เรื่องสั้น "บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น" Part 3 (บทที่ 9 - 14 จบ)

บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น

แปลจากเรื่องสั้น Coś się kończy, coś się zaczyna

โดย อันด์เชย์ ซัพคอฟสกี

📜 อ่าน Part 1 (บทที่ 1-5) | Part 2 (บทที่ 6-8)

 

 

- IX -

 

ช่วงบ่ายนั้นระงมไปด้วยเสียงร้องไห้ สาเหตุอย่างแรกมาจากเครื่องสำอางวิเศษ ถ้าจะระบุให้ชัดก็คือขี้ผึ้ง เป็นยาเสริมเสน่ห์ซึ่งเรียกว่า "ฟีนกลานซ์" ในภาษาเอลฟ์ มีสรรพคุณเฉพาะทางในการทำให้ผู้ทาดูสวยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ บรรดาแขกที่เป็นสตรีได้ไหว้วานทริส เมริโกลด์ ให้ช่วยปรุงยาเสริมเสน่ห์ในปริมาณมากหลังจากพวกนางได้ทดลองทาดู ด้านหลังประตูมีเสียงร้องไห้ฟูมฟายของซีริลลา โมนา เอธเน และคาชกา ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยาเสริมเสน่ห์ มีเพียงนางไม้ที่เป็นลูกสาวคนโตอย่างโมเรนน์ที่ได้รับเกียรตินี้ ไม่แปลกที่คาชกาจะร้องดังกว่าใคร

ถัดไปที่ชั้นบน ลิลลี่ผู้เป็นบุตรสาวของการ์ดีเนีย บีเบอร์เวลด์ กำลังร้องไห้เนื่องจากยาเสริมเสน่ห์ก็เหมือนกับเครื่องรางเวทมนตร์ส่วนใหญ่ที่ไม่มีผลใด ๆ ต่อฮาล์ฟลิ่ง ร่างทรงหญิงสูดจมูกอยู่ในสวนตรงพุ่มแบล็กธอร์น [1] นางไม่รู้มาก่อนว่ายาเสริมเสน่ห์มีผลข้างเคียงทำให้สร่างเมาอย่างกะทันหันและตามมาด้วยอาการอื่น ๆ รวมถึงอาการโศกเศร้าอย่างฉับพลัน ในปีกตะวันตกของปราสาท แอนนิกาผู้เป็นบุตรสาวของเทศมนตรีคาลเดมีนก็กำลังร่ำไห้ นางไม่รู้ว่ายาเสริมเสน่ห์นั้นควรทาบริเวณใต้ขอบตา นางจึงกินเข้าไปจนท้องเสียอย่างทรมาน ส่วนซีรีนั้นนำยาเสริมเสน่ห์ในส่วนของนางไปทาให้กับเคลปี

นักบวชหญิงไอโอลาและยูร์นีดก็ร้องไห้เช่นกัน เนื่องจากเยนเนเฟอร์ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะสวมชุดเจ้าสาวที่นักบวชหญิงทั้งสองเป็นผู้ตัดเย็บให้ แม้เนนเนเกะจะช่วยเจรจาแล้วก็ตาม เยนเนเฟอร์สบถพร้อมกับขว้างปาข้าวของและร่ายคำสาปไปทั่ว ย้ำแล้วย้ำอีกว่านางดูเหมือนสาววัยใสไร้สติเมื่ออยู่ในชุดขาว เนนเนเกะที่โกรธเกรี้ยวจึงเริ่มแผดเสียงบ้าง นางบริภาษจอมเวทหญิงว่าทำตัวต่ำช้ายิ่งกว่าสาววัยใสไร้สติรวมกันสามคนด้วยซ้ำ เยนเนเฟอร์ตอบโต้ด้วยการเสกลูกบอลสายฟ้าและทำให้มุมหนึ่งของหลังคาหอคอยพังเสียหาย แต่ก็มีข้อดีอยู่ด้วยประการหนึ่ง เนื่องจากเสียงหลังคาระเบิดทำให้ลูกสาวของเทศมนตรีคาลเดมีนตกใจจนกระทั่งหายจากอาการท้องเสีย

มีผู้พบเห็นทริส เมริโกลด์ กับวิทเชอร์เอสเกลแห่งแคร์มอร์เฮนอีกครั้ง ทั้งตู่แอบคล้องแขนกันเข้าไปในศาลากลางสวน คราวนี้ไม่มีใครสงสัยว่าพวกเขาคือตัวจริงหรือไม่ เนื่องจากด็อพเพลอร์เทลลิโกกำลังดื่มเบียร์อยู่ท่ามกลางหมู่สหายของแดนดีไลออน ร่วมด้วยเดนตี้ บีเบอร์เวลท์ และมังกรวิลเลนเทรเทนเมิร์ธ

และแม้จะมีการค้นหาอย่างจริงจังแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นโนมที่อ้างว่าตนเองคือชุทเทนบาค

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[1] แบล็กธอร์น (Blackthorn) ไม้พุ่มขนาดใหญ่ในวงศ์กุหลาบ มีถิ่นกำเนิดในยุโรป เอเชียตะวันตก และทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ลำต้นสูงประมาณ 5 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น กิ่งเรียวเล็กมีหนามแหลม มีใบขนาดเล็กรูปไข่ กลีบดอกสีขาว มีกลีบชั้นเดียวคล้ายกุหลาบป่า มีผลกลมสีดำซึ่งมีไขเคลือบผิวคล้ายผลบลูเบอร์รี เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-12 มิลลิเมตร (ที่มา Wikipedia)

 

 

- X -

 

“เยน…”

นางช่างงดงามจับใจ เกลียวผมหยักศกสีดำประดับด้วยมงกุฎสีทองทิ้งตัวลงเป็นน้ำตกสีนิลส่องประกายเหนือไหล่ของนางและปกทรงสูงของชุดกระโปรงยาวสีขาวปักลายซึ่งมีแขนเสื้อพองสลับริ้วสีดำ รอบเอวประดับประดาด้วยจีบระบายนับไม่ถ้วนและแถบริบบิ้นสีม่วงไลแลค

“ดอกไม้ อย่าลืมดอกไม้” ทริส เมริโกลด์เตือน จอมเวทหญิงในชุดสีน้ำเงินเข้มทั้งตัวส่งช่อดอกไม้ซึ่งเต็มไปด้วยกุหลาบขาวให้เจ้าสาว

“โอ้... เยน ฉันมีความสุขเหลือเกิน…”

“ทริสเพื่อนรัก” เยนเนเฟอร์สะอื้นขึ้นทันใด แล้วจอมเวทหญิงทั้งสองก็โผกอดกันอย่างอ่อนโยนและจูบอากาศข้าง ๆ ต่างหูเพชรของกันและกัน

“เลิกแสดงความรักกันได้แล้ว” เนนเนเกะออกคำสั่งพลางจัดชุดนักบวชหญิงสีขาวสะอาดของนางให้เรียบร้อย “เราจะเข้าโบสถ์กันแล้ว ไอโอลา ยูร์นีด จับชายกระโปรงของนางไว้ ไม่อย่างนั้นนางได้ตกบันไดตายแน่”

 

เยนเนเฟอร์เข้าไปใกล้ ๆ เกรอลท์ ยื่นมือที่สวมถุงมือลูกไม้สีขาวไปจัดปกเสื้อคาฟตานสีดำปักดิ้นเงินให้เขา วิทเชอร์ส่งแขนให้นางคล้อง

“เกรอลท์” นางกระซิบข้างหูเขา “ข้ายังไม่อยากจะเชื่อเลย”

“เยน” เขากระซิบตอบ “ข้ารักเจ้า”

“ข้ารู้”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

 

- XI -

 

“เฮอร์วิกหายหัวไปไหนเนี่ย?”

“ไม่รู้สิ” แดนดีไลออนตอบพลางใช้แขนเสื้อขัดถูหัวเข็มขัดบนเสื้อนอกสีชมพูดอกเฮเธอร์ [2] สุดโก้ของเขา “แล้วซีรีอยู่ไหนล่ะ?”

“ข้าไม่รู้” เยนเนเฟอร์ทำหน้านิ่วพลางสูดจมูก “แต่ปากเจ้าเหม็นกลิ่นพาร์สลีย์นะ แดนดีไลออน เจ้าเป็นมังสวิรัติแล้วรึ?”

แขกเหรื่อทยอยเข้ามาสมทบจนพื้นที่ขนาดใหญ่ในโบสถ์ค่อย ๆ คับคั่ง อโกลวัลสวมชุดพิธีการสีดำเดินเคียงคู่มากับชีนาซในชุดสีขาวศิลาดล [3] ถัดมาคือกลุ่มฮาล์ฟลิ่งในชุดสีเบจ สีน้ำตาล และสีดินเหลือง ยาร์เพน ซิกริน และมังกรวิลเลนเทรเทนเมิร์ธเปล่งประกายสีทองด้วยกันทั้งคู่ เฟร็กเซเนตกับดอร์เรกาเรย์อยู่ในชุดสีม่วง เหล่าผู้นำสาส์นแต่งกายด้วยสีประจำราชวงศ์ บรรดาเอลฟ์และนางไม้อยู่ในชุดเขียว และผองเพื่องของแดนดีไลออนนั้นมีชุดในทุกเฉดสีที่ปรากฏในสายรุ้ง

“มีใครเห็นโลกิบ้าง?” เมาส์แส็คเอ่ยถามขึ้นมา

“โลกิ?” เอสเกลขยับเข้ามาใกล้ ๆ และมองพวกเขาผ่านปลายขนไก่ฟ้าที่ประดับหมวกเบเร่ต์ของเขา “โลกิออกไปตกปลากับเฮอร์วิกน่ะ ข้าเห็นพวกเขาล่องเรือไปในทะเลสาบ ซีรีตามไปบอกพวกเขาว่าพิธีกำลังจะเริ่มแล้ว”

“นานหรือยัง?”

“นานแล้ว”

“ขอให้ห่ากินเถอะ ไอ้พวกนักตกปลา!” ครัค อัน ไครท์ สบถ “พอปลาตอดเหยื่อเข้าหน่อยก็ลืมโลกทั้งใบเลยนะ แร็กนาร์ ไปลากตัวพวกเขามา!”

“เดี๋ยวก่อน” เบรนน์ทักท้วงพลางปัดปุยดอกแดนดีไลออนที่หล่นลงบนเนินอกอันใหญ่โตของนาง "เราต้องการคนที่วิ่งได้เร็วกว่านั้น โมนา! คาชกา! เรนเนสส์ เอน เลเค วา!" (รีบวิ่งไปที่ทะเลสาบ ไป!)

“ข้าบอกแล้ว” เนนเนเกะเย้ยหยัย “เฮอร์วิกน่ะเชื่อถือไม่ได้ เป็นไอ้งั่งที่ขาดความรับผิดชอบเหมือนพวกไร้ศาสนานั่นแหละ ใครเป็นคนต้นคิดให้เขาเป็นประธานในพิธีกันนะ?”

“เขาเป็นถึงราชาเลยนะ” เกรอลท์กล่าวอย่างลังเล “อาจจะเคยเป็น แต่ก็ถือว่ายังเป็นราชา…”

“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญญญ…” ผู้พยากรณ์คนหนึ่งร้องเพลงสรรเสริญขึ้นมาทันใด แต่นักฝึกจระเข้ก็ทำให้เขาเงียบปากโดยการฟาดเข้าที่ท้ายทอย เหล่าฮาล์ฟลิ่งส่งเสียงอื้ออึง ใครสักคนสบถขึ้น และใครบางคนก็ถูกชกเข้าที่จมูก การ์ดีเนีย บีเบอร์เวลท์ แหกปากเนื่องจากด็อพเพลอร์เทลลิโกเหยียบชายกระโปรงของนาง ร่างทรงหญิงเริ่มสะอึกสะอื้นอย่างไร้เหตุผล

 

“อีกนิดเดียว” เยนเนเฟอร์ขู่ฟ่อขณะปั้นยิ้มและเกร็งนิ้วกำช่อดอกไม้ไว้แน่น “อีกนิดเดียว ให้เวลาข้าอีกนิดเดียว จะได้เริ่มงานให้มันจบ ๆ กันไปซะที”

“อย่ากระวนกระวายสิ เยน” ทริสขึ้นเสียง “เดี๋ยวตะเข็บชุดจะปริเอานะ!”

“เจ้าโนมชุทเทนบาคไปมุดหัวอยู่ที่ไหน?” นักกวีคนหนึ่งตะเบ็งเสียง

“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน” นางโลมทั้งสี่ประสานเสียงตะโกนกลับไป

“ถ้าอย่างนั้นใครสักคนก็ไปตามหาเขาสิ เวรเอ๊ย!” แดนดีไลออนตวาด “เจ้านั่นบอกว่าจะเอาดอกไม้มาให้ แล้วตอนนี้เรามัวทำอะไรกันอยู่? ไม่มีทั้งชุทเทนบาค ทั้งดอกไม้ พวกเรากลายเป็นตัวอะไรไปแล้วเนี่ย?”

 

เสียงอื้ออึงดังขึ้นที่ทางเข้าโบสถ์ นางไม้ตัวน้อยทั้งสองที่ถูกส่งไปยังทะเลสาบกรีดร้องวิ่งเข้ามา โลกิเซถลาอยู่ข้างหลังพวกนาง เนื้อตัวเปียกปอนสกปรกและมีบาดแผลเป็นรอยเฉือนขนาดใหญ่บนหน้าผาก

“โลกิ!” ครัค อัน ไครท์ ร้องเสียงหลง “เกิดอะไรขึ้น?”

“แม่จ๋าาาาาาา!” คาชกาน้ำตาไหลพราก

“เกสส์ เอน!” (เป็นอะไร!) เบรนน์คว้าตัวลูกสาวทั้งสองมากอด ทั้งหมดตัวสั่นงันงกและทำอะไรไม่ถูก นางเปลี่ยนไปพูดภาษานางไม้แห่งป่าโบรคิลอน “เกสส์ เอน? เก ซเวซซัสส์ ฟีอัล เคร์ เม?” (เป็นอะไร? เล่าให้ข้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้น?)

“เรือของพวกเราคว่ำ…” โลกิหายใจหอบ “ตรงริมทะเลสาบ... มันมีสัตว์ประหลาดน่าสยดสยอง! ข้าเอาไม้พายตีมัน แต่มันกลับเคี้ยวเข้าไป... มันเคี้ยวไม้พายของข้าไปทั้งอันเลย!”

“ใครกัน? เกิดอะไรขึ้น?”

“เกรอลท์!” เบรนน์ร้องเรียก “เกรอลท์ โมนาบอกว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นคือซิเนอเรีย!” [4]

“อิไลโอคอริส!” [4] วิทเชอร์โพล่งออกมา “เอสเกล ไปหยิบดาบมาให้ข้า!”

“คทาข้าล่ะ!” ดอร์เรกาเรย์เรียกหาอาวุธขึ้นบ้าง “แรดคลิฟฟ์ คทาข้าอยู่ไหน?”

“ซีรี!” โลกิละล่ำละลักขณะเช็ดเลือดออกจากหน้าผากตัวเอง “ซีรีกำลังสู้กับมัน! นางกำลังสู้กับสัตว์ประหลาด!”

“แย่แล้ว! ซีรีไม่มีทางสู้อิไลโอคอริสได้แน่! เอสเกล! เอาม้ามาให้ข้าด้วย!”

“เดี๋ยวก่อน!” เยนเนเฟอร์ดึงมงกุฎออกแล้วทิ้งลงพื้น “เราจะใช้คาถาส่งเจ้าไปที่นั่น จะได้ถึงที่หมายเร็วกว่า! ดอร์เรกาเรย์ ทริส แรดคลิฟฟ์! ช่วยข้าหน่อย…”

 

ทุกคนเงียบกริบ ก่อนจะกรีดร้องดังลั่น ราชาเฮอร์วิกปรากฏตัวที่ประตูโบสถ์ เนื้อตัวเปียกโชกแต่ยังครบสามสิบสอง ถัดจากเขาคือหนุ่มน้อยในชุดเกราะแวววาวรูปร่างแปลกตาโดยปราศจากหมวกเกราะ ซีรีตามหลังพวกเขาเข้ามาในสภาพเปียกชุ่มจนน้ำหยดเป็นทาง เสื้อผ้าผมเผ้ากระเซิงเปื้อนโคลน ในมือยังคงถือดาบกเวียร์เอาไว้ แก้มของนางมีรอยแผลเหวอะหวะกรีดลึกพาดยาวตั้งแต่ขมับลงไปถึงคาง เลือดไหลชุ่มโชกออกมาจากเศษผ้าที่นางฉีกมาจากเสื้อเพื่อกดห้ามเลือดบนใบหน้า

“ซีรี!!!”

“ข้าสังหารมันแล้ว” วิทเชอร์สาวเล่าด้วยเสียงอ่อนล้า “ทุบหัวมันจนเละเลย”

นางเริ่มซวนเซ เกรอลท์ เอสเกล และแดนดีไลออนช่วยกันคว้าตัวและประคองนางไว้ ซีรีไม่ยอมปล่อยมือจากดาบ

“อีกแล้ว…” นักกวีคร่ำครวญ “มันโจมตีนางที่ใบหน้าอีกแล้ว... ช่างเป็นเด็กสาวที่โชคร้ายเหลือเกิน…”

เยนเนเฟอร์กรีดร้องสุดเสียง นางผลักยาร์เรที่ยืนขวางทางออกไปด้วยมือข้างหนึ่งแล้วคว้าซีรีไว้ จอมเวทหญิงจรดนิ้วลงบนใบหน้าเด็กสาวและร่ายคาถากึกก้องโดยไม่สนใจว่าดินโคลนและเลือดจะเปรอะเปื้อนชุดของนาง ในตอนนั้นเองเกรอลท์รู้สึกราวกับปราสาททั้งหลังกำลังสั่นไหวและดวงอาทิตย์คล้ายจะดับแสงไปชั่วขณะ

เยนเนเฟอร์ละมือจากใบหน้าของซีรี แล้วทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก รอยแผลฉกรรจ์สมานตัวเหลือเป็นเพียงเส้นบาง ๆ สีแดงที่มีหยดเลือดเล็ก ๆ ซึมออกมาไม่กี่หยดเท่านั้น ซีรีทิ้งตัวลงในอ้อมแขนที่โอบกอดนาง

“รักษาได้ยอดเยี่ยม” ดอร์เรกาเรย์เอ่ยชม “เป็นยอดฝีมือโดยแท้”

“ขอบคุณเหลือเกิน เยน” ทริสเอ่ยเบา ๆ ขณะที่เนนเนเกะเริ่มร้องไห้

เยนเนเฟอร์ยิ้ม นัยน์ตาเหลือกลอยและหมดสติไป เกรอลท์คว้าตัวเอาไว้ได้ก่อนที่นางจะทิ้งตัวสู่พื้นราวกับแถบริ้บบิ้นอันบางเบา

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[2] ดอกเฮเธอร์ (Heather) ไม้พุ่มขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 20-50 เซนติเมตร ใบเป็นเกล็ดขนาดเล็กสีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อ ดอกทรงระฆังขนาดเล็กสีชมพูหรือสีม่วง มีถิ่นกำเนิดในยุโรปและกรีนแลนด์ (ที่มา Wikipedia)

[3] ศิลาดล (Celadon) เครื่องปั้นดินเผาแบบเคลือบ ผิวมันวาวเรียบลื่น ส่วนใหญ่มีสีเขียวมรกตอ่อน ๆ หรือสีขาวนวล (ที่มา Wikipedia)

[4] อิไลโอคอริส (Ilyocoris) มีชื่อเรียกในภาษาเอลฟ์ว่า "ซิเนอเรีย" (Cinerea) เป็นสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ตามหนองน้ำ รูปร่างคล้ายกุ้งล็อบสเตอร์แต่ลำตัวแบนกว่า ตัวเต็มวัยมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับมนุษย์ (ที่มา The Witcher Official Fandom)

 

 

- XII -

 

“ใจเย็นหน่อยเถอะ เกรอลท์” เนนเนเกะปราม “อย่าตระหนกไปเลย อีกครู่เดียวก็หายแล้ว นางแค่ใช้พลังมากไป แถมยังสะเทือนอารมณ์ไม่น้อย... นางรักซีรีมาก เจ้าก็รู้”

“ข้ารู้” เกรอลท์เงอยหน้าขึ้นและมองไปยังหนุ่มน้อยสวมชุดเกราะเงาวับซึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้อง

“ฟังนะ เจ้าหนุ่ม กลับไปที่โบสถ์ซะ เจ้าหมดธุระที่นี่แล้ว แต่ขอถามอะไรสักหน่อย เจ้าเป็นใครกัน?”

“ข้า... ข้าคือกาลาฮัด” [5] อัศวินหนุ่มตอบ “ข้าขอ... ข้าขอสอบถามท่านสักนิดเถิดว่าสตรีผู้งดงามและหาญกล้านางนั้นมีอาการเป็นเช่นไร?”

“คนไหนล่ะ?” วิทเชอร์ยิ้ม “ในห้องนี้มีอยู่สองคน ล้วนงดงาม กล้าหาญ และเป็นหญิงสาวด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่าคนหนึ่งจะยังเป็นสาวโดยบังเอิญก็ตาม เจ้าหมายถึงคนไหน?”

หนุ่มน้อยหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าหมายถึง... คนที่เยาว์วัยกว่า” เขาตอบ “ข้าหมายถึงสตรีผู้ปกป้องกษัตริย์ตกปลา [6] โดยมิได้ลังเล”

“ใครนะ?”

“เขาหมายถึงเฮอร์วิกน่ะ” เนนเนเกะแทรก “อิไลโอคอริสมันจู่โจมเรือที่เฮอร์วิกกับโลกิกำลังนั่งตกปลาอยู่ ซีรีกระโจนเข้าใส่อิไลโอคอริส และพ่อหนุ่มคนนี้ที่บังเอิญผ่านมาก็เข้าไปช่วยนาง”

“เจ้าช่วยเหลือซีรี” วิทเชอร์จ้องมองอัศวินหนุ่มด้วยท่าทีสนใจและชื่นชมยิ่งขึ้น “เจ้าชื่ออะไรแล้วนะ? ข้าลืมไปแล้ว”

“ข้าคือกาลาฮัด ที่แห่งนี้คืออาวาลอน [7] ที่ตั้งปราสาทของกษัตริย์ตกปลาใช่หรือไม่?”

 

ประตูเปิดออก เยนเนเฟอร์ที่ดูซีดเซียวปรากฏตัวขึ้นโดยมีทริส เมริโกลด์ ช่วยประคองเอาไว้

“เยน!”

“เราจะไปที่โบสถ์” จอมเวทหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แขกกำลังรออยู่”

“เยน... เราเลื่อนงานออกไปก่อนก็ได้…”

“ข้าจะเป็นภรรยาเจ้าให้ได้ ต่อให้ปีศาจมาเอาตัวข้าไปก็ช่าง! ข้าจะแต่งงานกับเจ้าตอนนี้เลย!”

“แล้วซีรีล่ะ?”

“ซีรีรึ?” วิทเชอร์สาวโผล่ออกมาจากด้านหลังเยนเนเฟอร์พลางถูยาเสริมเสน่ห์ลงบนใบหน้าฝั่งที่ไม่มีบาดแผล “ข้าไม่เป็นไรแล้ว เกรอลท์ มันเป็นแค่รอยข่วนโง่ ๆ เท่านั้นเอง ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ”

ชุดเกราะของกาลาฮัดกระทบกันเกรียวกราวเมื่อเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

“ท่านหญิงผู้เลอโฉม…”

ดวงตากลมโตของซีรีเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม

“ซีรี ข้าขอแนะนำให้รู้จัก…” วิทเชอร์เอ่ย “อัศวินผู้นี้คือ... เอ่อ... กาลาฮัด พวกเจ้าคงรู้จักกันแล้ว เขาเป็นคนช่วยเจ้า ตอนที่เจ้าออกไปสู้กับอิไลโอคอริส”

ซีรีหน้าแดง ยาเสริมเสน่ห์เริ่มออกฤทธิ์ ทำให้พวงแก้มของนางเป็นสีแดงระเรื่อชวนมองและแผลเป็นก็ดูจางลงจนแทบมองไม่เห็น

“ท่านหญิง” กาลาฮัดพึมพำ “ได้โปรดเมตตาเถิด ท่านหญิงผู้งดงาม โปรดอนุญาตให้ข้าพำนักที่นี่... ข้าปรารถนา... ข้าปรารถนาที่จะ…”

“ขอพนันด้วยชีวิตข้าเลยว่าเขาต้องการเป็นอัศวินของเจ้า ซีรี” ทริส เมริโกลด์ เอ่ยขึ้น

 

วิทเชอร์สาวผายมือทั้งสองไปด้านหลังและถอนสายบัวอย่างสง่างามโดยไม่เอ่ยคำ

“แขกกำลังรออยู่นะ” เยนเนเฟอร์ขัดจังหวะ “กาลาฮัด ข้าเห็นว่าเจ้าไม่ได้เป็นแค่นักรบ แต่เป็นเด็กหนุ่มที่สุภาพด้วย เจ้าร่วมต่อสู้กับ... ลูกสาวของข้า ดังนั้นเจ้าจะขออนุญาตเต้นรำกับนางระหว่างงานเลี้ยงฉลองก็ย่อมได้ ซีรี รีบไปเปลี่ยนชุดเร็วเข้า ส่วนเจ้า เกรอลท์ หวีผมแล้วเก็บชายเสื้อเข้าไปในขอบกางเกงด้วย รุ่มร่ามหมดแล้ว ในอีกสิบนาที ข้าจะต้องเห็นพวกเจ้าทุกคนพร้อมเพรียงกันในโบสถ์!”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[5] กาลาฮัด (Galahad) หนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมของกษัตริย์อาร์เธอร์ ได้ชื่อว่าเป็นอัศวินหนุ่มผู้มีจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ กาลาฮัดออกเดินทางตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ร่วมกับเพอร์ซีวาลและบอร์ส ทั้งสามไปถึงปราสาทของกษัตริย์ตกปลาซึ่งเก็บรักษาจอกศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ แต่มีกาลาฮัดเพียงผู้เดียวที่เข้าถึงสัจธรรมแห่งจอกและได้ขึ้นสู่สวรรค์ (ที่มา Wikipedia)

[6] กษัตริย์ตกปลา (Fisher King) ตัวละครในตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์ เป็นผู้พิทักษ์จอกศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานฉบับวัลเกตไซเคิล (Vulgate Cycle) กษัตริย์ตกปลามีนามว่า "เพลเลส" (Pelles) ปกครองดินแดนลิสเทนอยส์ (Listenoise) และเป็นตาแท้ ๆ ของกาลาฮัด เพลเลสได้รับบาดเจ็บจากสงครามจึงใช้ชีวิตไปวัน ๆ กับการตกปลา (ที่มา Wikipedia)

[7] อาวาลอน (Avalon) เกาะศักดิ์สิทธิ์ในตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมายและแตกต่างกันไปในแต่ละเวอร์ชัน อาทิ เป็นสถานที่ที่ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ถูกหลอมขึ้น เป็นที่พำนักสุดท้ายของกษัตริย์อาร์เธอร์ เป็นสถานที่เก็บรักษาจอกศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น (ที่มา Wikipedia)

 

 

- XIII -

 

พิธีสมรสเป็นไปอย่างงดงามราบรื่น บรรดาแขกเหรื่อทั้งบุรุษและสตรีต่างพากันหลั่งน้ำตา เฮอร์วิกเป็นประธานในพิธี แม้จะเป็นอดีตราชา แต่พระองค์ก็ยังคงเป็นราชา เวเซเมียร์แห่งแคร์มอร์เฮนและเนนเนเกะยืนเคียงข้างคู่บ่าวสาวในฐานะบิดามารดา ทริส เมริโกลด์ และเอสเกลเป็นพยาน กาลาฮัดอยู่เคียงข้างซีรี และซีรีก็หน้าแดงราวกับดอกนางพญานิรมล [8]

แขกเหรื่อที่พกดาบติดตัวมายืนเรียงแถวกันเพื่อตั้งซุ้มลอด เหล่าสหายของแดนดีไลออนบรรเลงลูทและซอ และร่วมกันขับร้องบทเพลงที่แต่งขึ้นสำหรับโอกาสนี้ ร่วมประสานเสียงโดยเหล่านางไม้ผมแดงลูกสาวของเฟร็กเซเนตและนางเงือกชีนาซผู้มีน้ำเสียงไพเราะจับใจจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

แดนดีไลออนกล่าวสุนทรพจน์อวยพรให้คู่บ่าวสาวโชคดีมีสุข และผ่านค่ำคืนแห่งการสมรสไปได้โดยสวัสดิภาพ เยนเนเฟอร์จึงตบรางวัลให้เขาด้วยการเตะเข้าที่ข้อเท้า

จากนั้นทุกคนก็เร่งรุดเข้าไปยังโถงท้องพระโรงและรายล้อมโต๊ะจัดเลี้ยง เกรอลท์และเยนเนเฟอร์นั่งหัวโต๊ะ มือของทั้งคู่ยังคงมีริบบิ้นผ้าไหมพันคล้องไว้ด้วยกัน [9] ทั้งสองยิ้มแย้มและตอบรับการดื่มฉลองพร้อมคำอวยพรจากแขกเหรื่อ

บรรดาแขกที่เคยอาละวาดโวยวายเมื่อคืนต่างสนุกสนานกันแต่พอดีและเกรงอกเกรงใจผู้อื่น น่าประหลาดที่พวกเขาฉลองกันได้อย่างยาวนานโดยไม่มีใครเมาเลย กรณีเดียวที่อยู่เหนือความคาดหมายคือยาร์เรมือเดียวซึ่งเมามายอย่างเกินจริง เนื่องจากเขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นซีรีหน้าแดงเมื่อกาลาฮัดส่งสายตาหวานซึ้งให้นาง ไม่มีแขกเหรื่อคนไหนหายตัวไปดังเช่นในคืนก่อน เว้นแต่คาชกา ซึ่งไม่นานนักก็มีคนเจอนางที่ใต้โต๊ะ นางไม้น้อยกำลังนอนหลับสบายอยู่บนสุนัขตัวหนึ่ง

เหล่าภูตผีแห่งปราสาทรอซร็อกคงหมดแรงกันไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เนื่องจากไม่มีสัญญาณใด ๆ จากพวกมันเลย เว้นแต่โครงกระดูกในผ้าห่อศพผุ ๆ ที่จู่ ๆ ก็ผุดขึ้นจากพื้นข้างหลังอโกลวัล เฟร็กเซเนต และเมาส์แส็ค ขณะที่ท่านดยุค บารอน และดรูอิดกำลังหมกมุ่นอยู่กับการถกเถียงเรื่องการเมือง พวกเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามันมาปรากฏตัว โครงกระดูกโมโหที่ไม่มีใครสนใจ มันจึงวนเวียนไปรอบ ๆ โต๊ะและงับขากรรไกรใส่ทริส เมริโกลด์ จอมเวทหญิงซึ่งกำลังซบไหล่เอสเกลแห่งแคร์มอร์เฮนอย่างรักใคร่ ยกมืออันงามสง่าของนางขึ้นมาดีดนิ้ว แล้วฝูงสุนัขก็เข้ามาจัดการกับโครงกระดูกนั้น

 

“ขอให้เทพีเมลิเทเลอำนวยพรให้พวกเจ้านะ ลูก ๆ ที่รักของข้า” เนนเนเกะจูบเยนเนเฟอร์และชนแก้วของนางกับจอกไวน์ของเกรอลท์ “ช่างยาวนานเหลือเกิน แต่สุดท้ายพวกเจ้าก็ลงเอยกันได้ ข้ามีความสุขมาก ๆ แต่หวังว่าซีรีจะไม่เอาพวกเจ้าเป็นเยี่ยงอย่าง ถ้าหากนางพบใครสักคนแล้ว นางจะไม่เสียเวลารอนานขนาดนั้น”

“ดูเหมือนว่า…” เกรอลท์โบกมือไปยังทิศทางที่กาลาฮัดกำลังต้องมนตร์จากวิทเชอร์สาว “นางจะพบใครคนนั้นเข้าแล้ว”

“เจ้าหมายถึงเด็กหนุ่มประหลาด ๆ คนนั้นรึ?” นักบวชหญิงเย้ย “โอ้ ไม่ใช่เลย ไม่มีอะไรทำนองนั้นหรอก เจ้าไม่ได้สังเกตเลยรึ? ไม่เคยเลย? โธ่เอ๋ย ดูสิว่าเขาทำอะไรอยู่ เขากำลังติดพันอยู่กับซีรี แต่ในเวลาเดียวกันก็ตรวจตราและลูบคลำจอกไวน์ทุกใบบนโต๊ะไปด้วย เจ้าต้องยอมรับว่านั่นไม่ใช่พฤติกรรมที่ปกติ ข้าล่ะแปลกใจจริง ๆ ที่นางจ้องมองเขาราวกับจ้องมองภาพวาด ยาร์เรต่างหากที่ตรงกันข้าม... เขาเป็นคนมีเหตุผล สุภาพ…”

“ยาร์เรผู้มีเหตุผลและสุภาพของท่านเพิ่งจะล้มกลิ้งลงไปใต้โต๊ะน่ะ” เยนเนเฟอร์ตัดบท “เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว เนนเนเกะ ซีรีกำลังเดินมาหาเรา”

 

วิชเชอร์สาวผมสีขี้เถ้านั่งลงบนเก้าอี้ว่างของเฮอร์วิก และสวมกอดจอมเวทหญิงแนบแน่น

“ข้าจะไปแล้ว” นางเอ่ยเบา ๆ

“ข้ารู้แล้วล่ะ ลูกสาว”

“กาลาฮัด... กาลาฮัดจะไปกับข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้าห้ามเขาไม่ได้ใช่ไหม?”

“ไม่ได้หรอกจ้ะ... เกรอลท์!” เยนเนเฟอร์จ้องมองสามีของนาง นัยน์ตาสีม่วงอบอุ่นเป็นประกาย “ไปเดินคุยกับแขกเหรื่อรอบ ๆ โต๊ะสักหน่อย ข้าอนุญาตให้เจ้าดื่มได้ แต่แค่แก้วเล็ก ๆ แก้วเดียวเท่านั้น ข้าจะคุยกับลูกสาวที่นี่ก่อน ตามประสาผู้หญิงกับผู้หญิง”

วิทเชอร์ถอนหายใจ

 

งานเลี้ยงเริ่มครึกครื้นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ สหายของแดนดีไลออนร้องเพลงที่ทำให้แอนนิกาผู้เป็นลูกสาวของเทศมนตรีหน้าแดงก่ำ มังกรวิลเลนเทรเทนเมิร์ธซึ่งเมามายก็สวมกอดได้แม้กระทั่งด็อพเพลอร์เทลลิโกที่เมามายยิ่งกว่า และพยายามโน้มน้าวให้เห็นว่าการแปลงกายเป็นดยุคอโกลวัลเพื่อสวมรอยร่วมเตียงกับนางเงือกชีนาซผู้เลอโฉมนั้นเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควร

เหล่านางไม้ผมแดงลูกสาวของเฟร็กเซเนตพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเอาใจผู้นำสาส์น และเหล่าผู้นำสาส์นก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้พวกนางไม้ประทับใจ ซึ่งทำให้เกิดเสียงอึกทึกดุจลานละเล่นของเหล่าภูต ยาร์เพน ซิกริน สูดจมูกดังพรืดระหว่างอธิบายให้เชอรีแดนฟังว่าตอนเด็ก ๆ เขาอยากเป็นเอลฟ์ เมาส์แส็คตะโกนลั่นว่าสภาแห่งรัฐกำลังล่มสลาย แต่อโกลวัลตะโกนแย้ง ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหมายถึงสภาของรัฐใด เฮอร์วิกเล่าให้การ์ดีเนีย บีเบอร์เวลท์ ฟังถึงเรื่องการตกปลาคาร์ปยักษ์ด้วยคันเบ็ดที่มีสายทำจากขนหางม้า ฮาล์ฟลิ่งพยักหน้าอย่างเคลิบเคลิ้มและตะโกนออกมาเป็นครั้งคราวเพื่อปรามสามีไม่ให้ดื่มมากเกินไป

ผู้พยากรณ์ทั้งสองและนักฝึกจระเข้วิ่งไปทั่วระเบียงทางเดิน พยายามตามหาโนมชุทเทนบาคอย่างเสียแรงเปล่า ส่วนเฟรยาซึ่งเห็นได้ชัดว่านางรังเกียจบุรุษที่คออ่อนกว่า ก็กำลังนั่งดื่มกับร่างทรงหญิงโดยไม่หยุดพัก ทั้งสองยังคงดื่มเงียบ ๆ ต่อไปอย่างจริงจังและสง่างาม

 

เกรอลท์เดินรอบโต๊ะจัดเลี้ยง ชนแก้วไปพลาง ให้บรรดาแขกเหรื่อตบหลังและจูบแก้มแสดงความยินดีไปพลาง ในที่สุดเขาก็เดินถึงตำแหน่งที่แดนดีไลออนนั่งอยู่ข้าง ๆ กาลาฮัดซึ่งถูกซีรีทิ้งให้อยู่ตามลำพัง กาลาฮัดจ้องมองจอกไวน์ของนักกวีพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง ขณะที่นักกวีหรี่ตาลงและแสร้งทำเป็นสนใจ เกรอลท์หยุดเดินและยืนข้างหลังเก้าอี้ของพวกเขา

“ข้าจึงลงเรือลำนี้” กาลาฮัดเล่าเรื่องราว “แล้วข้าก็ล่องเรือเข้าไปท่ามกลางสายหมอก ถึงกระนั้นข้าก็ขอสารภาพต่อท่าน ท่านแดนดีไลออน ว่าความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจของข้า... และข้าขอสารภาพต่อท่านว่าข้าเองก็เริ่มลังเลขึ้นมา ข้าคิดว่านี่คงเป็นจุดจบของข้า ข้าจะต้องสิ้นชีพในหมอกหนาที่มิอาจฝ่าไปได้เป็นแน่... แต่แล้วดวงตะวันก็สาดแสงขึ้นมาจนผืนน้ำเปล่งประกายสุกสว่าง... ราวกับแสงทอง... และเบื้องหน้านั้น อาวาลอน... ก็ประจักษ์ต่อสายตาข้า แล้วดินแดนแห่งนี้จะมิใช่อาวาลอนได้อย่างไร?”

“ไม่ใช่เลย” แดนดีไลออนแย้งพลางเติมจอกไวน์ของเขา “ที่แห่งนี้คือชเวมม์แลนด์ ซึ่งแปลว่า 'ดินแดนหนองบึง' ดื่มเถอะ กาลาฮัด”

“ปราสาทแห่งนี้... ควรจะเป็นปราสาทมอนต์ซัลวัต [10] มิใช่หรือ?”

“ใช่ที่ไหนกันเล่า ที่นี่คือปราสาทรอซร็อก ข้าไม่เคยได้ยินชื่อปราสาทมอนต์ซัลวัตมาก่อนเลย และถ้าข้าไม่เคยได้ยิน ก็แสดงว่ามันไม่มีอยู่จริง ดื่มให้คู่บ่าวสาวสักหน่อยสิ เจ้าหนุ่ม!”

“แด่คู่บาวสาวขอรับ ท่านแดนดีไลออน แต่กษัตริย์พระองค์นั้น... มิใช่กษัตริย์ตกปลาหรือ?”

“เฮอร์วิกรึ? อันที่จริงแล้วเขาก็ชอบตกปลานะ เมื่อก่อนเขาน่ะชอบออกไปล่าสัตว์มากกว่า แต่พอเกิดศึกที่ออร์ธ ขาของเขาก็บาดเจ็บหนักจนกลับไปขี่ม้าไม่ได้อีก แต่เจ้าอย่าเรียกเขาว่ากษัตริย์ตกปลาเลย กาลาฮัด เพราะหนึ่ง: มันฟังดูงี่เง่ามาก ๆ และสอง: เฮอร์วิกคงไม่สบอารมณ์นัก”

 

กาลาฮัดไม่ได้พูดอะไรอีกเป็นเวลานาน เพียงแต่เล่นกับแก้วที่ว่างเปล่าครึ่งหนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และมองไปรอบ ๆ

“คงเป็นไปตามที่พวกเขาว่าไว้” เขารำพึง “มันเป็นแค่ตำนาน แค่เทพนิยาย แค่เรื่องเพ้อฝันเท่านั้น กล่าวคือ มันเป็นแค่เรื่องโกหก ที่แห่งนี้เป็นเพียงแค่ดินแดนหนองน้ำธรรมดา มิใช่อาวาลอน ข้าสิ้นหวังแล้ว…”

“ช่างมันเถอะน่า” นักกวีกระทุ้งมือเบา ๆ ใส่ข้างลำตัวเขา “อย่าเศร้าไปเลยหนุ่มน้อย จะเศร้าไปทำไมล่ะ? เจ้ากำลังอยู่ในงานแต่งงานนะ ไปหาความรื่นเริง หาเหล้ามาดื่มและร้องรำทำเพลงเถอะ เจ้ายังหนุ่มยังแน่น ยังมีเวลาเหลืออีกทั้งชีวิต”

“ชีวิต” อัศวินหนุ่มทวนคำอย่างครุ่นคิด “เป็นเช่นนั้นหรือ? ท่านแดนดีไลออน บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น เช่นนั้นเองหรือ?”

แดนดีไลออนมองเขาอย่างสนใจขึ้นมาในทันใด

“ไม่ ข้าไม่รู้” เขาตอบ “และถ้าหากข้าไม่รู้ ก็คงไม่มีใครรู้หรอก สรุปคือ ไม่มีสิ่งใดจบลงและไม่มีสิ่งใดเริ่มขึ้น”

“ข้ามิอาจเข้าใจ”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”

กาลาฮัดครุ่นคิดอีกครั้ง หน้านิ่วคิ้วขมวด

“แล้วเรื่องจอกล่ะ?” เขาถามขึ้นในที่สุด “เรื่องจอก ข้าควรจะทำเช่นไร?”

“จอกอะไรรึ?”

“เป็นสิ่งที่พวกเราล้วนเฝ้าตามหา” กาลาฮัดเงยหน้าขึ้นมองนักกวีด้วยแววตาฝันใฝ่ “เป็นสิ่งซึ่งสำคัญที่สุด หากปราศจากสิ่งนั้นชีวิตก็ไร้ซึ่งความหมาย หากปราศจากสิ่งนั้นพวกเราก็มิอาจสำเร็จ มิอาจสมบูรณ์ มิอาจดีพร้อมได้”

 

นักกวีเม้มปากและจ้องมองไปยังอัศวินด้วยสายตาอันเป็นเอกลักษณ์ลือเลื่องของเขา สายตาอวดเก่งที่เจือด้วยความปรารถนาดีอันแจ่มใส

“ตลอดทั้งค่ำคืน” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าก็ได้นั่งเคียงคู่กับจอกของเจ้าแล้วนี่ เจ้าเด็กโง่”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[8] ดอกนางพญานิรมล (Peony) หรือดอกโบตั๋น เป็นไม้ดอกที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมักมีดอกขนาดใหญ่ มีกลีบดอกสีชมพูหรือสีแดงซ้อนกันหลายชั้นและมีกลิ่นหอม (ที่มา Wikipedia)

[9] พิธีผูกมือ (Handfasting Ritual) ประเพณีเกี่ยวกับการหมั้นและการสมรส มีต้นกำเนิดมาจากชาวเคลท์ (Celt) และได้รับความนิยมในหมู่ชาวแองโกล-แซกซอน (Anglo-Saxons) ในเวลาต่อมา ในพิธีซึ่งกระทำต่อหน้านักบวชและพยานอีกอย่างน้อยสองคน คู่บ่าวสาวจะจับมือของกันและกันไว้ จากนั้นนักบวชหรือผู้ประกอบพิธีจะนำเชือกหรือแถบผ้ามาพันคล้องหรือมัดมือของคู่บ่าวสาวไว้ด้วยกัน (ที่มา Wikipedia)

[10] มอนต์ซัลวัต (Montsalvat) หรือ Munsalväsche เป็นชื่อปราสาทที่เก็บรักษาจอกศักดิ์สิทธิ์ในบทประพันธ์เรื่อง Parzival ของวุลแฟรม ฟอน เอชึนบาค (Wolfram von Eschenbach) อัศวินและนักประพันธ์ชาวเยอรมัน ซึ่งก็คือปราสาทคอร์เบนิก (Corbenic) ตามตำนานฉบับวัลเกตไซเคิล (ที่มา Wikipedia)

 

 

- XIV -

 

ราวเที่ยงคืน ยามที่แขกเหรื่อหาความสำราญกันเองได้แล้ว และเยนเนเฟอร์กับเกรอลท์ที่เป็นอิสระจากงานเลี้ยงสามารถสบสายตากันและกันได้อย่างสงบสุข ประตูก็เปิดดังโครมและจอมโจรนามวิสซิง หรือที่รู้จักกันในนาม “จอมฉกจอก” เดินดุ่ม ๆ เข้ามาในโถง จอมฉกจอกสูงราวสองเมตร หนวดเครายาวจรดเอว และมีจมูกซึ่งรูปร่างและสีสันเหมือนหัวแรดิช [11]  บนไหล่ข้างหนึ่งจอมโจรพาดกระบองอันเลื่องชื่อของเขาซึ่งถูกขนานนามว่า “ปล้องฟาง” ส่วนไหล่อีกข้างแบกถุงขนาดใหญ่เอาไว้

เกรอลท์และเยนเนเฟอร์รู้จักจอมฉกจอกมานานแล้ว อย่างไรก็ตามทั้งสองไม่ได้เชื้อเชิญเขามาร่วมงาน เป็นที่แน่นอนว่านี่คือผลงานของแดนดีไลออน

“ยินดีต้อนรับ วิสซิง” เยนเนเฟอร์กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายังอุตส่าห์จำพวกเราได้ เชิญนั่งตามสบายเลย”

จอมโจรโค้งคำนับอย่างสุภาพโดยใช้กระบองปล้องฟางค้ำยันพื้นไว้

“ขอให้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง” เขากล่าวอวยพรเสียงดังฟังชัด “ขออวยพรให้เจ้าทั้งสองร่วมเรียงเคียงหมอนกันอย่างสุขสันต์ไปอีกร้อยปี... ข้าจะพูดว่าอะไรแล้วนะ... สองร้อยปี สองร้อยปีต่างหากให้ตายสิ! โอ้ ข้ายินดีกับพวกเจ้าเหลือเกิน เกรอลท์ และเจ้าด้วยนะ เยนเนเฟอร์ ข้าเชื่อมั่นมาตลอดว่าพวกเจ้าจะได้แต่งงานกัน ถึงแม้พวกเจ้าจะกระทบกระทั่งและทะเลาะกันชนิดที่ว่า… เขาเรียกว่าอะไรแล้วนะ สุนัขยังอาย โอ้ เวรแล้ว ข้าพูดอะไรออกไปเนี่ย…”

“เชิญเถอะ เชิญเถอะ วิสซิง” วิทเชอร์กล่าวพร้อมกับรินไวน์ใส่จอกใบใหญ่ที่สุดที่วางอยู่ใกล้มือ “แด่ความสุขสวัสดิ์ของพวกเรา เจ้าเดินทางมาจากไหนรึ? ลือกันว่าเจ้าถูกจับขังคุกใต้ดินไปแล้ว”

“ข้าออกมาแล้ว” จอมฉกจอกกลืนไวน์อึกใหญ่และถอนหายใจยาว “ข้าได้ออกจากคุกก็เพราะว่า... เขาเรียกว่าอะไรแล้วนะ เวรเอ๊ย... ประกันตัวน่ะ ดูนี่สิ ข้ามีของขวัญมาให้พวกเจ้าด้วยล่ะ เอ้า รับไปซะสิ”

“อะไรเนี่ย?” เกรอลท์บ่นพึมพำขณะจ้องมองถุงใบใหญ่ที่มีบางอย่างดิ้นอยู่ในนั้น

“ข้าจับมาได้ระหว่างทางน่ะ” จอมฉกจอกเท้าความ “ข้าเจอมันอยู่ในแปลงดอกไม้ ตรงที่มีหินแกะสลักเป็นรูปสาวงามเปลือยกายตั้งอยู่ ตัวที่มีนกพิราบขี้ใส่นั่นแหละ…”

“ในถุงนั่นมีอะไร?”

“โอ้ เขาเรียกว่าอะไรแล้วนะ ตัวเดวิลน่ะ ข้าจับมาเป็นให้เป็นของขวัญแต่งงาน แถวนี้มีคอกสัตว์บ้างไหม? ไม่มีรึ? ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จับมันยัดนุ่นแล้วแขวนไว้บนผนังก็ได้ แขกของเจ้าคงต้องชอบมันแน่ ๆ ก็อย่างที่ข้าบอกไปนั่นแหละ เจ้าเดวิลตัวนี้มันฉลาดเป็นกรดเลย ให้ตายสิ มันพูดอยู่ได้ทั้งวันว่ามันชื่อชุทเทนบาค” [12]

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡ จบ ✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[11] แรดิช (Radish) หัวผักกาด มีหลายรูปทรงตามแต่ละสายพันธุ์ ในที่นี้หมายถึงหัวผักกาดที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมและมีสีแดง

[12] ชุทเทนบาคเป็นโนมจึงตัวเล็กกว่ามนุษย์ และเขายังไว้เคราแพะ ทำให้ดูคล้ายกับตัวเดวิล หรือ ซิลแวน (Sylvan) สิ่งมีชีวิตโบราณที่รูปร่างคล้ายแพะแต่เดินสองข้าได้ และยังมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนมนุษย์

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.