ท่านหญิงผู้หยั่งรู้ (She Who Knows)

ท่านหญิงผู้หยั่งรู้ เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณประเภทรีลิคท์ (relict) ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้มาตั้งแต่ก่อนที่ปรากฏการณ์ Conjunction of the Sphere จะเกิดขึ้น ที่แปลกคือสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีแค่เธอเพียงตนเดียวเท่านั้น ด้วยความรู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยว เธอจึงพยายามค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ จนได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองต้องการอะไรกันแน่ เมื่อเกิดปรากฏการณ์ Conjunction of the Sphere ทำให้พลังงานเวทมนตร์ไหลทะลักเข้ามาสู่โลก เธอจึงใช้พลังดังกล่าวสร้างลูกสาวขึ้นมาสามคนจากดินโคลนและเลือดของเธอ

เมื่อมนุษย์เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองเวเลน พวกเขาก็เริ่มบูชาท่านหญิงผู้หยั่งรู้และขนานนามเธอว่า ท่านหญิงแห่งพงไพร (The Lady of the Wood) แต่ความปรารถนาที่ไม่เคยได้รับการเติมเต็มก็ทำให้ท่านหญิงเริ่มบ้าคลั่ง และความบ้าคลั่งนี้ก็ถ่ายทอดไปยังสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยในเวเลนด้วย พวกชาวบ้านเริ่มฆ่าฟันกันเอง ส่วนคนที่ยังสติดีก็พากันหนีเข้าไปในป่าจนถูกพวกสัตว์ร้ายจับกิน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่มีใครเหลือรอดและนำเครื่องสังเวยมาบูชาอีก ลูกสาวทั้งสามจึงสังหารมารดาของตนเองและขังดวงวิญญาณเอาไว้ใต้ต้นโอ๊ค แต่ดวงวิญญาณของท่านหญิงยังคงส่งเสียงแห่งความพยาบาท ผู้ที่เข้าไปใกล้เนินใต้ต้นโอ๊คจึงได้ยินเสียงกระซิบและพากันขนานนามเนินนี้ว่า Whispering Hillock (เนินเสียงกระซิบ)

เกรอลท์อาจพบเนินนี้เข้าโดยบังเอิญ หรือผ่านคำบอกเล่าของผู้นำหมู่บ้านดาวน์วอร์เรน (Downwarren) ดวงวิญญาณของท่านหญิงจะโกหกเกรอลท์ว่าเธอเคยเป็นดรูอิดมาก่อนที่จะถูกพวกแม่เฒ่า (The Crones) ฆ่าตาย

หากเกรอลท์หลงเชื่อและช่วยถอนคำสาป ดวงวิญญาณของท่านหญิงจะเข้าไปสิงอยู่ในร่างม้าป่าสีดำเพศเมีย (ฺBlack Beauty) และจะช่วยพาตัวเด็ก ๆ ออกมาจากบ้านเด็กกำพร้าในบึงตามที่ให้สัญญาไว้ แต่ก็จะกลับไปล้างบางหมู่บ้านดาวน์วอร์เรนจนกลายเป็นหมู่บ้านร้าง

แต่ถ้าเกรอลท์เลือกที่จะทำลายวิญญาณทิ้ง หมู่บ้านดาวน์วอร์เรนจะปลอดภัย แต่ในทางกลับกันพวกเด็ก ๆ ก็จะถูกฆ่าตายจนหมด

ไพ่ Whispering Hillock จากเกม Gwent (ศิลปิน Bartłomiej Gaweł ภาพจาก gwent.one)

 

The Witcher 3: Wild Hunt

 

Book Item: She Who Knows

ตำนานพื้นบ้านเล่าไว้ว่าแต่เดิมพวกนางมีกันอยู่สี่คน ท่านหญิงผู้หยั่งรู้ หรือที่เรียกกันว่า ท่านหญิงแห่งพงไพร [1] คือผู้ที่เป็นแม่ นางเดินทางมาจากสถานที่ไกลแสนไกลจนกระทั่งมาถึงที่นี่ ด้วยความทุกข์ระทมที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว นางจึงเนรมิตรลูกสาวทั้งสามขึ้นมาจากดินโคลนและน้ำ

ผู้เป็นแม่ได้ปกปักรักษาดินแดนเวเลนมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล เหล่าลูกสาวได้นำคำร้องขอของพวกชาวบ้านมาบอกกล่าวและเป็นปากเป็นเสียงให้กับมารดา ในทุกฤดูใบไม้ผลิจะมีการเซ่นไหว้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ตลอดจนสังเวยสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ เพื่อถวายแด่ท่านหญิงแห่งพงไพรในค่ำคืนพิเศษของนาง แต่หลายปีผ่านไปท่านหญิงแห่งพงไพรกลับถลำลึกสู่ความบ้าคลั่งขึ้นไปทุกที และในที่สุดความบ้าคลั่งของนางก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งเวเลน พวกชาวบ้านต่างพากันละทิ้งบ้านเรือนและมุ่งหน้าไปสู่บึงอันเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะตกเป็นเหยื่ออันโอชะของสัตว์ร้าย ไม่นานนักเวเลนก็ท่วมท้นไปด้วยเลือด

เหล่าลูกสาวเห็นว่าดินแดนของพวกนางกำลังล่มสลายและตัดสินใจจะปกป้องมันด้วยตัวเอง เมื่อถึงค่ำคืนแห่งการเซ่นสังเวยในฤดูใบไม้ผลิถัดมา พวกนางก็สังหารมารดาและฝังร่างของนางไว้ในบึง โลหิตของนางไหลซึมลงไปหล่อเลี้ยงต้นโอ๊คบนยอด อาร์ด เซอร์บิน [2] จากนั้นมาต้นไม้ต้นนี้ก็เจริญงอกงามและเอื้อเฟื้อผลของมันให้แก่ผู้คน แต่เนื่องจากดวงวิญญาณของท่านหญิงนั้นเป็นอมตะ มันจึงปฏิเสธที่จะจากแผ่นดินอันเป็นที่รักไป ด้วยเหตุนี้ทั้งสามพี่น้องจึงกักขังวิญญาณของมารดาไว้ภายใต้ เนินเสียงกระซิบ [3] ให้นางทนทุกข์ทรมานด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไร้ซึ่งพลังอำนาจ

หมายเหตุ:

[1] ท่านหญิงแห่งพงไพร (The Lady of the Wood) หมายถึงผู้เป็นแม่ ส่วนลูกสาวทั้งสามหรือพวกแม่เฒ่า (The Crones) จะเรียกในรูปพหูพจน์ว่า เหล่าท่านหญิงแห่งพงไพร (The Ladies of the Wood)

[2] อาร์ด เซอร์บิน (Ard Cerbin) เป็นชื่อภาษาเอลฟ์ของภูเขาหัวโล้น (Bald Mountain) ที่อยู่ทางตอนใต้ของเวเลนซึ่งมีต้นโอ๊คยักษ์ขึ้นอยู่บนยอดเขา และเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมซับบาธ (Sabbath) เพื่อถวายเครื่องเซ่นสังเวยแก่เหล่าท่านหญิงแห่งพงไพร

[3] เนินเสียงกระซิบ (Whispering Hillock) เป็นเนินที่มีต้นโอ๊คโบราณขึ้นอยู่ด้านบน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านเด็กกำพร้าแห่งบึงหลังค่อม (The Orphans of Crookback Bog)

 

Characters Entry: The Ghost in the Tree

เนินเสียงกระซิบ - หากโลกไม่ได้เป็นอย่างที่มันเป็นอยู่... แต่เป็นดังที่ควรจะเป็น ชื่อนี้คงหมายถึงมุมลับตาที่คู่รักจะเผยคำโกหกจากก้นบึ้งของหัวใจให้อีกฝ่ายได้ยินด้วยเสียงอันแผ่วเบา แทนที่จะเป็นสถานที่สุดอันตรายและน่าสะพรึงกลัว ถูกครอบงำด้วยพลังลึกลับที่คร่าชีวิตผู้คนในหมู่บ้านดาวน์วอร์เรนไปมากมาย เกรอลท์ได้ตกปากรับคำว่าจะสืบหาต้นตอของปัญหานี้ และพบว่าพวกสัตว์ป่าถูกบงการโดยวิญญาณดวงหนึ่งที่ติดอยู่ใต้ต้นโอ๊คที่ขึ้นอยู่บนเนิน วิญญาณที่ว่าได้สื่อสารกับเขาด้วยน้ำเสียงของสตรี และอ้างว่านางเป็นดรูอิดที่คอยดูแลดินแดนเวเลน จนกระทั่งถูกพวกแม่เฒ่าฆ่าตายและขังวิญญาณของนางไว้ในต้นไม้ แต่พลังแห่งธรรมชาติทั้งปวงที่นางรับใช้มาอย่างยาวนานได้ปกป้องไม่ให้นางอยู่ในสภาพอันเลวร้ายตามที่พวกแม่เฒ่าตั้งใจไว้ ส่วนความตายของพวกชาวบ้านผู้เคราะห์ร้ายนั้นเป็นผลพวงที่นางไม่อาจควบคุมได้ เนื่องจากธรรมชาติที่พิโรธไม่เคยแยกแยะว่าใครคือผู้บริสุทธิ์หรือผู้ปรารถนาร้าย

ดวงวิญญาณขอร้องให้เกรอลท์ช่วยถอนคำสาปและปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระจากความทุกข์ทรมาน และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน นางได้ให้สัญญาว่าจะช่วยเหลือพวกเด็กกำพร้าที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกแม่เฒ่าให้รอดพ้นจากความตายอันน่าสะพรึง

ถ้าเกรอลท์กำจัดวิญญาณในต้นไม้

เลือดของผู้บริสุทธิ์ได้หลั่งรดลงบนเนินเสียงกระซิบมามากพอแล้ว เกรอลท์จึงไม่เชื่อคำกล่าวอ้างของวิญญาณดวงนั้นและทำลายมันทิ้ง ซึ่งทำให้มันสูญสลายไปจากโลกนี้อย่างถาวร

ถ้าเกรอลท์ปลดปล่อยวิญญาณในต้นไม้

ดวงวิญญาณโน้มน้าวเกรอลท์ได้สำเร็จ และเขาก็ถอนคำสาปโดยทำตามขั้นตอนที่นางบอก ดวงวิญญาณของดรูอิดหญิงจึงถ่ายโอนจากต้นไม้ไปสิงสู่ร่างของเจ้าม้าสีดำ และเมื่อดวงวิญญาณเป็นอิสระ อาถรรพ์มืดที่เคยปกคลุมไปทั่วเนินเสียงกระซิบก็มลายหายไปทันที

ไพ่ She Who Knows จากเกม Gwent (ศิลปิน Oleksandr Kozachenko ภาพจาก gwent.one)

 

Gwent Reward Tree (Price of Power)

บันทึกม้วนที่ 1: มีหลายสิ่งที่นางรู้ และบางสิ่งก็มีแต่นางเท่านั้นที่รู้ สำหรับสิ่งมีชีวิตที่สุดแสนจะลึกลับพอ ๆ กับจุดกำเนิดของชีวิต... เฉกเช่นท่านหญิงแห่งพงไพร นางอยู่มานานจนมีอายุมากกว่าตำนานทั้งหลายที่เล่าขานเรื่องราวของนางเสียอีก ด้วยชีวิตที่ยืนยาวและปัญญาอันล้ำลึกเกินกว่าใครจะเทียบได้ แต่สรรพความรู้ที่นางสั่งสมมาตลอดชั่วอายุนั้นก็ไม่สามารถเติมเต็มความปราถนาของนางได้ สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความรู้ทั้งหลายคือความบ้าคลั่งที่รอวันปะทุ

บันทึกม้วนที่ 2: ท่านหญิงหมกมุ่นกับการหาความหมายของการดำรงอยู่ และออกเดินทางเสาะแสวงหาคำตอบไปทั่วทั้งโลก นางรอนแรมอยู่นานหลายศตวรรษ เรียนรู้ทุกสิ่งจนกระทั่งไม่เหลือความลับใด ๆ ที่นางไม่รู้ แต่ยิ่งรู้มากเท่าไร จิตใจของนางกลับยิ่งกลวงเปล่าจนยากที่จะเติมให้เต็มได้ นางรู้สึกโหยหาบางสิ่งซึ่งเป็นปริศนาที่แก้ไม่ตก จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์อันวิจิตรที่แบ่งแยกความจริงออกจากกัน และนำพาสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมายังโลกใบนี้ด้วยเวทมนตร์ที่ทรงอำนาจ

บันทึกม้วนที่ 3: แม้การเชื่อมต่อกันของหหุจักรวาลจะนำสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ข้ามมิติมามากมาย แต่ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยที่เหมือนกับนาง นางได้แต่ครุ่นคิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้นางทนทุกข์มาโดยตลอด บางทีความรู้สึกกลวงเปล่าในใจของนางอาจเป็นความเหงา และสิ่งที่นางตามหาอาจไม่ใช่พุทธิปัญญาแต่เป็นเพื่อนร่วมชีวิต ดังนั้นนางจึงใช้เวทมนตร์ลึกลับอันเป็นผลพวงจากปรากฏการณ์ครั้งนั้นสร้างชีวิตทั้งสามขึ้นมาจากเลือดของนางและดินโคลน… ลูกสาวทั้งสามคนที่มีรูปโฉมเหมือนท่านหญิง เพื่อปลอบโยนจิตใจและสืบทอดสรรพความรู้ของนาง

บันทึกม้วนที่ 4: ท่านหญิงปกครองท้องทุ่งที่เรียกว่า 'เวเลน' ร่วมกับลูกสาวทั้งสาม พวกชาวบ้านละแวกนั้นต่างพากันบูชานางประหนึ่งเทพยดา แต่ถึงกระนั้นจิตใจของนางก็ยังคงว่างเปล่าจนกลายเป็นความสิ้นหวัง การตามหาบางสิ่งที่ไม่เคยหาเจอทำให้นางแตกสลาย ท่านหญิงค่อย ๆ จมดิ่งลงไปในความบ้าคลั่งอันไร้ที่สิ้นสุด เมื่อรวมกับพลังที่นางครอบครอง มันก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งเวเลนดุจน้ำพุพิษและแพร่เชื้อคลั่งสู่ทุกสิ่งที่อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่นาน… ทั่วทั้งแผ่นดินก็โกลาหลจนใกล้จะตกสู่ห้วงหายนะ และตอนนั้นเองที่ลูกสาวทั้งสามตัดสินใจจบชีวิตมารดาผู้บ้าคลั่งลง

หีบใบที่ 1: เมื่อผู้เป็นแม่ได้รับการบูชาดุจเทพเจ้า เหล่าลูกสาวจึงโหมกระพือกิตติศัพท์ของมารดาให้ขจรขจายไปไกลที่สุด ผู้ที่จงรักภักดีต่อพวกนางจะได้รับพรให้มีสุขภาพดีและมีความรู้รอบ รวมไปถึงได้รับของวิเศษต่าง ๆ ไม่นานผู้คนทั่วทั้งเวเลนก็หันมาบูชาท่านหญิงกันหมด แม้แต่ผู้ที่ไม่มีศรัทธาก็ยากที่จะปฏิเสธความกรุณาปรานีของท่านหญิงได้ เนื่องจากจะถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีตและอาจต้องหลั่งเลือดเพื่อเป็นการชดใช้ ลูกสาวทั้งสามได้จัดพิธีเซ่นสังเวยขึ้นมาปีละครั้ง เป็นค่ำคืนพิเศษที่จะเฉลิมฉลองแด่ท่านแม่ด้วยโลหิต แต่เหมือนชะตาเล่นตลก เพราะต่อมาพวกนางก็สังหารมารดาระหว่างงานฉลองคืนหนึ่งด้วย พวกนางนำร่างของท่านหญิงไปฝังไว้ในบึง แต่ดวงวิญญาณของผู้เป็นแม่กลับไม่ยอมไปสู่สุคติ สามพี่น้องจึงใช้เวทมนตร์กักขังดวงวิญญาณท่านหญิงเอาไว้ใต้ต้นโอ๊ค ให้นางทุกข์ทรมานอย่างไร้ซึ่งพลังจนไม่สามารถทำอะไรได้

หีบใบที่ 2: เป็นเวลานานหลายศตวรรษที่ดวงวิญญาณของท่านหญิงแห่งพงไพรถูกขังไว้ใต้ต้นโอ๊คบนเนิน ทำได้เพียงส่งเสียงคร่ำครวญอย่างคับแค้นที่ต้องวนเวียนอยู่ในเขาวงกตของกิ่งก้านสาขาและใบของต้นไม้ใหญ่ ไม่สามารถหลุดพ้นจากเวทมนตร์ที่พันธนาการวิญญาณเอาไว้ได้ นางอาละวาดผ่านกิ่งก้านของต้นโอ๊คและฆ่าใครก็ตามที่เฉียดเข้าใกล้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือแม้แต่เด็ก จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีคนพเนจรเหยียบย่างเข้าไปในโพรงลับใต้ต้นโอ๊คและตัดสินใจยุติคำสาปแห่งเนินเสียงกระซิบ ปลดปล่อยดวงวิญญาณของท่านหญิงให้พ้นจากพันธนาการ จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าคนพเนจรผู้นั้นปลดปล่อยวิญญาณของนางให้เป็นอิสระไปสู่โลกภายนอก หรือเขาแค่ทำลายดวงวิญญาณของนางกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จากนั้นมาต้นโอ๊คบนเนินต้นนั้นก็ยืนตระหง่านอย่างเงียบเชียบและสงบนิ่ง

หีบใบที่ 3: บางคนเล่าว่ามีวิญญาณโบราณดวงหนึ่งร่อนเร่อยู่ในป่าของเวเลน คนละแวกนั้นจะรู้กันดีว่า หากเห็นม้าสีดำรูปงามที่ห้อตะบึงดุจพายุก็จะต้องระวังตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะถ้าดวงตาของม้าดำตัวนั้นลุกโชนเป็นไฟสีแดงฉาน เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะนำมาซึ่งความบ้าคลั่ง ใครก็ตามที่เข้าใกล้มันจะมีอันต้องเสียสติจนอาละวาดทำร้ายตนเองและผู้อื่น ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าคู่รักจะเข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมหลังจากที่เห็นม้าตัวนี้ แต่อย่าเพิ่งกลัวไป เพราะว่ากันว่าวิญญาณนี้มักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และใครที่คิดจะตามหาม้าสีดำตัวนี้... ก็แน่นอนว่าเขาได้เสียสติไปแล้ว

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.