออกมาอย่างเพลิดเพลิน

‘หัวเราะหาอะไรวะ?’ โอเซียนคำรามพร้อมกับเหวี่ยงหมัดใส่ชายแก่ เออร์สกินคว้าข้อมือเขาไว้

‘ใจเย็นก่อนได้ไหม? เขากำลังจะพูดอะไรอยู่นะ’

เออร์สกินเอียงหูไปใกล้ ๆ ปากของผู้บังคับบัญชาและฟังเสียงกระซิบแหบพร่า ‘พวกเจ้าถึงที่ตายแล้ว ไอ้พวกโง่’

นายจ่าแสยะยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกมาจากผ้าห่มขนสัตว์และชี้ไปยังทิศทางของเมืองดิลลิงเงินด้วยนิ้วที่สั่นเทา ตะวันคล้อยต่ำค่อย ๆ ลาลับไปหลังทิวต้นแอชที่ไร้ใบ ส่งเงายืดยาวชวนขนลุกพาดผ่านไปทั่วทั้งบริเวณ ทหารหนีทัพทั้งสองกวาดสายตาไปตามทิศทางที่ชายแก่ชี้นิ้ว

ในตอนนั้นเองเออร์สกินก็นั่งลงและตรวจดูศพที่อยู่ใกล้ที่สุด ชุดเกราะมีรอยกรงเล็บไขว้ทับกันหลายรอย แผ่นโลหะถูกแหวกออกจนเห็นเนื้อที่ตากหิมะจนแข็งข้างในนั้น เศษเนื้อถูกฉีกกระจุย กระดูกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพราะถูกบดด้วยขากรรไกรที่ทรงพลังยิ่งกว่าพวกหมาป่า

ทหารชาวเทเมเรียหน้าซีดราวกับศพ เขาลุกพรวดแล้วหันไปหาสหาย

‘พวกตัวกินซาก’

เสียงหัวเราะแหบแห้งอย่างชั่วร้ายของนายจ่ากระทบโสตประสาทของพวกเขา ทันใดนั้นเองดวงตาอันน่าสยดสยองก็แวววูบอยู่ท่ามกลางทิวป่าอันมืดมิด


*

วิทเชอร์ตามรอยเลื่อนหิมะไปเรื่อย ๆ ฟ้ามืดลงพอดีในตอนที่เขามาถึงกระท่อมชายป่า กระท่อมคนตัดไม้ถูกทิ้งร้างไว้ท่ามกลางหมู่ต้นไม้ที่ถูกโค่น เสียงหอนด้วยความหิวโหยดังกลบเสียงไหลเอื่อยอันนุ่มนวลของแม่น้ำ ตามมาด้วยเสียงเห่าหอนอย่างบ้าคลั่ง เจ้าม้าเหวี่ยงศีรษะด้วยความตื่นตระหนกและไม่ยอมเดินต่อ เขาจึงต้องทิ้งมันไว้และเดินเท้าเข้าไปเอง

โซเรนเซนลัดเลาะแนวต้นไม้ไปยังลานโล่ง แสงสะท้อนของจันทร์เต็มดวงเริงระบำบนระลอกคลื่นในแม่น้ำยารูก้า โลดแล่นไปบนผืนหิมะสีขาวและดาบเงินของวิทเชอร์ กูลฝูงหนึ่งรุมล้อมโรงเลื่อยไม้และพยายามฝ่าสิ่งกีดขวางเข้าไปหาคนที่หลบซ่อนอยู่ข้างใน เลื่อนหิมะถูกทิ้งไว้ข้าง ๆ กังหันน้ำ มีร่างชายผู้โชคร้ายที่ถูกพวกตัวอัปลักษณ์กัดกินนอนอยู่ในนั้น เสียงกรามบดกระดูกและเสียงฉีกกระชากเนื้อสด ๆ ดังระงมแหวกอากาศมาแต่ไกล

ลูกศรพุ่งทะยานออกมาจากหน้าไม้ ผลักร่างสัตว์ประหลาดให้กระเด็นออกจากเลื่อนหิมะและตรึงมันไว้กับต้นไม้

โซเรนเซนปลดระเบิดลูกเล็ก ๆ ออกจากตะขอเกี่ยวเข็มขัด จุดชนวนด้วยคาถาอิกนีแล้วไปจัดการอย่างอื่นต่อ


*

ว่ากันตามตรง วิทเชอร์นั้นก็ดูน่าเกลียดน่ากลัวไม่แพ้พวกตัวกินซากเลย

ดวงตาเหมือนกับสัตว์เลื้อยคลาน ตามลำคอและขมับมีเส้นเลือดสีคล้ำปูดโปนขึ้นมา เสื้อผ้าของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือดของสัตว์ประหลาดที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง

‘พวกเจ้ามีเหล้าติดมือมาบ้างไหม?’

คำถามนั้นทำให้วิทเชอร์ดูมีมนุษยสัมพันธ์ขึ้นมาทันที โอเซียนหยิบขวดเหล้าส่งให้เขา

‘อีกเดี๋ยวสหายของเจ้าก็จะโผล่มาแล้ว เดี๋ยวพวกเขาจะตามมาสมทบเอง’

ทหารหนีทัพหันไปมองหน้ากัน เออร์สกินจับด้ามดาบด้วยสัญชาตญาณ แม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ใช้มันก็ตาม

‘ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเราเดินทางมากันหลายคน? เจ้าตามสะกดรอยพวกเราหรือไง?’

‘ข้าตามเจ้าคู่หูที่ร่วมทางมากับพวกเจ้าแค่นั้นแหละ’

‘มีปัญหากับพวกเขารึ?’

‘ก็ทำนองนั้น มีคนจ้างข้าให้ตามล่าพวกเขา ข้าเป็นวิทเชอร์น่ะ… เผื่อว่าเจ้าไม่รู้’

‘แล้วเจ้าพวกนั้นมันเป็นตัวอะไรกัน เดี๋ยวนะ…เป็นดราวเนอร์รึ?’

‘เป็นแวมไพร์’

เออร์สกินพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ๆ

‘พวกเขาดูเหมือนคนปกติเลย’ ในที่สุดเขาก็โพล่งออกมา

‘ข้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน’ วิทเชอร์ยักไหล่ ‘ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็เป็นตัวอันตรายอย่างยิ่ง’

ความผิดหวังถาโถมใส่โอเซียน เขาเตะกองเครื่องมือขึ้นสนิมราวกับว่าพวกมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาคว้าน้ำเหลว กองเครื่องมือเก่า ๆ ตอบกลับมาด้วยเสียงกระทบอันเศร้าสร้อยเมื่อมันทลายลง

‘ตาแก่นั่นหลอกเรา พาพวกเรามาตายที่นี่ อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล สุดท้ายก็ไม่ได้เงินแม้แต่โอเร็นเดียว’

วิทเชอร์ล้วงลงไปในกระเป๋า พลิกเหรียญทองไปมาระหว่างนิ้วมือที่เปื้อนเลือด ด้านหนึ่งเป็นรูปสฟิงซ์ ส่วนอีกด้านเป็นรูปรถศึก เหรียญทองโบราณเปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์ ทหารหนีทัพทั้งสองจ้องมองมันราวกับต้องมนต์

‘ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่า ข้าต้องการพรรคพวกน่ะ’

‘เจ้าจะจ่าย…’ โอเซียนกลืนน้ำลาย ‘...ด้วยทองรึ?’

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 11

สนามรบเงียบสงัด แสงจันทร์เพ็ญเป็นประกายระยิบระยับบนผลึกน้ำแข็งที่ห้อยระย้าลงมาจากโรงเลื่อยไม้ และบนชุดเกราะขึ้นสนิมของทหารผู้ล่วงลับด้วย

พวกเขาพบเลื่อนหิมะที่ถูกทิ้งไว้ข้าง ๆ กังหันน้ำ

เรจิสก้าวข้ามเศษซากเกรอะเลือดของเจ้าม้าสาว เขาเปิดผ้าห่มขนสัตว์ที่คลุมร่างนายจ่าเอาไว้ ตาของเขาเหลือเพียงหลุมกลวงโบ๋สองหลุม โหนกแก้มถูกฉีกทึ้ง ริมฝีปากบิดเบี้ยวยังคงแข็งค้างจากการกรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย

เนริสตัวงอและอาเจียนออกมา

เสียงลั่นไกปล่อยลูกศรดังมาจากตรงไหนสักแห่งของพุ่มไม้ในเงามืดข้างหลังพวกเขา หัวลูกศรส่องประกายวาบในความมืดแล้วพุ่งทะลุแขนข้างหนึ่งของเรจิส ตรึงเขาไว้กับเลื่อนหิมะ บาดแผลส่งเสียงฉ่าและมีควันลอยขึ้นมา กลิ่นเนื้อเหม็นไหม้ลอยคลุ้งในอากาศรอบตัวเขา

‘ทางโน้น!’ เนริสตะโกนลั่น นางชักดาบออกจากฝักและพุ่งตรงไปยังแนวป่า

เด็ตลาฟรู้ทันทีว่าพวกเขากำลังสู้กับใคร เขาจดจำได้ทุกอย่าง ทั้งน้ำเสียงและอักษรรูนที่เรืองแสงอยู่บนลูกศรเงิน เขากลายร่างในชั่วพริบตา สยายวงปีกค้างคาวและบินตรงเข้าไปในป่า แซงหน้าเนริสเข้าไปในพุ่มไม้หนาทึบ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับวิทเชอร์


*

อสุรกายงับเหยื่อเข้าให้

โซเรนเซนมองมันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า กระพือปีกแล้วหายวับไปในหมู่ต้นไม้ ทหารหญิงวิ่งตามแวมไพร์ไปด้วย ดาบของนางถูกชักออกมาแล้ว

วิทเชอร์รู้สึกดีที่ตัวเองตัดสินใจถูก; เขาหวังว่าจะไม่ต้องลงมือสังหารนางไปด้วย

เขาดื่มยาเพิ่มพลัง หอบหายใจแล้วกระโดดออกไปจากกองไม้กระดาน เพียงแค่สองก้าวเขาก็เข้าถึงตัวแวมไพร์ที่ถูกตรึงไว้กับเลื่อนหิมะ แค่ฉับเดียวก็ตัดหัวเจ้าตัวดูดเลือดโสโครกนี่ได้เสียที

เขาตวัดดาบเงินจนมันส่งเสียงขณะแหวกอากาศ

แต่ก็ยังช้าเกินไป

แวมไพร์เป็นอิสระในเสี้ยววินาทีสุดท้ายและใช้กรงเล็บปัดการโจมตี แต่วิทเชอร์ยังไม่ยอมรามือ เขาหวดดาบลงในแนวดิ่ง ก้าวเท้าฉีกจังหวะและพุ่งตัวไปกระแทกกลางลิ้นปี่ของเจ้าสัตว์ร้าย

อสุรกายกระโจนออกไปจนพ้นทางแล้วฟาดกรงเล็บสวนกลับ ประกายแสงเป็นทางพุ่งเฉียดศีรษะของโซเรนเซนไปแค่นิดเดียว วิทเชอร์ย่อตัวทิ้งเข่าพร้อมกับโจมตีด้านล่าง ครั้งนี้เขาไม่พลาด คมดาบเฉือนเข้าที่ท่อนขาส่วนล่างของแวมไพร์ เขาเล็งเป้าโจมตีต่อที่ต้นคอโดยไม่ลังเล แต่แวมไพร์ยกมือขึ้นมาปัดป้องไว้ได้ทัน ใบดาบแฉลบเฉือนผ่านร่องนิ้วจนเสียจังหวะ เสียงขู่ฟ่อดังเล็ดลอดออกมาจากปากอสุรกาย

แวมไพร์คว้าคอวิทเชอร์แล้วยกร่างเขาขึ้นไปในอากาศ โซเรนเซนคำรามพร้อมกับคว้าระเบิดออกมาจากเข็มขัดแล้วโยนมันลงสู่พื้นเบื้องล่าง เสียงระเบิดดังสนั่นตามมาด้วยเสียงวิ้งก้องในหู หมอกควันหนาทึบปกคลุมทั่วทั้งบริเวณอย่างรวดเร็ว วิทเชอร์ตวัดดาบเฉือนเข้าที่กลางอกของเจ้าสัตว์ร้ายแล้วใช้คาถาอาร์ดผลักร่างมันออกไป แวมไพร์กระเด็นไปกระแทกเลื่อนหิมะและกลิ้งคะมำไปพร้อมกับศพของนายจ่า

โซเรนเซนหายใจหอบพลางนวดคลึงต้นคอ รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา อสุรกายกำลังเสียเลือดอย่างหนัก บาดแผลจากดาบเงินสำนักแมนติคอร์สามารถกำเริบขึ้นมาได้ทุกขณะ ทำให้มันยิ่งอ่อนแอลง

เขาจับดาบด้วยมือทั้งสองข้างแล้วควบคุมลมหายใจให้สงบ

‘ได้เวลาจบเรื่องแล้ว’ วิทเชอร์เอ่ยขึ้นมา


*

เงาร่างสีแดงของมนุษย์สว่างเรื่อขึ้นมาในสายตาของเด็ตลาฟ คนหนึ่งถือหน้าไม้ ส่วนอีกคนนนั้น… ซุ่มดูอยู่ในเงามืด กลิ่นเลือดของพวกเขาช่างคุ้นจมูก เป็นเจ้าโง่สองคนที่เขาร่วมทางมาด้วยนั่นเอง แต่เด็ตลาฟก็มองไม่เห็นร่างของวิทเชอร์เลย น่ารำคาญชะมัด

สายธนูบนหน้าไม้สั่นสะเทือน แต่ลูกศรนั้นพลาดเป้าเพราะถูกกรงเล็บอสุรกายปัดทิ้งกลางอากาศ เด็ตลาฟโฉบลงมาอย่างรวดเร็วและใช้ปีกคว้าตัวมือยิงขึ้นไปอัดเข้ากับกิ่งไม้จนอาวุธหลุดมือ ร่างของเขาร่วงลงไปกระแทกกับกองหิมะเบื้องล่างอย่างแรง

เด็ตลาฟโฉบเป็นวงแคบ ๆ ก่อนจะร่อนลงพื้นและเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ เจ้าคนที่อยู่ในพุ่มไม้คิดว่าตัวเองจะรอดพ้นสายตาไปได้ เขาจึงพุ่งพรวดจากที่ซ่อนหลังต้นไม้พร้อมกับเล็งมีดสั้นไปที่คอของแวมไพร์ เด็ตลาฟคว้าข้อมือเขาไว้ได้ด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อก่อนที่ปลายมีดจะถึงเป้าหมาย สายตาแวมไพร์จับจ้องไปตามใบมีดซึ่งมีอักษรรูนเรืองแสงสีฟ้า เด็ตลาฟสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปจัดการกับมนุษย์ที่ถือมันมา ออกแรงบีบจนกระดูกข้อมือแตกละเอียด ชายผู้จู่โจมร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด มีดสั้นหล่นจากนิ้วมือที่อ่อนปวกเปียก เด็ตลาฟเหวี่ยงร่างเขาให้กระเด็นถอยหลังลงไปในกองหิมะ

เขาจ้องมองไปยังมนุษย์ทั้งสองที่กำลังขวัญหนีดีฝ่อ ไร้หนทางสู้ และหวาดกลัวสุดขีด สายตาพวกเขาที่จ้องกลับมาช่างเหมือนกับสายตาของพวกอาชญากรที่กำลังรอรับโทษทัณฑ์ หัวใจเต้นระส่ำอยู่ภายในทรวงอก ปอดขยายตัวสูบอากาศเฮือกใหญ่เข้าไป ลมหายใจออกพ่นไอน้ำออกไปในอากาศที่เหน็บหนาวเข้ากระดูก เต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว หวาดหวั่น กระเสือกกระสน และสับปลับ — เผ่าพันธุ์นี้จะมีไว้เพื่ออะไร? คนพวกนี้มีประโยชน์อะไร?

‘ทำไม?’ เด็ตลาฟเอ่ยถามขึ้นมา ลมหายใจของเขาเย็นยะเยือกและปราศจากละอองไอน้ำให้เห็น

ก่อนที่พวกเขาจะบังคับคอที่ตีบตันและซี่ฟันที่กระทบกันไม่หยุดให้กลับมาอยู่ในการควบคุมอีกครั้ง เนริสก็ปรากฏตัวออกมาจากทิศทางที่โรงเลื่อยตั้งอยู่

‘พวกมันเป็นอสุรกาย’ โอเซียนหอบเฮือกพลางประคองท่อนแขนที่หัก ‘คนที่เจ้าตะลอน ๆ ไปด้วยน่ะ มันเป็นอสุรกายนะ!’

เนริสไม่ได้ตอบอะไร นางสังเกตเห็นสายตาของเขาจ้องมองอย่างไม่ลดละไปยังมีดสั้นที่หล่นอยู่บนพื้น นางเก็บอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมาและหันไปทางเด็ตลาฟ

‘พวกเขาฆ่านายจ่า ถ้าไม่อยากจัดการพวกเขา ก็ปล่อยให้ข้าลงมือเอง’

แวมไพร์ส่งสัญญาณให้นางรอก่อน

‘ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไม?’ เขาถามย้ำ ‘นายจ่าก็พาพวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว แค่หยิบเงินแล้วจากไปเฉย ๆ ไม่ได้หรือไง? ทำไมต้องจับอาวุธมาสู้กับเราด้วย?’

‘มันไม่มีเงินโว้ย!’ โอเซียนตะคอก ‘ไอ้แก่นั่นมันพาเรามาในสนามรบที่มีแต่ตัวกินซาก! มันเอาที่ซ่อนสมบัติลงหลุมไปด้วย—นั่นแหละที่มันทำ ไอ้สวะโสโครก!’

‘แต่พวกเขา…’ เออร์สกินเอ่ยแทรกขึ้นและชี้ไปทางเด็ตลาฟ ‘...พวกเขามีสมบัติของจริงติดตัวมาด้วย! เหรียญทองจากสุสานโบราณ ที่พวกเขาใช้มันซื้อม้าลากเลื่อนให้เรามาตลอดทาง เหรียญทองที่วิทเชอร์…ที่วิทเชอร์คนนั้นให้เรามา’

โลหะสะท้อนประกายวาบ เนริสคว้าเหรียญที่ทหารเทเมเรียโยนให้ นางตรวจดูอย่างละเอียด มันต้องมีราคาสูงลิบลิ่วเป็นแน่

‘พวกเขามีเหรียญอีกตั้งเยอะ เยอะเกินกว่าที่เจ้าเคยใช้มาทั้งชาติเสียอีก เรามัวแต่ไล่ตามสมบัติของนายจ่า ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลา…’

เด็ตลาฟรู้สึกผิดหวัง เรจิสเกือบจะทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์นี้มีบางอย่างมากกว่าที่เห็น เขาเคยบอกว่ามนุษย์พวกนี้ไม่ได้โง่เขลาจากความโลภและถูกล่อลวงด้วยกิเลสตัณหา พวกเขาไม่ได้ต่ำช้าและไร้ค่าแบบที่เห็น แต่สหายของเขามองผิดไปแล้ว มนุษย์พวกนี้ช่างไร้ความหวัง ไม่มีสมบัติใด ๆ ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่มนุษย์หรอก…เหมือนสมบัติของนายจ่า หีบใบนี้ได้ถูกเปิดออกมาแล้ว…และมันมีเพียงความว่างเปล่าแบบที่เป็นมาเสมอ

เด็ตลาฟคว้าตัวโอเซียนที่สะบักสะบอมขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียว จับเขาเอียงคอแล้วฝังคมเขี้ยวลงไป ปล่อยให้กลิ่นเลือดสด ๆ อบอวลอยู่ในจมูก ระลอกแห่งความรื่นรมย์แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา

ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน

เนริสจู่โจมอย่างรวดเร็วราวกับอสรพิษ นางปักมีดสั้นลงบนแขนของเด็ตลาฟจนมิดด้าม แวมไพร์ปล่อยมือจากโอเซียนและกระโดดหนีพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่คำราม ใบมีดลงอาคมปลดปล่อยเปลวไฟสีฟ้าลามเลียไปตามท่อนแขนของเขาอย่างช้า ๆ และลุกท่วมถึงคอในที่สุด เด็ตลาฟพยายามจะดึงมีดเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระจากคาถาชั่วร้าย แต่เออร์สกินก็คว้าหน้าไม้ขึ้นมาลั่นไกใส่เขา ลูกศรเงินควงสว่านแหวกอากาศและปักเข้ากลางแขนอีกข้างของแวมไพร์จนติดแน่นกับต้นไม้

เมื่อแขนข้างหนึ่งถูกลูกศรตรึงไว้ ส่วนอีกข้างก็ถูกเปลวไฟอาคมเผาผลาญ เด็ตลาฟจึงรวบรวมพลังโลหิตและพยายามเปลี่ยนร่าง แต่ลูกศรเงินของวิทเชอร์ก็ทำให้เขากลายร่างไม่ได้

เขาส่งเสียงคำรามโหยหวน และค่ำคืนก็ตอบรับด้วยเสียงที่ดังระงมมาแต่ไกล

‘ข้าขอส่วนแบ่งเพิ่มเป็นสองเท่า’ เนริสยื่นคำขาดระหว่างช่วยพยุงโอเซียนขึ้นมา

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 12

เขาพยายามลุกขึ้น แต่กระดูกขาที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ไม่ยอมเชื่อฟังเขา เลือดไหลทะลักจากแผลลึกกลางอก มือที่ไร้นิ้วส่งความเจ็บปวดมากับระลอกของชีพจรอย่างไม่หยุดหย่อน

เรจิสมองไปยังร่างของนายจ่าที่นอนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความอิจฉา อย่างน้อยเขาก็ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว

วิทเชอร์ย่างสามขุมเข้ามาหา แสงจันทร์เริงระบำอยู่บนใบดาบเคลือบโลหะเงิน

เหลือเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น

ข้าขอโทษด้วย

เขาคลานไปยังศพของนายจ่าและฝังเขี้ยวลงไป

ร่องรอยรสชาติของโลหะตลบลอยอยู่บนลิ้นของเขา ความเคลิบเคลิ้มถั่งโถมเป็นระลอกอยู่ในกาย รอยแผลต่าง ๆ เลือนหายไป และความเจ็บปวดทั้งหลายก็เจือจางลงคล้ายกับมันล่องลอยออกไปไกลแสนไกล

วิทเชอร์โผล่ออกมาจากด้านหลังกองซากเลื่อนหิมะพร้อมกับสบถ เรจิสลุกขึ้น สูดลมหายใจลึก ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงฉาน

เขาคำรามเฉกเช่นสัตว์ร้าย ใบหน้ายื่นยาวกลายเป็นหน้ากากอันน่าสยดสยอง กรงเล็บยาวงอกออกมาจากมือข้างที่ยังมีนิ้วอยู่ครบ

ส่วนที่เหลือนั้นกลายเป็นภาพที่เลือนราง เหมือนกับเขาเฝ้ามองเหตุการณ์จากหลังผ้าม่าน ราวกับเป็นผู้รุกล้ำเข้ามาในร่างของตนเอง ซึ่งกำลังสวมใส่เนื้อหนังของสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์

และสัตว์ร้ายย่อมกระหายเลือด

วิทเชอร์งอนิ้วใช้คาถาอาร์ด แต่คราวนี้เจ้าอสุรกายกลับหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ทิ้งให้คลื่นพลังงานเป่าเกล็ดหิมะจนฟุ้งกระจายไปทั่ว เขาหันไปคว้าระเบิดแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ช้าไปอย่างมหันต์ แวมไพร์โจมตีอย่างกราดเกรี้ยว กรงเล็บทะลุทะลวงร่างของวิทเชอร์อย่างง่ายดาย นิ้วมือไร้เรี่ยวแรงปล่อยดาบเงินร่วงหล่นลงสู่กองเกล็ดน้ำแข็งสีแดงที่สาดกระเซ็นอยู่เบื้องล่าง

อสุรกายเงื้อคมเขี้ยว

เส้นเลือดแดงเต้นตุบ หัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือดเป็นจังหวะ ถึงเวลาที่ต้องยอมจำนนต่อธรรมชาติ เพื่อทำในสิ่งที่เขาถูกสร้างขึ้นมาให้ทำ

ข้าไม่อยากทำแบบนี้

เรจิสหยุดชะงัก ใบหน้าของเขาแปรสภาพสู่รูปลักษณ์มนุษย์ที่ดูอ่อนโยน กรงเล็บหดสั้นลงในทันทีจนเกิดเสียงดังฉึบ เขาปล่อยร่างวิทเชอร์ให้ทรุดลงไปกองบนพื้นหิมะ

เขาสดับฟังเสียงอับเงียบสงบในห้วงก่อนฟ้าสาง ไม่นานจังหวะเลือดสูบฉีดก็ค่อย ๆ แผ่วลงและหายไปในที่สุด เขาก้มลงมองนักล่าอสูรและจ้องลึกลงไปในดวงตาของวิทเชอร์

‘ข้าไม่ใช่อสูร’ เขาเอ่ย

เรจิสหันหลังและเดินจากไปในทิวป่า ปล่อยวิทเชอร์ไว้ตามลำพัง


*

เปลวไฟสีฟ้าแผดเผามือและแขนท่อนล่างของเด็ตลาฟจนใหม้เกรียม ลามเลียไปจนถึงบ่าและต้นคอ

‘วิทเชอร์บอกว่าเปลวไฟจะปลิดชีพมันเอง เผาจนเหลือแต่กระดูก’

‘อย่าให้มันหลอกเราเหมือนตาแก่นั่นอีก! ทองอยู่ที่ไหนวะ? ไอ้ระยำ!’ โอเซียนลากเสียง

แวมไพร์ขยับนิ้วมือซึ่งชาสนิทบนปลายแขนข้างที่ไม่ได้ถูกเผา ลูกศรที่ทะลวงกระดูกแขนยังพอเหลืออิสรภาพไว้ให้เล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปข้างหลังเสื้อคลุม ปลดถุงเงินออกจากเข็มขัดและโยนมันลงกับพื้น

แม้จะบาดเจ็บแต่โอเซียนก็พุ่งไปหาถุงเงินเป็นคนแรก ทันใดนั้นก็มีเสียงง้างคันบรรจุลูกศรใส่หน้าไม้ดังขึ้น

‘วางมันซะ ไอ้ลูกหมา’ เออร์สกินคำราม ‘เรามาเอาสมบัติ และเจ้าก็ไม่ใช่ทหารสักหน่อย แค่คนไร้บ้านที่หันมาพึ่งกองทัพ’

‘แต่ข้าก็ช่วยนะ!’

‘ช่วยห่าอะไร เนริสเป็นคนแทงมันต่างหาก’

‘นั่นแหละ ข้าถึงต้องการส่วนแบ่งเพิ่ม’ นางกล่าว

‘เชื่อเลย…’ เออร์สกินมองเนริสด้วยหางตา ‘ก่อนหน้านี้เจ้ายังอยู่ฝ่ายเดียวกับไอ้พวกตัวดูดเลือดนั่นอยู่เลย โอเซียน…อย่าขยับ ไม่อย่างนั้นข้าจะยิง’

‘พวกเรามีแค่สองคน… สองคนเท่านั้น… เจ้าจะเข้ามาเพิ่มอีก…ไม่ได้…’

‘จัดการมันสิ เออร์สกิน เราจะได้ไปจากที่นี่กันสักที ก่อนที่เจ้าวิทเชอร์นั่นจะเสร็จงานแล้วตามมาขอส่วนแบ่งอีกคน’

เออร์สกินทำเสียงฮึดฮัด ‘เจ้ามันเป็นนางงูพิษแท้ ๆ’

‘หารสองย่อมลงตัวง่ายกว่าหารสาม’

‘อยากให้วิทเชอร์ตามล่าเจ้ารึไง?’

‘เราสองคนจัดการเขาได้อยู่แล้ว’

‘ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย… ข้าจะไม่นอนใกล้ ๆ เจ้าอีกเด็ดขาด’

โอเซียนฉวยโอกาสตอนที่อีกสองคนกำลังโต้เถียงกันและรีบคลานหนีไปในแนวต้นไม้ พวกเขารีบตามมาในทันที เนริสขัดขาเขาจนล้มกลิ้งไปบนพื้นน้ำแข็งและตกลงไปในลำน้ำ แล้วการทุ่มเถียงก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

ทันใดนั้นดวงตาหลายคู่ก็ลุกวาวขึ้นกลางป่า พวกมันแห่กันมาเป็นฝูงตามเสียงเรียกของเด็ตลาฟ ตีวงล้อมป่าต้นแอชอย่างเงียบเชียบ ซุ่มอยู่ห่างจากพวกทหารหนีทัพที่ยังไม่รู้ตัวแค่ระยะปาหินถึง น้ำลายร้อน ๆ ไหลย้อยจากปากหยดลงบนหิมะระหว่างที่รอคอยคำสั่ง

หนึ่งในนั้นใช้ฟันถอนลูกศรออกมา ปลดปล่อยเด็ตลาฟจากต้นไม้ เขายืดเหยียดนิ้วแข็งเกร็งบนมือข้างที่เพิ่งจะเป็นอิสระ เกิดเสียงกระชากอันน่าสยดสยองขณะที่เขาฉีกซากแขนอีกข้างซึ่งถูกเปลวเพลิงเวทมนตร์แผดเผา และโยนชิ้นส่วนที่ยังมีมีดสั้นปักคาอยู่ลงบนพื้น ปล่อยให้มันส่งเสียงฉ่า ๆ ท่ามกลางกองหิมะ

เขายกมือข้างที่เหลือ เหล่าอสุรกายแห่งรัตติกาลตัวสั่นเทิ้มด้วยความคาดหวัง ดูเหมือนว่านายจ่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้จักคนพวกนี้ดีที่สุด—รู้ว่าพวกเขาสมควรพบกับจุดจบแบบไหน เด็ตลาฟจึงลงมือเพื่อเป็นเกียรติแก่ความทรงจำของเขา

เขาปลดปล่อยฝูงตัวกินซาก


*

อรุณรุ่งมาเยือนพร้อมกับหิมะที่โปรยปราย

เด็ตลาฟนั่งอยู่ตามลำพังข้าง ๆ ต้นแอชเก่าแก่ เรจิสเข้ามาหาเขาและคุกเข่าลงข้าง ๆ พวกเขาจ้องมองร่างทั้งสามที่ค่อย ๆ หายไปใต้ผืนผ้าห่มสีขาว เหรียญทองกระจัดกระจายอยู่ระหว่างซากศพเหล่านั้น

‘สองคนนั้น… สมควรได้รับโทษ’ เรจิสเอ่ย ‘แต่ไม่ใช่แบบนั้น’

‘พวกเขาทั้งหมด ทั้งสามคน ทำตัวเองทั้งนั้น สันดานของพวกเขานั่นแหละที่พาหายนะมาให้’

‘ตอนนี้เจ้าเลยกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสันดานมนุษย์ไปแล้ว’

‘เชี่ยวชาญรึ? เปล่าเลย แต่ข้าก็ได้เรียนรู้ความจริงของมัน’

เด็ตลาฟสังเกตเห็นมือที่บาดเจ็บของเรจิส

‘วิทเชอร์ล่ะ?’

‘ข้าปล่อยเขาไป’

‘เจ้ามันบ้าไปแล้ว’

‘ไม่หรอก ข้าก็แค่ไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าคิดไว้’

ดวงตะวันโผล่ออกมาท่ามกลางหมู่แมกไม้ เขาก้มลงแล้วหยิบเหรียญทองที่ติดอยู่ในซอกนิ้วมือของนางขึ้นมา

‘ไปเถอะ’ เขาเอ่ย ‘เชิญไปอยู่กับพวกมนุษย์ พวกพ้องของเจ้า ขอให้ที่แห่งนั้นไม่ใช่จุดจบของเจ้าก็แล้วกัน’

‘แล้วเจ้าล่ะ? จะทำอะไรต่อไป?’

เด็ตลาฟหย่อนเหรียญทองลงไปในถุงเงิน

‘ข้าก็ยังไม่รู้ แต่ข้ารู้แล้วว่าจะไปเริ่มต้นที่ไหน’


*

แผละ… แผละ… แผละ… จ๋อม

‘ซาบรินา’

เขาหยิบก้อนกรวดขึ้นมาอีกก้อน รูปร่างแบนรีสมบูรณ์แบบ ผิวน้ำที่สงบนิ่งของแม่น้ำยารูก้าสะท้อนแสงอาทิตย์

แผละ… แผละ… แผละ… แผละ… จ๋อม

‘เสร็จธุระแล้ว?’ เสียงของนางดังออกมาจากซีโนวอกซ์

‘จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ข้าขอถอนตัวจากงานนี้’

ความเงียบงันอุบัติขึ้น—คล้ายกับลมที่สงบนิ่งก่อนพายุร้ายจะพัดกระหน่ำ

‘ถอนตัวรึ? หมายความว่ายังไง?’ น้ำเสียงของนางเจือไปด้วยพิษร้ายยิ่งกว่าถูกแมงป่องต่อย

‘เจ้าก็ได้ยินแล้วนี่’ โซเรนเซนพลิกก้อนกรวดด้วยนิ้วมือ ใช้ฝ่ามือกะน้ำหนักแล้วร่อนให้มันแฉลบไปกับผิวน้ำ แผละ… แผละ… จ๋อม

‘หัวหดขึ้นมารึไง หา? ความแตกแล้วล่ะสิ ไอ้คนขี้ขลาดชาติสวะ แก้ตัวได้ทุเรศมาก แกมันไร้ค่ายิ่งกว่าถุงใส่อาจม…’

บทสวดของนางไม่มีทีท่าว่าจะจบ ซาบรินามีฝีปากราวกับพวกช่างซ่อมรองเท้าและเปี่ยมไปด้วยจินตนาการอันเสื่อมทรามอย่างน่าทึ่ง ซีโนวอกซ์สั่นสะเทือนด้วยเสียงกรีดร้องจากปลายทางอีกฝั่ง

โซเรนเซนฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง พลางจ้องไปยังผิวน้ำ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หน่ายเสียงตวาดแหว วิทเชอร์หยิบกล่องวิทยุเวทมนตร์ขึ้นมาแล้วกะน้ำหนักด้วยฝ่ามือ

จ๋อม…


*

ท่อนฟืนแตกหักออกจากกันในเตาผิง ความอบอุ่นอันอภิรมย์แผ่ไปทั่วทั้งห้อง

อาเนียนั่งลงบนผืนหนังสัตว์แล้วดึงคันชัก ซอฟิดเดิลส่งเสียงแปร่งเพี้ยน เด็กน้อยจึงบิดหมุดขันสายเครื่องดนตรี แต่ยังไม่ทันได้เล่น ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา

เด็กหญิงจำเขาได้ในทันที

‘พ่อของเจ้าไปไหนล่ะ?’

‘เข้าไปในเมืองเคเกน แล้ว…สหายของท่านล่ะ?’

‘ข้ามาคนเดียว

‘เชิญนายท่านเข้ามาก่อน ข้างในนี้อุ่นกว่า’

ผู้มาเยือนนั่งลงตรงโต๊ะ จ้องมองเปลวไฟอย่างครุ่นคิด

‘ลุดก้าทำตัวดีไหม?’

‘นางไปถึงปลายทางของนางแล้วล่ะ’

อาเนียวางเครื่องดนตรีลงแล้วขยับท่อนฟืนออกไป ชายแปลกหน้าเอื้อมมือไปยังเข็มขัดของเขา

‘เหรียญทองที่เจ้าได้รับไป… มันมีค่ามากกว่าที่เจ้าคิด’

‘แต่ตอนนี้เราไม่มีแล้ว’

‘ข้ารู้’

ผู้มาเยือนเปิดถุงเงินและหยิบเหรียญทองสองเหรียญออกมาวางไว้บนโต๊ะ อาเนียถอนหายใจ

‘ไม่… นี่มันไม่ถูกต้องเลย ท่านจ่ายเงินซื้อลุดก้าไปแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของท่านเลย ที่เราต้องเสียเหรียญทองนั่นไปก็เพราะความโง่เขลาของข้า’

ชายแปลกหน้าเงียบไปนาน

‘ถ้าอย่างนั้น ก็ถือซะว่ามันเป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน’

‘ตอบแทนเรื่องอะไร?’

‘ที่เจ้าช่วยมอบบทเรียนให้กับข้า’

เขาลุกขึ้นและจากไป อาเนียจ้องมองเหรียญทองส่องประกาย ไม่นานนักเด็กสาวก็คว้าเสื้อคลุมหนังแกะแล้ววิ่งตามออกไปในความมืด มีรอยเท้าบนหิมะมีเพียงไม่กี่รอยก่อนจะอันตรธานหายไป ชายแปลกหน้าเร้นกายจากไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงลมหนาวเข้ากระดูกส่งเสียงหวีดหวิวผิวผ่านผืนป่าเดียวดาย อันเป็นสัญญาณแห่งฤดูหนาวที่แสนยาวนาน

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡  จบบริบูรณ์  ✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

 

ชื่อตัวละครเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ

เรจิส = Regis / เด็ตลาฟ = Dettlaff / เออร์สกิน = Erskine / เนริส = Néris / โอเซียน = Osyan / โซเรนเซน = Sorensen / ซาบรินา = Sabrina / อาเนีย = Aine /

ชื่อเฉพาะอื่น ๆ

เมืองดิลลิงเงิน = Dillingen / แม่น้ำยารูก้า = Yaruga / โอเร็น (สกุลเงินเทเมเรีย) = Oren / Kagen = เมืองเคเกน

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.