รีวิว Nightmare of the Wolf แบบไม่สปอยล์เนื้อเรื่อง

ก่อนอื่นต้องบอกว่าอาอี๊ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักกับอนิเมชันเรื่องนี้ เพราะตั้งแต่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวในวัยหนุ่มของเวสิเมียร์และถูกจัดให้อยู่ในจักรวาลเดียวกันกับซีรีส์ ตามวิสัยทัศน์ของผู้อำนวยการสร้างอย่าง Lauren Hissrich ก็พอคาดเดาได้ว่าเนื้อเรื่องจะต้องถูกแต่งเติมและดัดแปลงไปจากงานเขียนของ Sapkowski อย่างแน่นอน ส่วนตัวจึงคิดว่าขอให้มันสมเหตุสมผลและไม่เข้ารกเข้าพงจนเกินไปก็พอแล้ว

และอาจเป็นเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก พอได้ดูจริง ๆ เลยรู้สึกว่ามันดีเกินคาด ทั้งเนื้อเรื่อง งานภาพ ดนตรีประกอบและการออกแบบเสียง และความ “เซอร์ไพรส์” ในการเฉลยปมต่าง ๆ ในมุมหนึ่งอาจมองได้ว่า “อะไรมันจะโลกกลมขนาดนั้น” แต่เพราะความ “โลกกลม” นั่นแหละที่ทำให้การกระทำของตัวละครต่าง ๆ มีน้ำหนักและสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น

Beau DeMayo ผู้สร้างสรรค์บทภาพยนตร์ สามารถรักษา “ความเทา” ของตัวละครได้สมยี่ห้อ “เดอะ วิทเชอร์” แม้กระทั่งตัวละครหลักอย่างเวสิเมียร์ก็มีด้านมืดแบบที่เราคาดไม่ถึง รวมไปถึงแก่นของเรื่องที่ทุกฝ่ายพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด แม้ว่ามันอาจนำมาซึ่งความบรรลัยของคนอื่นก็ตาม แต่แม้จะอยู่ในโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชังและความหวาดกลัว ก็ยังมีเรื่องราวของความรักและความหวังดำเนินคู่ขนานไปด้วย การปูเนื้อเรื่องเข้าสู่ช่วง climax ทำออกมาได้ดี ถึงแม้จะมีบางประเด็นที่ดู “ง่าย” ไปหน่อย แต่ถ้าไม่มานั่งขบคิดอย่างจริงจังก็พอกล้อมแกล้มไปได้

ในฐานะแฟนนิยาย ตัวละครที่ชอบที่สุดกลับไม่ใช่เวสิเมียร์ แต่เป็นมอนสเตอร์ตัวหนึ่งที่สามารถดัดแปลงออกมาจากนิยายได้อย่างฉลาดและลงตัว แม้ว่ามันจะตรงตามต้นฉบับแค่เพียงครึ่งเดียว แต่ด้วยความสมเหตุสมผลของเนื้อเรื่องกับการรักษา “แก่น” ของมอนสเตอร์ชนิดนี้ไว้ได้ มันเลยเป็นการดัดแปลงที่น่าประทับใจมาก ๆ กระทั่งชื่อก็อิงมาจากตำนานในโลกแห่งความเป็นจริง (ถึงแม้มันจะฟังดูขัดกับวัฒนธรรมตามท้องเรื่องก็ตาม) แสดงถึงการทำการบ้านมาเป็นอย่างดี

ฉากแอ็คชันและความมัน... เอาไปเลยสิบกะโหลก ระเบิดภูเขาเผากระท่อม เลือดสาดหัวหลุด ยิงเวทกันระเบิดระเบ้อ อะไรที่ live action ทำไม่ได้ อนิเมชันจัดให้ทุกอย่าง จริง ๆ บางฉากมันไม่ต้องเว่อร์ขนาดนั้นก็ได้ แต่ก็เอาเถอะ… ถือว่าให้ Studio Mir เขาได้ปล่อยของละกัน ส่วนตัวชอบ fight choreography ฉากสุดท้ายมาก ๆ ถึงขั้นแอบกรี๊ด ไม่ต้องเว่อร์มากแต่จังหวะและวิธีการมันลงตัวทุกอย่างเลย

ส่วนเรื่องความดราม่าคิดว่าถ้าหนังยาวกว่านี้อีกนิดน่าจะขยี้ให้น้ำตาแตกได้ไม่ยาก แต่ด้วยเวลาที่ต้องเล่าทุกอย่างให้กระชับและการใส่ฉากแอ็คชันแบบจัดเต็ม จึงไม่เหลือเวลาอ้อยอิ่งให้กับซีนอารมณ์ต่าง ๆ เท่าไรนัก ทั้ง ๆ ที่นักพากย์ (เสียงต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม เลยแอบเสียดายตรงนี้นิดนึง

อีกอย่างที่ต้องชมก็คือดนตรีประกอบผลงานของ Brian D'Oliveira ผู้ที่เคยฝากผลงานไว้ในเกมระดับ AAA อย่าง Shadow of the Tomb Raider และ Resident Evil ภาค 7-8 มาแล้ว ในอนิเมชันเรื่องนี้เขาได้รังสรรค์ท่วงทำนองอันไพเราะราวกับล่องลอยอยู่ในความฝันที่หลอกหลอน และจังหวะเร้าใจที่ช่วยส่งเสริมฉากต่อสู้ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังผสมผสานกลิ่นอายดนตรีประกอบซีรีส์ The Witcher ของ Sonya Belousova และ Giona Ostinelli เอาไว้ด้วย เพลงตอนจบนี่ทำเอาขนลุกซู่เลยล่ะค่ะ

 

สิริรวมเอาไปเลย 9/10 ถ้าคุณเป็นแฟนเดอะวิทเชอร์ ยังไงก็ต้องดูค่ะ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักจักรวาลนี้อาจจะมีงง ๆ บ้าง แต่รับประกันความสนุกได้เลย

 

ในส่วนของพากย์ไทย ก็ออกมาตามมาตรฐานของกันตนาสตูดิโอ แต่งานนี้เจอหินก้อนเบ้อเร่อตั้งแต่ฉากเปิด ซึ่งก็คือเพลง Monstrum’s Lullaby ที่แปลออกมาเป็นร้อยกรองก็ว่ายากแล้วยังเจอทำนองโหยหวนเข้าไปอีก แต่ฟังผ่าน ๆ ก็พอได้อยู่ ขอตินิดเดียวคือเรื่องการออกเสียงคำว่า Kaer Morhen ว่า “เคีย-มอ-เรน” ที่ฟังแล้วสะดุดทุกครั้งมาตั้งแต่ซีรีส์ซีซันแรก ทั้ง ๆ ที่เสียงต้นฉบับก็ออกอย่างชัดเจนว่า “แครฺ-มอเรน” หรืออย่างน้อยก็จะออกเป็น “แครฺ-มอรฺเฮน” แบบในเกมก็ยังดี เพราะชื่อนี้มีความสำคัญมากจนปล่อยผ่านไม่ได้จริง ๆ ค่ะ

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.