The Dead Don't Bite (Part 3: Chapter 7-9)

📜 อ่าน Part 1: บทที่ 1-3 | อ่าน Part 2: บทที่ 4-6

 

บทที่ 7

เนริสป้องตาจากกระแสลมและเร่งฝีเท้าให้ทันเรจิส

‘เจ้าบอกว่าเจ้ามีที่พักในเมืองดิลลิงเงิน เราจะไปที่นั่นใช่ไหม?’

‘ใช่’

‘เพื่ออะไร?’

‘ซ่อนตัว มีวิทเชอร์คนหนึ่งกำลังตามพวกเรามา พวกนักล่าอสุรกายน่ะ’

พวกเขาออกเดินทางจากเฟนคาร์นกลับไปยังแม่น้ำยารูก้าได้สองวันแล้ว ในที่สุดท้องฟ้าก็เปิดโล่ง หิมะที่ปกคลุมผืนดินส่องประกายใต้แสงอาทิตย์อัสดง

‘วิทเชอร์รึ? ข้าคิดว่าต่อให้มีสักห้าคนก็ทำอะไรสิ่งมีชีวิตแบบพวกเจ้าไม่ได้หรอก’

เด็ตลาฟปลดกระดุมเสื้อคลุมและเปิดให้เห็นสะโพกของเขา

‘ดูนี่สิ’

เนริสส่งเสียงซี้ดเมื่อเห็นความลึกของแผล

‘เขาฝากรอยแผลไว้กับข้าที่เมืองวอร์เฟิร์ตเมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว ปกติมันควรจะหายสนิทภายในคืนเดียว’

‘ดูเหมือนว่าเขาจะเชี่ยวชาญการล่าแวมไพร์เป็นพิเศษ’ เรจิสเสริม ‘เราต้องระวังตัวให้มากที่สุด’

‘ถ้าอยากปลอดภัยก็ซ่อนตัวอยู่ในเฟนคาร์นสิ ใช้ชื่อเสียงเรื่องความอาถรรพ์เป็นเกราะคุ้มภัย…’

‘เรื่องงมงายกับกองหินนั่นคุ้มหัวเราไม่ได้หรอก’ เด็ตลาฟแย้ง ‘แต่ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นที่หลบภัยของพวกเรา’

เนริสหักข้อนิ้วดังกรอบแกรบ

‘ข้าอยากขอให้พวกเจ้าช่วยอะไรหน่อย แถวเมืองดิลลิงเงินน่ะ…’

เนริสหยุดพูดเพราะได้ยินเสียงคนดังแว่วมา เรจิสชี้ไปทางค่ายพักแรมท่ามกลางต้นไม้ที่เหลือแต่กิ่งก้าน มีเตนท์สองสามหลังที่ขาดเป็นรูและควันลอยขึ้นมาเป็นระลอกจากกองไฟกลางที่พักชั่วคราว

‘เดี๋ยวค่อยคุยกันอีกที’ เขาบอกนาง


*

‘พวกนั้นไล่ตะเพิดเราออกจากบ้านก่อนสงครามจะจบลง แล้วก็ไม่ยอมไปไหนเลย ไอ้พวกทหารเลว… ขอให้มันตกนรกหมกไหม้’

พวกเขาทำหน้านิ่งงันขณะมองไปทางค่ายอพยพด้านหลังหญิงชาวบ้านที่กำลังเล่าเรื่องราวของนาง

‘พวกทหารเอาธงกองทัพมาติดทั่วหมู่บ้านแล้วใช้มันเป็นด่านตรวจ ข้าบอกพวกเขาว่าที่นี่เป็นบ้านของข้า ในแม่น้ำตรงนั้นก็มีเรือของพ่อข้าที่ใช้ล่องไปตามแม่น้ำยารูก้าตั้งแต่สมัยท่านปู่ แต่พวกเขาก็ไม่ฟังเลยสักนิด ข้าจึงอุ้มลูกไปขอความเมตตา อ้อนวอนพวกเขาว่าตอนนี้มันเป็นฤดูหนาวนะ เราทั้งหิวและหนาวมาก ๆ ข้าขอให้พวกเขาช่วยละเว้นกระท่อมไว้สักหลัง ให้พวกเขาทำตัวสมกับที่เป็นมนุษย์บ้าง’

‘พวกนั้นไม่ยอมย้ายออกไป’ เด็ตลาฟสรุป

เด็กน้อยชะเง้อหน้าออกมาจากข้างหลังผู้เป็นแม่ แววตาเปี่ยมความหวังปรากฏบนใบหน้าที่หิวโหย นางเสยผมเด็กชายที่หล่นลงมาปิดหน้าผากแล้วขยับหมวกฮู้ดให้เข้าที่

‘พวกนั้นเรียกทหารนิลฟ์การ์ดว่าเป็นผู้รุกราน’ นางเล่าต่อ ‘...ผู้รุกรานที่แสนชั่วช้า แต่ตอนนี้สงครามกับพวกทหารเกราะดำจบลงแล้ว ดินแดนของเราก็ควรจะเป็นอิสระเสียที แต่เราก็ยังกลับเข้าบ้านไม่ได้ ดูเหมือนว่าพวกเราต่างหากที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้’

เรจิสกัดฟันกรอด

‘รอจนถึงวันพรุ่งนี้ก่อน กลับไปยังบ้านของพวกเจ้าเมื่อฟ้าสาง’

‘แต่พวกทหารล่ะ… เราเคยพยายามดูแล้ว’

‘ใช่ แต่คราวนี้ให้ข้าลองพยายามดูบ้าง’


*

พวกเขาไปถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมน้ำตอนพลบค่ำ มีกระท่อมอยู่ห้าหลังที่หลังคายังคงมีเศษหิมะปกคลุม มีท่าเรือตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว เสากระโดงเรือประมงโยกเยกตามแรงกระเพื่อมของผิวน้ำ เสียงหัวเราะและเสียงตะโกนอย่างสนุกสนานดังออกมาจากกระท่อมหลังใหญ่สุด

เรจิสถอดกระเป๋าจากบ่าแล้วส่งให้เด็ตลาฟ

‘รออยู่ตรงนี้’ เขากำชับ

ประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อเขาผลักมันออกและก้าวเข้าไปข้างในท่ามกลางควันยาสูบที่ลอยตลบ พวกทหารที่มารวมตัวกันอยู่รอบ ๆ โต๊ะเงียบเสียงลงทันที

‘เจ้าเป็นใคร?’ ชายไว้เคราผู้มีรอยแผลเป็นบนขมับเอ่ยถาม

‘ข้าชื่อเอมิล เรจิส กำลังเดินทางไปเมืองดิลลิงเงิน’

นายทหารโน้มตัวไปข้างหน้า พาดคางไว้บนกำปั้นข้างหนึ่งที่ใหญ่โตน่าดู

‘จะไปที่นั่นคนเดียวรึ? กล้าหาญไม่เบาเลยนี่’

‘หรือไม่ก็โง่บรม’ ชายไว้เครากล่าว ‘เจ้าหลงทางมาสินะ เอมิล เรจิส แต่ถือเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว มีถนนเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านข้ามเนินเขาไปได้ เจ้าก็แค่เดินตรงไปเรื่อย ๆ’

‘ข้ารู้อยู่แล้ว’

‘แล้วจะโผล่หัวมาที่นี่ทำไม?’

‘ข้าเจอคนที่ถูกขับไล่ไปจากบ้านของพวกเขา แม้แต่เด็ก ๆ ก็ไม่มีที่ซุกหัวนอน’

เรจิสปิดประตูและเดินตรงไปที่โต๊ะ พวกทหารจับด้ามดาบอย่างลังเล

‘มันเป็นคำสั่ง’ ชายไว้เคราแย้ง

เรจิสจ้องตาเขาพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้น ขวดที่เรียงรายบนโต๊ะสั่นสะเทือน

‘คำสั่งเปลี่ยนไปแล้ว’ เขากล่าวด้วยเสียงดังก้อง ‘หมู่บ้านนี้ไม่ได้เป็นของพวกเจ้า พวกเจ้าจะกลับไปยังป้อมปราการวิดอร์ทันที พวกเจ้าจะลืมว่าเคยพบข้าและลืมว่าเคยมาที่นี่ด้วย’

ชายไว้เครามีท่าทีอ่อนลง สีหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น

‘ขอรับ นายท่าน’ เขาตอบรับอย่างแผ่วเบา

เมื่อความมืดมิดสุดท้ายมาเยือน เรจิสก็หวนระลึกถึงจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ โรงพยาบาลสนามในพื้นที่ทุรกันดาร เสียงครวญครางของผู้ที่กำลังจะสิ้นลม และกลิ่นของความตาย

ยังไงพวกเขาก็ต้องตาย

แต่พวกเขาจะไม่ตายด้วยน้ำมือข้า

เด็ตลาฟยืนอยู่ข้าง ๆ เขา มือชุ่มโชกไปด้วยเลือด

เรจิส เจ้าต้องการเลือด

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 8

‘ไอ้สารเลวเอ๊ย! บอกมา! เจ้าเอาเงินไปซ่อนไว้ที่ไหน?’

‘กาาา!’

ฝูงนกกาจ้องมองอย่างเฉยชาในขณะที่พวกมนุษย์กำลังจัดการธุระกันอยู่ ตอนแรกนายจ่านั้นหน้าซีดราวกับศพจมน้ำตาย แต่ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อถูกโอเซียนบีบคอจนเริ่มหายใจไม่ออก

‘กาาา!’

เออร์สกินโผล่เข้ามาในลานโล่งกลางป่า เขาสบถพร้อมกับโยนกิ่งไม้แห้ง ๆ กองโตที่หอบมาด้วย หัวหน้ากลุ่มทหารหนีทัพสาวเท้าเพี่ยงไม่กี่ก้าวก็ถึงเลื่อนหิมะ คว้าเสื้อคลุมของโอเซียนแล้วเหวี่ยงเขาจนล้มลงกับพื้น

ใบหน้าของนายจ่าผู้สูงวัยออกสีแดงคล้ำเหมือนหัวบีทรูท แขนขาตะกุยตะกายอยู่ใต้ผ้าขนสัตว์ขณะหอบหายใจเฮือก

‘จะฆ่าเขารึไง? เจ้าโง่!’ เออร์สกินคำรามและเตะเข้าที่ชายโครงโอเซียน ‘เจ้าเสียสติไปแล้วรึ? ตอนเขาฟื้นทำไมถึงไม่ยอมเรียกข้า?’

โอเซียนใช้ข้อศอกดันพื้นแล้วกลิ้งหลบอย่างรวดเร็วจนพ้นระยะรองเท้าบูทของเออร์สกิน

‘ไม่ได้จะฆ่า แค่ขู่นิด ๆ หน่อย ๆ เอง’ รอยยิ้มแฝงเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

เออร์สกินเหลือบมองทหารหนุ่ม หากโอเซียนจัดการรีดข้อมูลที่ซ่อนสมบัติได้จริง ๆ เขาคงจะลากนายจ่าเข้าป่าโดยไม่ลังเลและทิ้งร่างของผู้สมรู้ร่วมคิดไว้ลำพังท่ามกลางความหนาวยะเยือก แบบเดียวกับที่พวกเขาทำกับเนริส

‘ขืนทำอีกครั้ง ข้าจะมัดไข่เจ้าแล้วเอาไปแขวนกับต้นไม้’

‘เจ้าทั้งสองคนนั่นแหละที่ต้องถูกแขวนคอ’ นายจ่าคำราม ‘ไอ้พวกหนีทัพ ไอ้คนทรยศ!’

ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นมาพร้อม ๆ กัน

‘จะตอบแทนพวกเราแบบนั้นหรือ? นายจ่า เราอุตส่าห์ช่วยเจ้าให้รอดตายเชียวนะ! คอยดูแลเจ้าตอนป่วยหนักด้วย! ไม่คิดจะสำนึกบุญคุณกันสักนิดเลยรึไง หา?’

‘เดี๋ยวเพชรฆาตจะตอบแทนพวกเจ้าด้วยคมขวานให้เอง’

เออร์สกินเป่าลมผ่านมือของเขาที่ทั้งแข็งและหยาบกระด้าง ก่อนจะเอนกายพิงกับราวกั้นของเลื่อนหิมะ โอเซียนลุกขึ้นมาจากพื้นและยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม นายจ่าทำหน้าบึ้งตึงใส่ทั้งคู่ เกล็ดน้ำแข็งเกาะเต็มคิ้วทั้งสองข้าง เมื่อทุกอย่างได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว จะโกหกกันไปก็เปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะหลังจากที่โอเซียนเผยธาตุแท้ออกมา

‘เอาสมบัติไปซ่อนไว้ที่ไหน? ไอ้โจรเฒ่า’

‘มันเป็นของส่วนรวม จะแบ่งให้ทุกคนเท่า ๆ กัน’

‘อย่าพูดอะไรตลก ๆ น่า มันเป็นของที่ปล้นมาจากเมืองดิลลิงเงิน โอ้… สัจจะในหมู่โจรอย่างนั้นนรึ?’

‘เรายึดมาตามกฏของผู้ชนะสงคราม จากเมืองที่เราช่วยทวงคืนมาจากพวกเกราะดำ แล้วเจ้าล่ะ? เออร์สกิน เจ้าเป็นอะไร? ทำเป็นไม่ประสีประสาเรื่องสงคราม เพิ่งออกรบครั้งแรกรึไง?’

‘ไม่ใช่ครั้งแรก แต่อาจเป็นครั้งสุดท้ายถ้าเราเอาสมบัติมาได้ ข้าไม่อยากย่ำเท้าตามเสียงแตรอีกแล้ว’

โอเซียนเม้มปาก เขาชักมีดออกมาแล้วถ่มน้ำลายใส่ก่อนจะเช็ดมันกับแขนเสื้อตรงข้อพับ

‘จะอธิบายให้เสียเวลาไปทำไม? ลงมีดแล้วทำให้มันแหกปากร้องเลยดีกว่า’

เออร์สกินยักไหล่ เขาตอบตกลงกับทหารหนุ่มด้วยความเงียบ ในใจยังรู้สึกเคารพนายจ่าหัวรั้นที่พาหน่วยของเขาทำภารกิจสำเร็จลุล่วงจนนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ยังอยากฉีกเนื้ออดีตผู้บังคับบัญชาอย่างป่าเถื่อน ดังนั้นจึงให้โอกาสชายแก่ได้ตระหนักว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแค่ไหน

แน่นอนว่าโอเซียนไม่ได้คิดเหมือนเขา ทหารหนุ่มเพิ่งเข้าร่วมกับกองทัพของราชาโฟลเทสท์ หลังจากที่กองทหารม้าของเคดเวนปล้นชิงและทำลายฟาร์มของพ่อเขา ประสบการณ์ได้สอนโอเซียนว่า ‘ทหาร’ ก็คือ ‘โจรที่ไม่ต้องรับโทษ’ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสมัครเข้ากองทัพ

ใบมีดเฉือนลงไปใต้ผ้าขนสัตว์ ขอบคมของโลหะเย็นเยียบกดลงบนผิวหนังของนายจ่า ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นของเขาปรากฏให้เห็นซึ่งความโกรธและความขื่นขมที่ไร้ทางสู้ เมื่อจำนนต่อชะตากรรม สุดท้ายเขาก็ยอมเปิดปาก

‘จากแม่น้ำยารูก้า ขี่ม้าออกจากเมืองดิลลิงเงินไปทางตะวันออกราว ๆ หนึ่งวันจะเจอโรงเลื่อยไม้ เราปะทะกับพวกนิลฟ์การ์ดที่นั่น พวกมันพยายามใช้แพถอยทัพข้ามไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำ…’

เออร์สกินและโอเซียนโน้มตัวลงเหนือร่างนายจ่าผู้บาดเจ็บราวกับเป็นนกแร้งที่หิวโหย

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

บทที่ 9

เด็ตลาฟพาเรจิสไปนั่งที่โต๊ะ เขามองไปรอบ ๆ ห้องและเดินไปที่ประตูห้องใต้ดิน

‘ไม่คิดหน้าคิดหลังบ้างเลย’ เขากล่าวกับสหายแวมไพร์

‘ข้ารู้’

‘ไม่ต้องพูดอีกนะว่าเจ้าต้องการเวลา เจ้ารู้ว่าควรต้องทำอะไร’

‘ข้ารู้’

เปลวไฟในเตาผิงมอดดับลง ภายในกระท่อมร้างถูกความมืดมิดเข้าปกคลุม เนริสนั่งลงที่โต๊ะและจิบเหล้าผสมแมนเดรก เรจิสนวดคลึงขมับที่ฟกช้ำจากการเสียหลักล้ม

‘เจ้าบอกว่าอยากให้เราช่วย’

‘ใช่’

‘ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีเงื่อนไขอยู่อย่างเดียว: ห้ามมีความลับต่อกัน ถึงเวลาต้องพูดความจริงแล้ว ช่วยเล่าออกมาให้หมดและเล่าให้ชัดเจนที่สุดด้วย’

‘ความจริงมันน่าเบื่อนะ เรจิส’ นางถอนหายใจ ‘ตรงไหนสักแห่งใกล้ ๆ เมืองดิลลิงเงินมีหีบใส่สมบัติที่พวกเราหยิบฉวยมาระหว่างทำสงคราม อาร์โนลต์…ชื่อของนายจ่าน่ะ เขาซ่อนมันไว้เพื่อความปลอดภัยจนกว่าสงครามจะจบลง โชคร้ายที่เขาเจ็บหนักจากการสู้รบในศึกสุดท้าย พวกเราเลยไปพาเขาออกมาจากโรงพยาบาลสนาม เขาจะได้ไม่ต้องนอนหนาวตายอย่างน่าอนาถอยู่ที่นั่น’

‘และเพื่อให้เขาบอกที่ซ่อนสมบัติด้วย’

เนริสนิ่งเงียบ เรจิสผายมืออย่างสุภาพ

‘ขออภัยด้วย แต่ข้าไม่เชื่อ’

‘เจ้าก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเจ้าไม่เดินทางมากับเราด้วย เออร์สกินกับโอเซียน… ที่เจ้าเห็นน่ะ เจ้าต้องเห็นจริง ๆ ว่าพวกเขาเป็นคนแบบไหน’

‘แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเป็นคนแบบไหนกัน?’

‘ข้าสนใจแต่เรื่องเงินอย่างเดียว ข้าไม่ได้อยากให้เขาตาย’

‘ช่างมีคุณธรรมจริง ๆ’

‘เรื่องคุณธรรมคงต้องยกให้เจ้า เรจิส อย่าแย้งข้าเลย ข้าเห็นเจ้าช่วยดูแลอาร์โนลต์วันแล้ววันเล่า เจ้ายังช่วยข้าทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องช่วย เจ้าอยากรู้ความจริงใช่ไหม? ความจริงก็คือเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะตายหากพวกเราไม่ลงมือช่วย พวกเจ้าตามข้ามาเพราะถูกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีบังคับให้ทำ’

เด็ตลาฟเปิดประตูห้องใต้ดินตรงพื้นกระท่อม

‘นางพูดถูกแล้ว เรจิส’ เขาเอ่ยขึ้น ‘ไปจัดการให้เสร็จสักทีเถอะ’


*

ห้องใต้ดินทั้งอับชื้นและมืดสนิท เรจิสใช้ถ่านไม้วาดวงเวทลงบนพื้นให้สัญลักษณ์บรรจบกัน เขานำชามดินเหนียวซึ่งหยิบมาจากกระท่อมพักแรมที่เฟนคาร์นออกมาวางไว้ตรงกลางวงเวทนั้น

‘ทำไมเจ้าถึงช่วยเขาล่ะ? เด็ตลาฟ’

‘ช่วยใคร?’

‘ทหารเทเมเรียคนนั้นที่แม่น้ำอินา เจ้าจะทิ้งเขาไว้ก็ได้นี่’

‘ข้าจะไม่ช่วยก็ได้ แต่การช่วยชีวิตเขาไว้… ก็ดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำ’

วงเวทบนพื้นเรืองแสงขึ้น มนตราแห่งยุคโบราณทำให้อากาศวูบไหว เด็ตลาฟก้าวไปยืนเหนือชามใบนั้น เขาเฉือนข้อมือตัวเองด้วยการเคลื่อนไหวในชั่วพริบตา เลือดสด ๆ ไหลลงสู่ถ้วยดินเหนียวเบื้องล่าง

‘สำหรับข้า มันไม่ใช่เรื่องยากเลย’ เขาอธิบายต่อ ‘ข้ามีชีวิตอยู่มานานแล้ว ข้ามีความเชื่อฝังหัวเกี่ยวกับพวกมนุษย์และอารยธรรมจอมปลอมที่สร้างขึ้น พวกเขาแพร่กระจายไปทั่วโลกราวกับโรคระบาด และยังจัดการทุกอย่างได้แย่จนไม่น่าจะประสบความสำเร็จได้’

‘ตอนนี้เจ้าก็ยังเชื่อแบบนั้น’

‘ข้ายังเชื่อเหมือนเดิม’

‘แต่ก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป’

เด็ตลาฟกระตุก เขาขยับนิ้วที่รู้สึกชา

‘หากเจ้ามองเห็นอะไรบางอย่างในหมู่มนุษย์’ เขาตอบ ‘แต่เจ้าก็ยังช่วยเหลือพวกเขา มันช่าง…’

‘ไร้เดียงสา?’

‘ชวนให้พิศวงน่ะ’

เด็ตลาฟสมานรอยแผลและก้าวออกมาจากวงเวท เรจิสเข้าไปยืนแทนที่และหยิบถ้วยดินเหนียวขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง กระซิบถ้อยคาถาแล้วยกขึ้นดื่ม

เลือดสด ๆ ที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายทำให้เขาสั่นสะท้านจากภาวะเคลิ้มฝัน ประสาทสัมผัสของแวมไพร์ที่เคยถูกปิดกั้นเอาไว้ บัดนี้ได้ระเบิดออกแล้ว เขาได้ยินทุกสรรพเสียงที่แผ่วผิว เสียงลมหวนสาดซัดละอองหิมะข้ามเนินเขา เสียงระลอกคลื่นน้ำอันขุ่นมัวในแม่น้ำยารูก้า ไปจนถึงเสียงร้องและเสียงฝีเท้าม้าซึ่งดังมาจากที่ไกล ๆ


*

ม้าหนุ่มทำเสียงฮึดฮัด โซเรนเซนฟาดมันด้วยสายบังเหียน เขาต้องมั่นใจว่าตัวเองอยู่ในระยะที่ไกลพอจากกระท่อมหลังนั้น

รุ่งอรุณมาเยือนเมื่อเขาเดินทางถึงภูเขาเทอร์โลจ์ เงาของทิวสนทอดยาวทาบทับก้อนหินน้อยใหญ่ วิทเชอร์นั่งลงบนขอนไม้ล้มและดึงผ้าคลุมมาห่อร่าง

‘ซาบรินา’

‘เจ้าไม่รู้เลยหรือไงว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว? คิดว่าจอมเวทหญิงไม่ต้องนอนอย่างนั้นรึ?

‘ข้าเจอพวกแวมไพร์แล้ว’

เสียงถอนหายใจดังขึ้น

‘แล้วงานสำเร็จหรือยังล่ะ?’

‘ยัง แต่ข้าได้ยินพวกมันคุยกัน ข้ารู้ว่าพวกมันกำลังตามมา’

‘โซเรนเซนผู้น่ารัก… ถ้าข้าอยากได้นักสะกดรอย ข้าคงจ้างเขาไปแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าเป็นวิทเชอร์เสียอีก’

‘ข้าเป็นวิทเชอร์ แต่ข้าไม่ได้โง่ เจ้าแวมไพร์ผมเทาที่ชื่อเรจิส… ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะช่วยสงเคราะห์ฆ่ามันให้เอาบุญ แต่มันก็ไม่ยอมกลับลงหลุม แถมยังสะกดจิตพวกทหารตรงแม่น้ำยารูก้าด้วย’

‘เจ้าจะต่อรองอะไรอีก?’

‘ข้าอยากให้ช่วย’

จอมเวทหญิงหัวเราะเบา ๆ

‘โชคดีนะที่ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว’

มีแสงสว่างวาบ ตามมาด้วยประตูมิติที่เปิดขึ้นไม่ไกลนัก พลังงานไหลออกมาจากพายุหมุนแห่งพลังโกลาหลและเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นอาวุธ รูปร่างของมันปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ และถูกเสริมด้วยความร้อนระอุจนกระทั่งกลายสภาพเป็นวัตถุในที่สุด มีดสั้นด้ามงามหล่นลงท่ามกลางพื้นหิมะ

โซเรนเซนหยิบมันขึ้นมาแล้วลูบไล้นิ้วมือไปตามอักษรรูน

‘จะให้ข้าเอาไปใช้ทำอะไร? เหลาไม้รึ?

‘มันเป็นมีดลงอาคม จะแผลงฤทธิ์เมื่อได้สัมผัสกับผิวหนังของแวมไพร์ ข้าสร้างมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมดด้วยคาถาไม่ได้ แต่สิ่งที่ข้าฝังลงไปมีดเล่มนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว’

‘เจ้าแน่ใจนะว่ามันใช้งานได้?’

‘ไม่ใช่ข้าหรอกที่มั่นใจ วิลเกฟอตซ์ที่สร้างคาถานี้ต่างหาก เขาฉลาดเหลือร้ายเลยล่ะ การจะสร้างคาถาขึ้นมาใหม่เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก แค่การใช้เวทมนตร์อาบใบมีดอย่างเดียวก็กินเวลานานเป็นสัปดาห์แล้ว ใช้มันให้ฉลาดล่ะ เพราะเจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว’

‘ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่ามีแวมไพร์สองตน’

‘ใช่แล้วที่รัก แต่เจ้าเป็น…’

โซเรนเซนถอนหายใจ เขาผุดลุกขึ้นมาจากขอนไม้แล้วเหน็บมีดสั้นไว้ใต้เข็มขัด

‘...เป็นวิทเชอร์’

‘และเจ้าคงมีวิธีจัดการได้…’ นางเว้นช่วงเล็กน้อย ‘ใช่ไหม?’

โซเรนเซนขึ้นม้า เขามองไปตามรอยเลื่อนหิมะที่ทอดยาวไปทางตะวันตก

‘แล้วข้ามีทางเลือกอื่นไหมล่ะ?’

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

 

📜 อ่าน Part 4: บทที่ 10-12 (ตอนจบ)

 

ชื่อตัวละครเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ

เรจิส = Regis / เด็ตลาฟ = Dettlaff / เนริส = Néris / เออร์สกิน = Erskine / โอเซียน = Osyan / อาร์โนลต์ = Arnault / โซเรนเซน = Sorensen / ซาบรินา = Sabrina / วิลเกฟอตซ์ = Vilgefortz

ชื่อเฉพาะอื่น ๆ

เมืองดิลลิงเงิน = Dillingen / แม่น้ำยารูก้า = Yaruga / ป้อมปราการวิดอร์ = Vidor / แม่น้ำอินา = Ina / เฟนคาร์น = Fen Carn / ภูเขาเทอร์โลจ์ = Turlough Heights

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.