สำนักแมนติคอร์ (The Witcher: The Manticore School)

The Witcher: The Manticore School เป็นเนื้อเรื่องเสริมของบอร์ดเกม The Witcher Role-Playing Game ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง R. Talsorian Games และ CD Projekt Red ได้เผยแพร่ให้แฟนได้อ่านกันโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เรื่องราวของสำนักแมนติคอร์เกิดขึ้นภายหลังการล่มสลายของภาคีแห่งวิทเชอร์ ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งสำนักต่าง ๆ ขึ้นมา วิทเชอร์กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ได้แยกตัวออกมาจากกลุ่มของ Ivar Evil Eye ผู้ก่อตั้งสำนักอสรพิษ และข้ามทะเลทรายโครัธไปยังดินแดนทางตะวันออกของมหาทวีปอย่างอาณาจักรเซอร์ริเคเนีย

สามารถดาวน์โหลดต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ rtalsoriangames.com

เนื้อเรื่องโดย Cody Pondsmith และ James Hutt
ภาพประกอบโดย Bogna Gawronska และ Marek Madej
แปลไทยโดย อาอี๊จับจอย

 

 

The Witcher: The Manticore School

 

ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิทเชอร์ที่อยู่อีกฟากของเทือกเขาเทียร์โทแคร์ พวกเขาไม่ข้องแวะกับวิทเชอร์ในฝั่งตะวันตกของมหาทวีปและไม่สนใจภารกิจของพวกเรา แม้ว่าการกลายพันธุ์จะทำให้พวกเขามีความสามารถคล้ายคลึงกับเรา แต่ข้าก็ได้ยินมาว่าพวกเขารับงานที่แตกต่างออกไป ดูเป็นผู้พิทักษ์มากกว่านักล่า

— เออร์แลนด์แห่งลาร์วิค วิทเชอร์ผู้ก่อตั้งสำนักกริฟฟิน

 

ผู้คนบนมหาทวีปล้วนมองว่าการข้ามไปยังอีกฝั่งของเทือกเขาเทียร์โทแคร์นั้นเป็นการเดินทางที่สิ้นคิด ช่องเขาที่มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งล้วนเต็มไปด้วยภยันตรายเว้นแต่ในบางฤดูเท่านั้น และยังมีพวกสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่เต็มไปหมด อีกฟากของทิวเขาคือทะเลทรายโครัธซึ่งมีแต่ผืนทรายร้อนระอุทอดยาวสุดลูกหูลูกตา กับอสูรร้ายกระหายเลือดและอันตรายอื่น ๆ อีกมากมาย แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป

หลายศตวรรษก่อน เส้นทางนี้คือทางสัญจรหลักของเหล่าพ่อค้าชาวเซอร์ริเคเนียเพื่อลำเลียงสินค้าไปยังชายฝั่งทางตะวันตกของมหาทวีป ก่อนที่จะมีการค้นพบเส้นทางเดินเรือระหว่างเซอร์ริเคเนียกับชายฝั่งทางตะวันตก มีกองคาราวานจากเซอร์ริเคเนียเดินทางข้ามทะเลทรายโครัธอยู่เป็นประจำ พวกเขาต้องพบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงและคิดหาหนทางที่ช่วยให้เกิดความปลอดภัยขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่ช่วยให้มันเป็นไปได้ก็คือเหล่าวิทเชอร์แห่งสำนักแมนติคอร์ ที่ชาวเซอร์ริเคเนียเรียกพวกเขาว่า “อัลคาติล” [1]

 

ก่อตั้งสำนัก

สำนักแมนติคอร์ถูกก่อตั้งหลังจากสำนักอสรพิษถือกำเนิดขึ้นได้ไม่นาน โดยวิทเชอร์กลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีเป้าหมายอันแน่วแน่เหมือนดังพี่น้องของพวกเขา ผู้นำกลุ่มมีนามว่า "อิวาน" ได้ออกมาจากป้อมปราการแฮร์นคาดูคพร้อมกับไอร์วาร์ตาปีศาจ เมื่อการแตกหักครั้งที่สองได้ก่อกำเนิดสำนักอสรพิษขึ้น อิวานไม่เคยสนใจอาร์นากาดหรือปรัชญาอันโหดร้ายป่าเถื่อนของเขา เมื่อความขัดแย้งระหว่างอาร์นากาดและไอวาร์มาถึงจุดแตกหัก อิวานก็ไม่ลังเลที่จะจากไป

แต่ในระหว่างที่เหล่าวิทเชอร์กลุ่มที่จะกลายเป็นสำนักอสรพิษกำลังเสาะหาบ้านหลังใหม่ อิวานก็ได้ล่วงรู้ถึงคำพยากรณ์อันดำมืดของไอวาร์และปณิธานอันน่าสยดสยองของเขา วิทเชอร์หนุ่มไม่ได้มีความทะเยอทะยานหรือสำนึกในหน้าที่แบบเดียวกับแกรนด์มาสเตอร์สำนักอสรพิษ ขณะที่วิทเชอร์คนอื่น ๆ กำลังปีนป่ายขึ้นเทือกเขาเทียร์โทแคร์เพื่อค้นหาป้อมปราการตามข่าวลือที่อาจใช้เป็นที่พำนักได้ อิวานก็รวบรวมพรรคพวกที่คลางแคลงใจกับแนวทางของไอวาร์และแยกตัวออกมาจากกลุ่มวิทเชอร์อสรพิษ

วิทเชอร์กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้พากันเดินทางไปยังสถานที่ที่พวกเขาพอจะหางานทำได้ นั่นคือช่องเขาเอลสเกอร์เดกที่ตัดผ่านเทือกเขาเทียร์โทแคร์ ที่ริมขอบทะเลทรายร้อนระอุ เหล่าวิทเชอร์ได้เสนอบริการอารักขาให้กับกองคาราวานสินค้าที่กำลังหาทางข้ามทะเลทรายโครัธ งานคุ้มกันของพวกเขาเป็นที่ต้องการอย่างมาก เหล่าวิทเชอร์จึงเริ่มเดินทางข้ามทะเลทรายโครัธ คอยปกป้องกองคาราวานจากอันตรายนานัปการในดินแดนเปลี่ยวร้างอันกว้างใหญ่ การเดินทางทำให้อิวานและเหล่าพี่น้องวิทเชอร์ได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง จากนักล่าผู้โดดเดี่ยวไปสู่การเป็นผู้อารักขาที่เปี่ยมไปด้วยทักษะ

วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลให้อิวานและพี่น้องวิทเชอร์ได้ก่อตั้งสำนักแมนติคอร์ และยังได้การยอมรับนับถือจากราชวงศ์แห่งเซอร์ริเคเนียในเวลาต่อมา ขณะที่อิวานและเหล่าวิทเชอร์กำลังเดินทางข้ามทะเลทรายโครัธ พวกเขาก็เห็นกลุ่มผู้เคราะห์ร้ายวิ่งหนีตายออกมาจากกองคาราวานที่ถูกโจมตี อิวานและเหล่าวิทเชอร์จำสัญลักษณ์ของราชวงศ์เซอร์ริเคเนียได้ พวกเขาจึงแกะรอยและพบผู้รอดชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งกำลังดิ้นรนเอาตัวรอดจากแมนติคอร์สองตัวที่กำลังอยู่ในช่วงจับคู่ผสมพันธุ์ เมื่อสบโอกาสเหล่าวิทเชอร์ก็ชักดาบเงินออกมาเผชิญหน้ากับแมนติคอร์ สังหารมันทั้งคู่และปกป้องผู้รอดชีวิตเอาไว้ได้ ต่อมาอิวานจึงทราบว่ากองคาราวานกำลังเดินทางไปยังแดนเหนือเพื่อพบปะกับเหล่าผู้วิเศษแห่งอาเรทูซา และมี "นาสิรา ไฟซาน" [2] จอมเวทหญิงที่ปรึกษาแห่งราชสำนักของราชินีเซอร์ริเคเนียร่วมทางมาด้วย

นาสิราเคยได้ยินเรื่องราวของเหล่านักรบต่างด้าวที่คอยนำทางกองคาราวานข้ามทะเลทรายโครัธ แต่การได้พบเจอพวกเขากับตาตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จอมเวทหญิงเสนอค่าตอบแทนมหาศาลแก่อิวานและเหล่าสหายวิทเชอร์ พร้อมกับรับปากว่าจะพาไปเข้าเฝ้าองค์ราชินีหากพวกเขาสามารถพาเธอเดินทางกลับไปยังเซอร์ริเคเนียได้อย่างปลอดภัย แน่นอนว่าพวกวิทเชอร์ตอบตกลง

อิวานและเหล่าวิทเชอร์เดินทางข้ามทะเลทรายกลับมาพร้อมกับนาสิรา และตรงไปยังเมืองหลวงของเซอร์ริเคเนีย ซึ่งพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเกินคาด มีการถวายรายงานองค์ราชินีว่าพวกเขาคือ “อัลคาติล” หรือ “นักล่าสังหาร” และอธิบายอย่างละเอียดถึงงานอารักขาของพวกเขา ราชินีทรงสนพระทัยและเสนองานให้ แต่อิวานและพี่น้องของเขาจะต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์เซอร์ริเคเนียเท่านั้น โดยการอารักขากองคาราวานของเหล่าพ่อค้าวาณิชและคณะทูต แล้วอาณาจักรเซอร์นิเคเนียจะตอบแทนพวกเขาด้วยการสร้างป้อมปราการสองฟากฝั่งของทะเลทรายโครัธ และช่วยพวกเขาก่อตั้งสำนักวิทเชอร์ขึ้นมา

อิวานและพี่น้องวิทเชอร์ตอบตกลงและกำหนดเส้นทางขึ้นมา ปราสาทสองหลังถูกสร้างขึ้นในแต่ละฝั่งของทะเลทรายโครัธ: ป้อมปราการเบเฮลต์นาร์ทางฝั่งตะวันตก และป้อมปราการบิอัลซุฟอัลซาเรียทางฝั่งตะวันออก นาสิราทำงานอย่างใกล้ชิดกับอิวานเพื่อสร้างกระบวนการกลายพันธุ์ของวิทเชอร์ขึ้นมาใหม่ แม้ว่าอิวานจะพยายามสงวนรายละเอียดให้คลุมเครือก็ตาม นักรบผู้ยิ่งใหญ่จากทั่วทั้งดินแดนตะวันออกถูกเชิญมาสอนวิชาให้แก่วิทเชอร์ฝึกหัดรุ่นใหม่ การฝึกนี้มุ่งเน้นไปที่การป้องกันและการใช้ยาเพิ่มพลังขนานต่าง ๆ รวมไปถึงโล่ชนิดพิเศษที่ทำจากโลหะเงินและเมทีโอไรต์

หลังจากนั้นไม่นาน สำนักแมนติคอร์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นก็เป็นที่รู้จักไปทั่วเซอร์ริเคเนีย ในฐานะผู้อารักขาที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อช่วยให้เดินทางข้ามทะเลทรายโครัธได้อย่างปลอดภัยแลกกับเงินค่าธรรมเนียม อิวานอยู่ที่ป้อมปราการบิอัลซุฟอัลซาเรียกับนาสิราและเหล่าวิทเชอร์ฝึกหัด ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนชื่อเป็น "ไอหมัด อาซิม" [3] และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นวิทเชอร์ส่วนพระองค์ของราชินี

 

การล่มสลาย

การล่มสลายของสำนักแมนติคอร์เกิดขึ้นในปี 1146 หลังจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า "วันแห่งเพลิงผลาญ" ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1146 ราชินีเซอร์ริเคเนียทรงประกาศตั้งขบวนคาราวานหลวงข้ามทะเลทรายโครัธ เพื่อจัดพิธีอภิเษกสมรสให้พระโอรสกับเจ้าหญิงแห่งเมททินา เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองอาณาจักรให้แน่นแฟ้น เจ้าชายจะออกเดินทางไปพร้อมกับข้าราชบริพารส่วนพระองค์ทั้งหมด รวมไปถึงสมาชิกราชวงศ์อีกหลายพระองค์ ก่อนออกเดินทางวิทเชอร์สำนักแมนติคอร์เกือบทั้งหมดถูกเรียกตัวมาทำหน้าที่คุ้มกันกองคาราวานหลวงนี้ แม้แต่ไอหมัดเองก็ยังเดินทางไปด้วยทั้ง ๆ ที่เขามีอายุมากแล้ว

โชคร้ายที่เหล่าวิทเชอร์ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเขาเหยียบย่างเข้าสู่เงาของเทือกเขาอัคคี ในตอนเช้าตรู่กองคาราวานหลวงก็สว่างไสวไปด้วยแสงเพลิงโชติช่วงจากทิศตะวันตก เอเลเมนตาธาตุไฟตัวใหญ่มหึมาสูงเกือบ 20 เมตรพุ่งลงมาจากเทือกเขาอัคคีและตรงปรี่ไปยังกองคาราวาน เหล่าวิทเชอร์รวบรวมกำลังพลและเข้าปะทะกับอสุรกาย แต่ไม่มีใครขนปืนใหญ่ติดกองคาราวานมาด้วย พวกเขาจึงต้องเผชิญหน้ากับภัยอันใหญ่หลวงที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจคาดคิดและเตรียมรับมือได้ วิทเชอร์สำนักแมนติคอร์เกือบทั้งหมดต้องสังเวยชีวิตในการต่อสู้ ราชวงศ์เซอร์ริเคเนียสูญเสียสมาชิกไปครึ่งหนึ่งพร้อมกับข้าราชสำนักจำนวนหนึ่งในสาม ผลพวงของวันแห่งเพลิงผลาญทำให้เซอร์ริเคเนียทอดทิ้งวิทเชอร์ที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด และหันไปทุ่มกำลังเป็นสองเท่าเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือสู่ชายฝั่งตะวันตกที่ปลอดภัยมากกว่า วิทเชอร์กลุ่มสุดท้ายถูกทิ้งให้ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพตัวเอง และเข้าสู่ยุคตกต่ำหลังจากที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์เซอร์ริเคเนีย

ราว ๆ ปี 1272 วิทเชอร์สำนักแมนติคอร์กลุ่มเล็ก ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ได้กลับไปรับงานล่าอสุรกายอีกครั้ง พวกเขาใช้ชีวิตช่วงฤดูหนาวในป้อมปราการฝั่งตะวันตกที่ทรุดโทรม และหวนระลึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่ล่วงเลยไปนานแสนนาน

 

เส้นทางของวิทเชอร์สำนักแมนติคอร์

วิทเชอร์สำนักแมนติคอร์ไม่ได้เข้าร่วมแบ่งเขตรับงานตามข้อตกลงระหว่างสำนักกริฟฟิน สำนักหมาป่า สำนักแมว สำนักหมี และสำนักอสรพิษ เส้นทางของพวกเขาลัดเลาะไปตามทะเลทรายโครัธมากกว่าที่จะข้ามไปทางตะวันตกของมหาทวีป พวกเขาไม่ได้เป็นวีรบุรุษในสายตาของชาวเซอร์ริเคเนียอีกต่อไป วิทเชอร์สำนักแมนติคอร์หลายคนก็ออกเดินทางไปอย่างไร้จุดหมาย

 

การกลายพันธุ์ของสำนักแมนติคอร์

กระบวนการกลายพันธุ์ของวิทเชอร์สำนักแมนติคอร์วางรากฐานอยู่บนวิธีการที่จอมเวทออลซูร์คิดค้นขึ้นเมื่อนานมาแล้ว อย่างไรก็ตามพวกเขาได้มีการปรับเปลี่ยนบางอย่างไปเล็กน้อย เนื่องจากอิวานไม่ได้มีความชำนาญเรื่องกระบวนการกลายพันธุ์มากนัก และเขาถูกบังคับให้ต้องใช้วิธีวิศวกรรมย้อนกลับภายใต้การทดลองของจอมเวทหญิงนาสิรา ไฟซาน

นาสิราและจอมเวทเซอร์ริเคเนียคนอื่น ๆ ได้พยายามทำการทดลองเพิ่มเติมตามการศึกษาและวัฒนธรรมของพวกเขา ณ จุดหนึ่งได้มีการทดลองใช้สารกระตุ้นการกลายพันธุ์กับเด็ก ๆ ที่จะกลายเป็นนักรบหญิงอันเลื่องชื่อของเซอร์ริเคเนีย แต่การทดลองเบื้องต้นก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

 

ป้อมปราการแฝด

เช่นเดียวกับชื่อเรียกของพวกเขาที่เพี้ยนสำเนียงไปตามกาลเวลา ไม่ต่างอะไรกับชื่อป้อมปราการอื่น ๆ ของเหล่าวิทเชอร์ ป้อมปราการคู่แฝดของสำนักแมนติคอร์ก็มาจากภาษิตหนึ่งในภาษาเซอร์ริเคเนียที่ว่า “เบเฮลท์ นาร์ บิอัลซุฟ อัลซาเรีย”

“เบเฮลท์ นาร์” [4] แปลว่า “ในอาภรณ์แห่งเพลิง” และ “บิอัลซุฟ อัลซาเรีย” [5] แปลว่า “พร้อมกับดาบอันฉับไว”

 

สายคาดไหล่สำนักแมนติคอร์

นอกจากดาบและโล่แล้ว วิทเชอร์สำนักแมนติคอร์ยังเป็นที่จดจำได้จากสายคาดไหล่ที่สะพายไขว้ทับกัน ซึ่งใช้บรรจุขวดยาเพิ่มพลังได้หลายขวด เพื่อใช้ระหว่างการต่อสู้กับบรรดาสัตว์ประหลาดในทะเลทรายโครัธ

 

โล่วิทเชอร์

วิทเชอร์สำนักแมนติคอร์ใช้โล่แบบพิเศษที่ทำมาจากโลหะเมทิโอไรต์และเคลือบด้วยเงิน โล่ชนิดนี้ใช้เพื่อป้องกันตัวเองและผู้อื่นในระหว่างการต่อสู้ และยังสามารถใช้ทุบสัตว์ประหลาดได้อีกด้วย

 

ทักษะประจำสำนักแมนติคอร์ : ผู้เชี่ยวชาญการใช้โล่

วิทเชอร์สำนักแมนติคอร์ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน ดังนั้นพวกเขาจึงถูกฝึกให้มีปฏิกิริยาตอบสนองเพื่อการนี้ เหล่าวิทเชอร์จะถูกฝึกฝนอย่างเข้มข้นเพื่อใช้โล่ชนิดพิเศษที่ถูกสร้างโดยปรมาจารย์ช่างฝีมือแห่งเบเฮลท์นาร์ พวกเขาสามารถหยิบโล่ออกมาตั้งรับหรือปัดป้องการโจมตีได้ทุกเมื่อ และยังใช้มือข้างที่ถือโล่ร่ายคาถาวิทเชอร์ รวมไปถึงหยิบระเบิดหรือหยิบยาเพิ่มพลังออกมาใช้ได้อีกด้วย

 

แผนลวงกลางทะเลทราย

เป็นที่รู้กันว่าเอเลเมนตาพเนจรสามารถกำเนิดขึ้นเองได้ในบริเวณที่มีแหล่งพลังงานเวท แต่เอเลเมนตาที่มีขนาดใหญ่โตดังที่โจมตีวิทเชอร์สำนักแมนติคอร์นั้นยากที่จะเกิดขึ้นเองโดยปราศจากฝีมือของพวกจอมเวท ลือกันว่าเหตุโจมตีในวันแห่งเพลิงผลาญนั้นถูกจัดฉากขึ้นโดยศัตรูของราชวงศ์หรืออาจเป็นศัตรูของสำนักแมนติคอร์

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

ชื่อเฉพาะที่เป็นภาษาเซอร์ริเคเนียมีที่มาจากภาษาอาหรับ ผู้แปลจึงถอดเป็นภาษาไทยโดยอ้างอิงการออกเสียงจากภาษาอาหรับ

[1] อัลคาติล (Alqatil) มาจาก القاتل (alqatil; อัลคาติล) แปลว่า ผู้ล่า, นักฆ่า, นักลอบสังหาร
[2] นาสิรา ไฟซาน (Nasira Faizan) มาจาก ناصرة (nasira; นาสิรา) แปลว่า ผู้ช่วยเหลือ และ فائزن (faizan; ไฟซาน) แปลว่า ความสำเร็จ
[3] ไอหมัด อาซิม (Imad Asem) มาจาก عماد (imad, aimad; ไอหมัด) แปลว่า ผู้ค้ำจุน และ عاصم (asem, asim; อาซิม) แปลว่า ผู้ปกป้อง
[4] เบเฮลท์ นาร์ (Behelt Nar) มาจาก في حلة النار (fi hulla alnaar; ฟีฮุลล์ อัลนาร์) แปลว่า ในอาภรณ์แห่งเพลิง (in a suit of fire)
[5] บิอัลซุฟ อัลซาเรีย (Bialsuf Alsarea) มาจาก بالسيوف السريعة (bialsuyuuf alsariea; บีซูยุฟ อัลซารีย์) แปลว่า พร้อมกับดาบอันฉับไว (with swifty swords)


ชื่อเฉพาะอื่น ๆ

Alzur = ออลซูร์ / Arnaghad = อาร์นากาด / bandolier = สายคาดไหล่ / Day of Fire = วันแห่งเพลิงผลาญ / Elskerdeg Pass = ช่องเขาเอลสเกอร์เดก / Erland of Larvik = เออร์แลนด์แห่งลาร์วิค /  Fiery Mountains = เทือกเขาอัคคี / Fire Elemental = เอเลเมนตาธาตุไฟ / Haern Caduch = แฮร์น คาดูค / Ivar Evil Eye = ไอวาร์ตาปีศาจ / Iwan = อิวาน / Korath Desert = ทะเลทรายโครัธ / Tir Tochair = เทียร์โทแคร์ / Zerrikania = เซอร์ริเคเนีย

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.