สรุปเนื้อเรื่อง The Witcher ซีซัน 2 ตอนที่ 4 Redanian Intelligence

Season 2

Episode 4 สายลับเรเดเนีย (Redanian Intelligence)

เส้นเรื่องของเกรอลท์และซีรี

เกรอลท์พาซีรีไปฝึกบนเส้นทางมรณะ (The Killer) ที่ต้องใช้ทั้งพละกำลัง ความคล่องแคล่ว และการตัดสินใจ เพื่อข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ที่มีอยู่ตลอดทั้งเส้นทาง ตอนนั้นเองทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงคำรามมาแต่ไกล ซีรีออกวิ่งแต่พลาดสะดุดจนล้มกลิ้ง เด็กสาวได้แผลถลอกบนใบหน้า และได้พบกับสตรีแปลกหน้ากลางป่า เธอแนะตัวว่าเป็นจอมเวทหญิงชื่อ ทริส เมริโกลด์ และใช้เวทมนตร์รักษาแผลให้ซีรี เกรอลท์โผล่ออกมาทักทายเธอพร้อมกับแบกหมูป่าตัวใหญ่มาด้วย แล้วทั้งสามกลับไปยังปราสาทแคร์มอร์เฮนพร้อมกัน

บนโต๊ะอาหารซีรีได้ฟังทริสเล่าเรื่องที่ทำให้เธอได้พบกับเกรอลท์ เขาช่วยถอนคำสาปสตริกาให้องค์หญิงแห่งเทเมเรียได้สำเร็จ แต่ตัวเองก็บาดเจ็บสาหัสจนเธอต้องรักษาเขาอยู่นาน หลังจากนั้นเวสิเมียร์ก็เชิญทริสให้มาเยือนแคร์มอร์เฮนเพื่อแสดงความขอบคุณ แต่ในครั้งนี้พวกวิทเชอร์เชิญจอมเวทหญิงมาเพื่อให้เธอช่วยดูแลซีรีโดยเฉพาะ

เกรอลท์กับทริสนั่งคุยกันตามลำพังจนดึก เขาเอ่ยถึงปัญหาที่เด็กสาวยังคงไม่ยอมเปิดใจและไม่ยอมเล่าความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เธอหลบหนีออกมาจากซินทรา ทริสตั้งสมมติฐานว่าซีรีอาจสืบทอดพลังมาจากองค์หญิงพาเว็ตตาผู้เป็นแม่ แต่พลังของเธออาจรุนแรงยิ่งกว่า เมื่อจอมเวทหญิงถามถึงเหตุการณ์ที่ซีรีแสดงพลังเคออสออกมาเป็นครั้งแรก เกรอลท์ก็บอกว่าเธอไม่เคยใช้พลังเวทใด ๆ ได้เลยแม้แต่คาถาง่าย ๆ ของพวกวิทเชอร์ มีแต่เรื่องที่เธอเห็นภาพนิมิตเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ กับเรื่องที่เธอรู้ตำแหน่งของเลเชนกลายพันธุ์ที่ยึดร่างเอสเกลราวกับเป็นเข็มทิศที่ถูกแรงดึงดูดจากแม่เหล็ก และยังมีมายเรียพ็อดอีกตัวที่ตามล่าเธออย่างไม่ลดละ เกรอลท์สงสัยว่ามันอาจเป็นฝีมือของจอมเวทนอกคอกบางคน ทริสจึงเก็บเนื้อเยื่อของสัตว์ประหลาดไปทดสอบเพื่อพิสูจน์ในผลในวันรุ่งขึ้น

เกรอลท์และทริสออกจากห้องทดลองใต้ดิน เธอแสดงความเสียใจเรื่องการตายของเอสเกล เกรอลท์จึงแสดงความเสียใจกับทริสที่ต้องสูญเสียเหล่าจอมเวทไปในศึกซ็อดเดน ทริสเอ่ยชื่อพวกเขาทีละคน แต่เกรอลท์ไม่อยากได้ยินชื่อของเยนเนเฟอร์จึงขอร้องให้เธอหยุด ทริสสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเกรอลท์ และความเจ็บปวดของเขาก็ทำให้เธอตื่นเต้นที่ได้กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง ทริสขอร้องเกรอลท์ให้ใช้เวลาในค่ำคืนนี้อยู่กับเธอ แต่วิทเชอร์ก็ปฏิเสธ

เช้าวันรุ่งขึ้นซีรีที่ประทับใจความงามของทริสก็นึกอยากจะแต่งตัวให้สวยแบบผู้หญิงขึ้นมาบ้าง แต่แลมเบิร์ทและโคเอนกลับล้อเลียนจนเธอโกรธและเดินหนีออกไป เกรอลท์ที่เดินสวนเข้ามาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทริสเลยต่อว่าพวกวิทเชอร์ที่ดูแลซีรีแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่มีแม้กระทั่งของใช้ส่วนตัวให้เธอ และยังไม่สนใจความรู้สึกของเด็กสาวเลยสักนิด แล้วจอมเวทหญิงก็เดินตามซีรีไปที่ห้องทดลองใต้ดิน

เกรอลท์เดินตามมาสมทบพร้อมกับขนมปังก้อนหนึ่งที่พวกวิทเชอร์ฝากมาให้ซีรีแทนคำขอโทษแบบอ้อม ๆ เนื้อเยื่อที่ทริสเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนพร้อมให้แปลผลแล้ว และผลที่ออกมาคือสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้ถูกทำให้กลายพันธุ์โดยการเล่นแร่แปรธาตุของพวกจอมเวท แต่กลับมีผลึกสีดำของแร่สเตลลาไซต์ (stellacite) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของหินโมโนลิธ แขนของเลเชนกลายพันธุ์ที่ถูกเอสเกลตัดมาก็มีผลึกที่ว่านี้เหมือนกัน แต่ทันทีที่ซีรีสัมผัสผงสเตลลาไซต์ เธอก็เกิดนิมิตประหลาดขึ้นทันที

“Daughter of Chaos belongs to us. Turn your backs. Join the procession. There is only death here.”

บุตรีแห่งพลังโกลาหลเป็นของเรา จงหันหลังกลับไป แล้วเข้าร่วมขบวน ที่แห่งนี้มีเพียงแต่ความตาย

ซีรีฟื้นขึ้นมาในห้องนอนโดยมีทริสและเกรอลท์เฝ้าอยู่ข้าง ๆ เตียง ในที่สุดเธอก็ยอมเล่าเรื่องที่เธอหลบหนีออกมาจากซินทราให้ทริสและเกรอลท์ฟัง เสียงกรีดร้องของเธอทำให้เสาหินโมโนลิธแตกร้าวและหักโค่นลงมาขวางทางทหารนิลฟ์การ์ดเอาไว้ ดูเหมือนว่าเธอจะมีบางอย่างที่เชื่อมต่อกับเสาหินโมโนลิธ เกรอลท์จึงอยากเดินทางไปพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง

เกรอลท์เตรียมสัมภาระเพื่อออกเดินทาง ทริสตามมาขอโทษเรื่องเมื่อคืน แต่วิทเชอร์ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร และยังบอกว่าทริสก็เป็นหนึ่งในคนสำคัญสำหรับเขา ทริสเสนอว่าจะเปิดประตูมิติส่งเกรอลท์ไปหาเพื่อนจอมเวทของเธอที่กำลังศึกษาหินโมโนลิธในซินทรา แม้เกรอลท์จะขยาดการเดินทางด้วยวิธีนี้ แต่เขาก็อยากหาทางช่วยซีรีให้เร็วที่สุด ซึ่งปลายทางของประตูมิตินั้นก็คือห้องทำงานของอิสเทรดด์ในเมืองซินทรา

เวสิเมียร์ไปเยี่ยมสุสานวิทเชอร์ในถ้ำหมาป่า ระหว่างทางกลับปราสาทเขาได้พบว่ามีดอกเฟนเวดด์ (feainnewedd) บานสะพรั่งในทุก ๆ ที่ซีรีได้รับบาดเจ็บจากการฝึก เขาจึงนำเรื่องนี้ไปบอกทริส แม้แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองแต่จอมเวทหญิงก็ยืนยันว่ามันคือดอกเฟนเวดด์จริง ๆ ดอกไม้ชนิดนี้จะงอกขึ้นมาจากผืนดินที่มีหยดเลือดเอลฟ์โบราณเท่านั้น เวสิเมียร์จึงมั่นใจว่าซีรีมีสายเลือดเอลฟ์โบราณไหลเวียนอยู่ในตัว และมันคือส่วนประกอบสำคัญในการสร้างสารกลายพันธุ์ที่จะช่วยสร้างวิทเชอร์รุ่นใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้ง

 

เส้นเรื่องของเยนเนเฟอร์

ที่เมืองกอร์ส เวเลน (Gors Velen) เมืองท่าของเทเมเรียซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับเกาะธาเนดด์ พวกทหารกำลังเดินหน้าจับกุมเหล่าเอลฟ์ในเมือง หลังจากมีข่าวแพร่สะพัดว่าพวกเอลฟ์หันไปร่วมมือกับนิลฟ์การ์ด เยนเนเฟอร์และคาเฮียร์กำลังโต้เถียงกันว่าควรจะหนีไปที่ไหน แต่ในตอนนั้นเองฝูงนกเวทมนตร์ก็บินมาโปรยใบปลิวไปทั่วเมือง เธอกับคาเฮียร์ถูกออกประกาศจับและมีเงินรางวัลค่าหัวสูงถึง 40,000 โอเร็น นั่นทำให้เยนเนเฟอร์เปลี่ยนใจหนีไปยังเมืองซินทราตามที่คาเฮียร์เสนอทันที

พอตกกลางคืนทั้งคู่ก็พยายามหาทางไปขึ้นเรือ แต่ก็ถูกทหารลาดตระเวนนายหนึ่งพบเข้า แม้จะเอาตัวรอดมาได้แต่การเดินไปตามถนนคงไม่ปลอดภัยอีกแล้ว คาเฮียร์จึงพาเยนเนเฟอร์หลบหนีไปตามท่อระบายน้ำใต้ดินแทน พวกเขาได้เจอกับเอลฟ์สองตนชื่อว่า บาเลียน (Ba’lian) และ เดอร์เมน (Dermain) ซึ่งกำลังหลบหนีทางการอยู่เช่นกัน เดอร์เมนที่เป็นใบ้จำหน้าทั้งคู่ได้จากประกาศจับจึงรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน เขาส่งภาษามือเล่าถึง แซนด์ไพเพอร์ (Sandpiper) บุรุษลึกลับที่คอยให้ความช่วยเหลือพวกเอลฟ์หลบหนีขึ้นเรือจากเมืองอ็อกเซนเฟิร์ต (Oxenfurt) ไปยังซินทรา พวกเอลฟ์รู้จักเครือข่ายเส้นทางท่อระบายน้ำใต้ดินเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของเอลฟ์ และพวกเขายังรู้ทางไปยังเมืองอ็อกเซนเฟิร์ตจากข้างล่างนี้ด้วย เยนเนเฟอร์กับคาเฮียร์จึงร่วมทางไปกับเอลฟ์ทั้งสอง โดยคาเฮียร์ให้สัญญาว่าจะตอบแทนพวกเขาเมื่อเดินทางไปถึงซินทรา

สิ่งหนึ่งที่พวกเอลฟ์ไม่รู้เกี่ยวกับท่อระบายน้ำก็คือ มันเป็นที่อยู่ของสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า ซูกูล (Zeugl) มันใช้หนวดเส้นมหึมาลากเอาตัวเดอร์เมนจมหายไปในน้ำครำ บาเลียนวิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ในขณะที่เยนเนเฟอร์กับคาเฮียร์ช่วยกันยื้อเดอร์เมนเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงของสัตว์ประหลาดได้ เยนเนเฟอร์ถูกมันดึงลงน้ำไปด้วยอีกคน คาเฮียร์จึงใช้คบเพลิงจี้ลงไปที่หนวดซูกูลจนช่วยเยนเนเฟอร์ออกมาได้ เยนเนเฟอร์โกรธจนแทบสติแตกและหลุดปากเรื่องที่เธอสูญเสียพลังออกมา ในตอนนั้นเองเธอก็เห็นบาเลียนที่มุมถนน จึงไล่ตามเขาไปยังที่ซ่อนตัวใต้โรงหล้าเพื่อตามไปต่อว่า พวกเอลฟ์บอกให้ทุกคนรออยู่ที่นี่จนกว่าคนจะออกจากร้านจนหมด หลังจากนั้นแซนด์ไพเพอร์จึงจะพาไปขึ้นเรือ

แท้จริงแล้วแซนด์ไพเพอร์ก็คือยาสเกียร์นั่นเอง เขามาเปิดการแสดงที่โรงเหล้าแห่งนี้เป็นประจำและแอบให้ความช่วยเหลือพวกเอลฟ์ไปด้วย พอถึงรุ่งเช้าเยนเนเฟอร์จึงเข้าไปคุยนักกวีและเล่าเรื่องที่เธอกำลังหลบหนีให้เขาฟัง ยาสเกียร์เข้าใจเหตุผลของเธอ เพราะเขาเองก็เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่พวกทหารมาตามจับตัวพวกเอลฟ์ถึงที่ใต้ต้นโอ๊คเบลโอเบริส (Bleobheris) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่แห่งมิตรภาพสำหรับทุกเผ่าพันธุ์ เขาจึงพยายามช่วยเหลือทุกคนเท่าที่จะทำได้

พอตกกลางคืนยาสเกียร์ก็พาพวกเอลฟ์ไปขึ้นเรือ แต่นายท่าจะขอตรวจเอกสารก่อน ยาสเกียร์พยายามแก้ปัญหาโดยใช้ชื่อเสียงของตัวเอง แต่พอถูกวิจารณ์ผลงานตรง ๆ เขาก็ตบะแตกและทำเสียเรื่องจนได้ เยนเนเฟอร์กำลังจะออกไปช่วยเขา แต่บาเลียนก็เสียสละตัวเองเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจพวกทหารยามจนทุกคนขึ้นเรือได้สำเร็จ ยาสเกียร์ตามไปตรวจดูความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายและบอกลาเยนเนเฟอร์ แต่หลังจากนั้นอึดใจเดียวเยนเนเฟอร์ก็ได้ยินเสียงเอะอะโครมครามดังมาจากท่าเรือ ยาสเกียร์หายตัวไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงซากลูทที่แตกพังยับเยิน

 

เส้นเรื่องของอาณาจักรเรเดเนีย

ราชาวิซิเมียร์ (King Vizimir II) กำลังหารือเป็นการส่วนตัวกับขุนนางคนสนิท แต่ดีคสตร้า (Sigismund Dijkstra) หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับก็ตามมาเปิดโปงและสังหารขุนนางทรยศทั้งสอง เขารายงานว่าแดนเหนือเริ่มผนึกกำลังกันจากความเกลียดชังเอลฟ์ แต่เรเดเนียก็ไม่ควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เนื่องจากยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างการชิงเอาอาณาจักรซินทรามาจากพวกนิลฟ์การ์ด ซึ่งเขาได้เตรียมการเอาไว้แล้ว หัวหน้าสายลับเริ่มแผนการด้วยการเดินไปที่ริมหน้าต่างและสื่อสารกับนกฮูกตัวหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด

ดีคสตร้าพยายามวิเคราะห์กลยุทธ์ที่จะใช้แทรกซึมเข้าไปยังซินทรา ดูราวกับคนเมาสุราที่ทะเลาะกับตัวเองต่อหน้านกฮูกตัวเดิม เขาเกือบจนปัญญาเนื่องจากแทบไม่มีใครในแดนเหนือรู้เรื่องราวของจักรพรรดิเอมียร์มาก่อน จึงไม่มีใครเข้าใจหรือคาดการณ์ได้ว่าเขาจะเดินหมากต่อไปอย่างไร จนกระทั่งนกฮูกตัวนั้นบอกให้เขาส่งเอลฟ์เข้าไปเป็นสายลับในเมืองซินทรา และเอลฟ์ที่ดีคสตร้าเลือกก็คือ ดาร่า (Dara) เขาถูกปล่อยตัวออกจากคุกและลงเรือไปยังซินทรา เรือลำเดียวกับที่เยนเนเฟอร์และคาเฮียร์โดยสารไปด้วย

 

พล็อตเรื่องที่แตกต่างระหว่างซีรีส์และนิยาย

  • ในนิยาย สารก่อการกลายพันธุ์ที่ใช้สร้างพวกวิทเชอร์ไม่มีส่วนผสมของเลือดเอลฟ์โบราณ แต่เป็นสูตรลับที่ถูกคิดค้นโดยจอมเวทออลซูร์ (Alzur) มีจอมเวทประจำสำนักวิทเชอร์ต่าง ๆ เพียงไม่กี่คนที่รู้สูตรนี้และสามารถปรุงมันขึ้นมาได้ ส่วนขั้นตอนในการสร้างวิทเชอร์ (Trial of Grasses) ถูกบันทึกเก็บไว้เป็นเอกสารลับสุดยอดที่มีเพียงสมาชิกสภาสูงแห่งภราดรจอมเวทเพียง 5 คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่านได้

  • แม้ซีรีจะมีพลังจากสายเลือดเอลฟ์โบราณ แต่เลือดของเธอก็ไม่เคยทำให้ดอกเฟนเวดด์เบ่งบาน เนื่องจากเธอเป็นแค่มนุษย์ที่มีสายเลือดเอลฟ์ ไม่ใช่เอลฟ์เอนเอลล์ที่มีพลัง elder blood แบบลารา ดอเร็น

  • เวสิเมียร์ไม่เคยมีความคิดที่จะสร้างวิทเชอร์รุ่นใหม่ขึ้นมาอีก

  • หลังจากได้พบซีรี เกรอลท์ก็ไม่เคยกลับไปยังอาณาจักรซินทราอีกเลย

  • ยาสเกียร์ไม่เคยใช้ฉายาแซนด์ไพเพอร์ และไม่เคยให้ความช่วยเหลือพวกเอลฟ์

  • คาเฮียร์ไม่ได้พบกับยาสเกียร์ที่เมืองอ็อกเซนเฟิร์ต แต่เป็นในป่าทางทิศใต้นอกเขตป่าโบรคิลอน หลังจากเกิดเหตุกบฏบนเกาะธาเนดด์ เขาถูกพวกสกอยาเทลจับมัดใส่โลงศพและให้คนขนของเถื่อนพากลับไปรับโทษที่นิลฟ์การ์ด ซึ่งพวกขนของเถื่อนก็พลาดท่าไปหาเรื่องกับเกรอลท์และยาสเกียร์ ทั้งสองคนจึงได้พบคาเฮียร์ที่ถูกจับมัดอยู่ในโลง

  • ในนิยายไม่มีตัวละครดาร่า

 

Alastair Parker เจ้าของเสียงตัวละคร "คลีเวอร์" ในเกม The Witcher 3

 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

  • Alastair Parker นักแสดงผู้รับบทเป็นนายท่า คึอผู้ที่พากย์เสียงตัวละคร คลีเวอร์ (Carlo Varese; Cleaver) หัวหน้าแก๊งคนแคระในเมืองโนวิกราด ในเกม The Witcher 3

  • คำวิจารณ์ของนายท่าที่บอกว่า “มันซับซ้อนเกินไปหน่อย กว่าข้าจะเข้าใจว่ามันมีหลายไทม์ไลน์ก็ปาเข้าไปท่อนที่สี่แล้ว” (It's a bit too complicate. Took me to the fourth verse to understand there were different timelines.) เป็นมุกที่ทีมงานเขียนขึ้นมาแซวตัวเองที่เล่าเรื่องราวแบบหลายไทม์ไลน์ในซีซันแรก ซึ่งมีผู้ชมจำนวนมากที่บ่นว่าดูแล้วสับสน



  • มีการเปลี่ยนสีและลักษณะของดอกเฟนเวดด์ไปจากซีซันแรก ดอกเฟนเวดด์ที่อิสเทรดด์มอบให้เยนเนเฟอร์ใช้เปิดประตูมิติแบบพิเศษนั้นเป็นดอกไม้กลีบแหลมสีฟ้า แต่ดอกเฟนเวดด์ในซีซัน 2 ถูกเปลี่ยนให้มีกลีบดอกกลมมนสีม่วง ซึ่งใกล้เคียงกับไอคอนดอกเฟนเวดด์ในเกม The Witcher ภาคแรก

  • คำพูดที่เกรอลท์บอกเวสิเมียร์ว่า “ไม่เคยมีวิทเชอร์คนไหนได้นอนแก่ตายบนเตียงพร้อมกับคำสั่งเสีย” (No witcher yet has died of old age lying in bed dictating his will.) มาจากคำพูดที่เกรอลท์ปลอบใจซีรีระหว่างพิธีศพของเวสิเมียร์ในเกม The Witcher 3 (Don't blame yourself. No witcher's ever died in his own bed. — อย่าโทษตัวเองเลย ไม่มีวิทเชอร์คนไหนที่ได้นอนตายบนเตียงตัวเอง)

 

แผนที่

ที่ตั้งเมืองกอร์ส เวเลน เมืองท่าของอาณาจักรเทเมเรีย ที่มา witchernetflix.com

 

เมืองอ็อกเซนเฟิร์ต ย่านการศึกษาชื่อดังของอาณาจักรเรเดเนีย ที่มา witchernetflix.com

 

📜 อ่าน ⏪สรุปเนื้อเรื่องซีซัน 2 ตอนที่ 3 | สรุปเนื้อเรื่องซีซัน 2 ตอนที่ 5⏩

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.