เรื่องสั้น "บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น" Part 2 (บทที่ 6 - 8)

บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น

แปลจากเรื่องสั้น Coś się kończy, coś się zaczyna

โดย อันด์เชย์ ซัพคอฟสกี

📜 อ่าน Part 1 (บทที่ 1)

 

 

- VI -

 

“เจ้าเป็นคนเชิญทริส เมริโกลด์ ใช่ไหม?”

“เปล่า” วิทเชอร์ส่ายหน้าและนึกภูมิใจอย่างเงียบ ๆ ที่การกลายพันธุ์ในระบบหมุนเวียนโลหิตทำให้เขาไม่สามารถออกอาการหน้าแดงได้ “ไม่ใช่ข้า คงเป็นแดนดีไลออน ถึงทุกคนจะอ้างว่าได้ข่าวงานแต่งงานมาจากลูกแก้วเวทมนตร์ก็ตาม”

“ข้าไม่ต้องการให้ทริสอยู่ในงานแต่งงานของข้า!”

“ทำไมล่ะ? นางก็เป็นสหายของเจ้านะ”

“อย่าทำให้ข้าดูโง่นักเลย วิทเชอร์! ทุกคนก็รู้ว่าเจ้าเคยนอนกับนาง!”

“ไม่จริงสักหน่อย!”

 

เยนเนเฟอร์หรี่ตาลงด้วยท่าทีอันตราย

“มันเป็นความจริง”

“ไม่จริง!”

“จริงสิ!”

“ก็ได้” เขาหันหลังให้อย่างขุ่นเคือง “เป็นความจริง แล้วไง?”

 

จอมเวทหญิงเงียบไปครู่หนึ่งพลางเขี่ยดาวอ็อบสิเดียนที่ห้อยติดกับริบบิ้นกำมะหยี่สี่ดำ

“ไม่มีอะไร” นางเอ่ยขึ้นในที่สุด “ข้าก็แค่อยากให้เจ้ายอมรับ อย่าโกหกข้าอีกนะ เกรอลท์ อย่าทำอีก”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

 

- VII -

 

กำแพงส่งกลิ่นก้อนหินเปียกชื้นและกลิ่นเปรี้ยวของวัชพืช ตะวันสาดแสงผ่านน้ำขุ่น ๆ สีน้ำตาลในคู ขับเน้นสีเขียวอันอบอุ่นของพืชน้ำที่เติบโตในก้นบึ้งของหนองน้ำและสีเหลืองสุกสว่างของดอกบัวขวดบรั่นดี [1] ที่ลอยปริ่มน้ำ

ปราสาทค่อย ๆ ฟื้นคืนชีวิต ทางปีกตะวันตกมีคนผลักบานหน้าต่างออกและระเบิดหัวเราะดังลั่น ใครอีกคนร้องขอน้ำดองกะหล่ำปลี [2] ด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ หนึ่งในบรรดาแขกของปราสาทรอซร็อกผู้เป็นสหายตาบอดของแดนดีไลออนร้องเพลงขณะโกนหนวด:

     ข้างหลังโรงนา     ไก่มาโก่งคอ
เกาะรั้วยืนรอ              ใครหนอจะมา
จะไปสมทบ               ไปพบขวัญตา
อีกเดี๋ยวเถิดหนา        ขอข้าฉี่ก่อน

ประตูส่งเสียงครวญคราง แดนดีไลออนเดินออกไปยังลานกว้าง บิดขี้เกียจ และถูใบหน้าของเขา

 

“เป็นไงบ้าง เจ้าบ่าว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ถ้าคิดจะหนีไปล่ะก็ ตอนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้วนะ”

“ทำตัวเป็นนกน้อยตื่นแต่เช้าเลย แดนดีไลออน”

“ข้ายังไม่ได้นอนเลยต่างหาก” นักกวีบ่นอุบขณะนั่งลงบนม้านั่งหินข้าง ๆ วิทเชอร์และเอนกายพิงกำแพงที่ปกคลุมไปด้วยเถาก้ามปูหลุด “ทวยเทพทรงโปรด ช่างเป็นคืนที่หนักหน่วงเสียจริง แต่ช่างมันเถอะ สหายข้าไม่ได้แต่งงานทุกวันเสียหน่อย โอกาสแบบนี้มันต้องฉลองสิ”

“งานฉลองแต่งงานคือวันนี้ต่างหาก” เกรอลท์ทวนความจำให้เขา “เจ้าไหวไหม?”

“อย่าดูถูกข้าเชียว”

 

ตะวันแผดแสงแรงขึ้น เหล่านกน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วท่ามกลางพุ่มไม้ เสียงน้ำกระเซ็นและเสียงร้องวี้ดว้ายดังมาจากทะเลสาบ โมเรนน์ ซีริลลา โมนา เอธเน และคาชกา เหล่านางไม้ผมแดงลูกสาวของเฟร็กเซเนตพากันเปลื้องผ้าลงเล่นน้ำ ร่วมด้วยทริส เมริโกลด์ และเฟรยาผู้เป็นเพื่อนสาวของเมาส์แส็คอีกเช่นเคย บนเชิงเทิงผุพังที่อยู่ด้านบน เหล่าผู้นำสาส์นของราชวงศ์ทั้งหลายอันได้แก่ อัศวินอีฟส์ ซูลิวอย มาธอล์ม และเดเวอโรซ์ กำลังเปิดศึกแย่งชิงกล้องส่องทางไกล

“เจ้าสนุกบ้างรึเปล่า แดนดีไลออน?”

“ไม่ต้องถามเลย”

“มีเรื่องวุ่นวายขึ้นเกิดขึ้นหรือเปล่า?”

“หลายเรื่องทีเดียว”

 

เรื่องวุ่นวายเรื่องแรกที่นักกวีสาธยายนั้นมีสาเหตุมาจากการเหยียดเผ่าพันธุ์ เมื่อจู่ ๆ เทลลิโก ลุนน์เกรวิงค์ เลทอร์ต ก็ประกาศขึ้นกลางงานเลี้ยงว่าเขาไม่อยากปลอมตัวเป็นฮาล์ฟลิ่งอีกต่อไปแล้ว ด็อพเพลอร์ชี้นิ้วไปยังเหล่านางไม้ เอลฟ์ ฮาล์ฟลิ่ง นางเงือก คนแคระ และโนมผู้อ้างว่าตนชื่อชุทเทนบาค พร้อมกับโวยวายว่าการที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้นั้นคือการเลือกปฏิบัติ มีเพียงเทลลิโกซึ่งก็คือตัวเขาเท่านั้นที่ต้องสวมใส่รูปร่างหน้าตาของผู้อื่น แล้วเขาก็คืนสภาพสู่รูปร่างตามธรรมชาติของด็อพเพลอร์อยู่ครู่หนึ่ง ภาพที่ปรากฏทำให้การ์ดีเนีย บีเบอร์เวลท์ เป็นลม ดยุคอโกลวัลเกือบสำลักกุ้งล็อบสเตอร์ และแอนนิกาบุตรสาวของเทศมนตรีคาลเดมีนหวาดกลัวจนเสียจริต มังกรวิลเลนเทรเทเมิร์ธกอบกู้สถานการณ์ดังกล่าวไว้ได้โดยที่เขายังคงอยู่ในสภาพบอร์ช ทรีแจ็คดอวส์ พลางอธิบายให้ด็อพเพลอร์ฟังอย่างใจเย็นว่าการจำแลงกายได้นั้นถือเป็นอภิสิทธิ์ที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ และหนึ่งในความรับผิดชอบทั้งหลายก็คือการอยู่ในรูปลักษณ์อันเหมาะสมที่สังคมยอมรับได้อยู่เสมอ และนั่นถือเป็นการแสดงมารยาทอันดีต่อเจ้าภาพด้วย ด็อพเพลอร์กล่าวหาวิลเลนเทรเทนเมิร์ธว่าเป็นพวกเหยียดเผ่าพันธุ์ เป็นพวกชาตินิยม และขาดความเข้าใจขั้นต้นในหัวข้อที่กำลังถกเถียงกัน วิลเลนเทรเทนเมิร์ธที่ขุ่นเคืองจึงคืนร่างมังกรไปชั่วขณะ ทำให้เฟอร์นิเจอร์บางส่วนเสียหายและสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งงาน

เมื่อสถานการณ์สงบลง สงครามปะทะคารมอันดุเดือดก็เริ่มขึ้น ฝ่ายมนุษย์และอมนุษย์ต่างกล่าวโทษอีกฝ่ายว่าไม่ยอมเปิดใจและไม่ยอมรับเผ่าพันธุ์อื่น จุดเปลี่ยนที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของการทุ่มเถียงครั้งนี้มาจากเมิร์ลแก้มตกกระ ซึ่งเป็นนางโลมที่ดูไม่เหมือนนางโลม เมิร์ลประกาศว่าการโต้เถียงทั้งหมดช่างโง่เขลาและไร้สาระ ทั้งยังไม่มีความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง เนื่องจากไม่สามารถแยกแยะอคติออกไปได้ ซึ่งนางพร้อมจะพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพของตนเองหากได้รับค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นวิลเลนเทรเทนเมิร์ธในร่างมังกรก็ตาม ท่ามกลางความเงียบที่ตามมา พวกเขาก็ได้ยินร่างทรงหญิงประกาศว่านางก็ปรารถนาจะพิสูจน์ตนเองเช่นกัน โดยปราศจากค่าธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น วิลเลนเทรเทนเมิร์ธจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วไปเป็นเรื่องที่คุยกันได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น เช่น เศรษฐกิจ การเมือง การล่าสัตว์ การตกปลา และการพนัน

เรื่องวุ่นวายอื่น ๆ นั้นค่อนข้างเป็นเรื่องทางสังคม เมาส์แส็ค แรดคลิฟฟ์ และดอร์เรกาเรย์พนันกันว่าใครจะสามารถใช้พลังยกสิ่งของให้ลอยขึ้นกลางอากาศได้มากที่สุดในคราวเดียว ดอร์เรกาเรย์เป็นผู้ชนะโดยการยกเก้าอี้สองตัวค้างไว้ในอากาศ พร้อมกับถาดผลไม้หนึ่งถาด ซุปหนึ่งถ้วย ลูกโลกจำลอง แมวหนึ่งตัว สุนัขสองตัว และคาชกา ลูกสาวคนเล็กของเฟร็กเซเนตและเบรนน์

จากนั้นลูกสาวคนกลางสองคนของเฟร็กเซเนต คือซีริลลาและโมนาก็ลงไม้ลงมือกัน และถูกส่งไปยังห้องของพวกนาง จากนั้นไม่นานแร็กนาร์ก็วางมวยกับอัศวินมาธอล์ม เพราะต่างหมายปองโมเรนน์ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของเฟร็กเซเนต เฟร็กเซเนตโมโหจึงสั่งให้เบรนน์ขังพวกลูกสาวผมแดงทั้งหลายไว้ในห้อง ก่อนที่เขาจะไปร่วมประชันการดื่มซึ่งจัดโดยเฟรยาผู้เป็นเพื่อนสาวของเมาส์แส็ค ไม่นานก็เป็นที่ประจักษ์ว่าเฟรยานั้นต้านทานฤทธิ์สุราได้อย่างเหลือเชื่อ ในระดับที่มีภูมิคุ้มกันต่อสุราเลยก็ว่าได้ เหล่านักกวีและนักขับลำนำผู้เป็นสหายของแดนดีไลออนต่างลงไปกองอยู่ใต้โต๊ะกันเกือบหมดแล้ว แต่เฟร็กเซเนต ครัค อัน ไครท์ และเทศมนตรีคาลเดมีนยังคงต่อสู้อย่างหาญกล้า อย่างไรก็ตามในที่สุดพวกเขาก็ยอมแพ้เช่นกัน จอมเวทแรดคลิฟฟ์สามารถดวลสุราได้อย่างคงเส้นคงวา แต่ก็ถูกจับได้ว่าเขาแอบพกเขายูนิคอร์น [3] ติดตัวไว้ หลังจากถูกริบตัวช่วยออกไป เขาก็ไม่มีโอกาสต่อกรกับเฟรยาได้เลย โต๊ะของชาวเกาะว่างอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็มีบุรุษร่างซีดสวมชุดคาฟตาน [4] อย่างคนโบราณมานั่งดื่มกับนาง สักพักชายผู้นั้นก็ลุกขึ้น โงนเงนไปมา โค้งคำนับอย่างสุภาพ และเดินทะลุกำแพงไปราวกับมันเป็นเพียงม่านหมอก บรรดาภาพเขียนที่แขวนประดับผนังห้องทำให้ทราบว่าเขาผู้นั้นคือวิลเลม ผู้ถูกขนานนามว่าปีศาจ ทายาทของปราสาทรอซร็อกผู้ถูกแทงจนถึงแก่ความตายระหว่างงานเลี้ยงเมื่อหลายร้อยปีก่อน

ปราสาทเก่าแก่แห่งนี้ซ่อนความลับไว้มากมายและมีชื่อเสียงที่น่าหดหู่ในอดีต ด้วยเหตุนี้จึงมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นในเวลาต่อมา ราวเที่ยงคืนแวมไพร์ตนหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าทิ้งไว้ แต่ยาร์เพน ซิกริน ก็ขับไล่อสุรกายดูดเลือดออกไปด้วยการปาหัวกระเทียมใส่ ตลอดช่วงหัวค่ำมีเสียงร้องโหยหวน เสียงโซ่ตรวน และเสียงร่ำไห้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเนื่องจากทุกคนต่างคิดว่าเป็นฝีมือของแดนดีไลออนและสหายบางคนของเขาที่ยังพอมีสติอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามนั่นคือภูตผีเป็นแน่ เนื่องจากมีคราบเอ็คโตพลาสซึม [5] จำนวนมากเปรอะตามขั้นบันได ทำให้แขกหลายคนลื่นล้มและฟกช้ำดำเขียวไปตาม ๆ กัน

ขอบเขตของงานรื่นเริงถูกล้ำเส้นโดยเจตภูตผมกระเซิงซึ่งมีดวงตาลุกโชน มันโผล่จากที่ซ่อนออกมาจับบั้นท้ายของนางเงือกชีนาซ จนเกิดการปะทะคารมที่ยากจะคลี่คลายเนื่องจากชีนาซคิดว่าผู้ร้ายคือแดนดีไลออน เจตภูตฉวยโอกาสจากความเข้าใจผิดออกตระเวนจับก้นแขกเหรื่อไปทั่วห้อง แต่เนนเนเกะก็สังเกตเห็นและขับไล่มันไปด้วยคาถาไล่ผี

แขกหลายคนพบเห็นสตรีชุดขาวซึ่งตามตำนานส่วนที่พอจะเชื่อถือได้ระบุว่านางถูกฝังทั้งเป็นในกำแพงคุกใต้ดินของปราสาทรอซร็อก อย่างไรก็ตามมีแขกช่างสงสัยอ้างว่านั่นไม่ใช่สตรีชุดขาวจริง ๆ แต่เป็นร่างทรงหญิงที่เตร็ดเตร่ไปตามโถงทางเดินเพื่อหาเหล้ามาดื่มต่างหาก

จากนั้นก็มีแขกเหรื่อหลายคนหายตัวไป อัศวินอีฟส์และนักฝึกจระเข้หายตัวไปเป็นคู่แรก จากนั้นไม่นานแร็กนาร์และนักบวชหญิงยูร์นีดแห่งวิหารเมลิเทเลก็หายตัวไปด้วย ต่อมาก็เป็นการ์ดีเนีย บีเบอร์เวลท์ ที่หายตัวไป แต่ภายหลังก็ปรากฏว่านางแค่ปลีกตัวไปนอนเท่านั้น ระหว่างนั้นเองยาร์เรมือเดียวกับไอโอลาผู้เป็นนักบวชหญิงแห่งวิหารเมลิเทลีอีกคนก็หายตัวไปอีกคู่ แม้แต่ซีรีที่ออกตัวว่านางไม่สนใจยาร์เรก็ยังแสดงออกว่าเป็นห่วงเขา แต่เรื่องทั้งหมดก็กระจ่างแจ้งว่ายาร์เรออกไปทำธุระก่อนจะพลัดตกลงไปในคูตื้น ๆ และผลอยหลับไป ส่วนไอโอลานั้นถูกพบเห็นที่ใต้บันไดกับเอลฟ์เชอริแดน

นอกจากนี้ก็ยังมีทริส เมริโกลด์ และวิทเชอร์เอสเกลแห่งแคร์มอร์เฮนที่หายตัวไปในศาลากลางสวน เมื่อถึงตอนเช้าก็มีคนอ้างว่าเห็นด็อพเพลอร์เทลลิโกโผล่ออกมาจากศาลานั้น ผู้คนต่างพากันคาดเดาว่าด็อพเพลอร์แปลงร่างเป็นใครกันแน่ระหว่างทริสกับเอสเกล บางคนถึงกับเสนออย่างบ้าบิ่นว่าอาจมีด็อพเพลอร์สองตนอยู่ในปราสาทนี้ก็เป็นได้ พวกเขาต้องการความเห็นจากมังกรวิลเลนเทรเทนเมิร์ธ เนื่องจากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงกาย แต่ปรากฏว่ามังกรได้หายตัวไปพร้อมกับพาเมิร์ลผู้เป็นนางโลมไปด้วย

โสเภณีอีกนางก็หายตัวไป นางหายไปกับผู้พยากรณ์ที่ยังคงอวดอ้างตนว่าเป็นของจริง แต่ก็มิอาจพิสูจน์ได้

โนมที่อ้างว่าตนเองคือชุทเทนบาคก็หายตัวไปเช่นกัน แต่ยังไม่มีใครเจอตัวเขา

 

“เสียใจด้วย” นักกวีตัดบทพลางหาวกว้าง “ข้าล่ะเสียใจจริง ๆ ที่เจ้าไม่ได้อยู่ในงาน เกรอลท์ มันเป็นงานเลี้ยงที่สนุกมาก”

“ข้าเสียใจ” วิทเชอร์พึมพำ “แต่เจ้าก็รู้... ข้าไปร่วมงานไม่ได้เพราะเยนเนเฟอร์น่ะ... เจ้าก็รู้ดีอยู่…”

“ข้ารู้อยู่แล้ว” แดนดีไลออนกล่าว “เพราะอย่างนี้แหละ ข้าถึงไม่แต่งงาน”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[1] ดอกบัวขวดบรั่นดี (Brandy-bottle water lily) บัวในสกุลอุบลชาติเขตอบอุ่นถึงเขตหนาว ใบมีสีเขียวอ่อนผิวเรียบเป็นมันวาว ขอบใบโค้งมน ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-4 เซนติเมตร มีกลีบดอกวงนอก 5-6 กลีบ สีเหลืองสด ฝักบัวช่วงบนเป็นคอคอดและโป่งออกตรงฐานคล้ายขวดเหล้า (ที่มา Wikipedia)

[2] น้ำดองกะหล่ำปลี (Sauerkraut brine) น้ำที่ได้จากการหมักกะหล่ำปลีดิบกับเกลือในภาชนะปิดสนิท เป็นอาหารสุขภาพที่อุดมไปด้วยวิตามิน A, B, C และ K รวมไปถึงมีโปรไบโอติกที่จะช่วยปรับสมดุลให้ลำไส้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย (ที่มา National Library of Medicine)

[3] เขายูนิคอร์น (Unicorn horn) ตามความเชื่อของชาวยุโรป เขายูนิคอร์นมีคุณสมบัติในการรักษาโรคและการขจัดสารพิษทุกชนิด (ที่มา Wikipedia)

[4] ชุดคาฟตาน (Kaftan) เสื้อคลุมหรือเสื้อนอกชายยาวถึงระดับเข่า บริเวณคอและสาบเสื้อมักประดับด้วยลายปักหรือขนสัตว์ มีทั้งแบบสวมหัวและผ่ากลาง (ที่มา Fashion Institute of Technology, State University of New York)

[5] เอ็คโตพลาสซึม (Ectoplasm) ปรากกฏการณ์ลี้ลับเหนือธรรมชาติที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับวิญญาณ มีลักษณะเป็นสสารสีอ่อนหนืดข้นไหลออกมาจากร่างกายของร่างทรง (ที่มา Encyclopedia Britannica)

 

 

- VIII -

 

เสียงกระทะเกรียวกราว เสียงหัวเราะร่า และเสียงร้องเพลงลอยมาจากห้องครัวของปราสาท การทำอาหารเลี้ยงแขกเหรื่อจำนวนมากค่อนข้างเป็นปัญหาเพราะราชาเฮอร์วิกไม่มีข้ารับใช้เลย การมีจอมเวทอยู่หลายคนก็ไม่ช่วยอะไร เนื่องจากงานนี้ต้องการเพียงความสุขแบบทั่ว ๆ ไป จึงตัดสินใจกันแล้วว่าจะเสิร์ฟแต่อาหารจริงตามธรรมชาติและไม่พึ่งพาเวทมนตร์ด้านการครัว ด้วยเหตุนี้จึงลงเอยที่เนนเนเกะเที่ยวไล่ล่าใครก็ตามที่หาตัวได้มาช่วยกันทำครัว ซึ่งในตอนแรกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากผู้ที่นักบวชหญิงคว้าตัวมาได้นั้นไม่รู้เรื่องงานครัว ส่วนผู้ที่รู้งานก็พากันหนีไปหมด อย่างไรก็ตามเนนเนเกะได้รับความช่วยเหลือที่ไม่คาดคิดจากการ์ดีเนีย บีเบอร์เวลท์ และเหล่าฮาล์ฟลิ่งที่ติดตามนางมา น่าประหลาดใจที่โสเภณีทั้งสี่นางจากกลุ่มสหายของแดนดีไลออนนั้นเป็นนักปรุงมือฉกาจและให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ

ปัญหาเรื่องวัตถุดิบนั้นมีน้อยกว่า เฟร็กเซเนตและดยุคอโกลวัลได้จัดแจงออกล่าสัตว์และได้เนื้อกวางมาอย่างเพียงพอ เบรนน์และเหล่าลูกสาวใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงก็ได้เนื้อสัตว์ปีกมาเต็มห้องครัว เพราะแม้แต่นางไม้รุ่นเยาว์ที่สุดอย่างคาชกาก็มีทักษะด้านการยิงธนูเป็นเลิศ ราชาเฮอร์วิกผู้ชื่นชอบการตกปลาก็ล่องเรือไปในทะเลสาบแต่เช้าตรู่และกลับมาพร้อมกับปลาไพค์ [6] ปลาวอลอาย [7] และปลากะพงปากกว้าง [8] เขามักจะอยู่กับโลกิผู้เป็นลูกชายคนรองของครัค อัน ไครท์ โลกิตกปลาและล่องเรือเป็น และยังพร้อมช่วยงานในตอนเช้า เนื่องจากเขาไม่ดื่มสุราเช่นเดียวกับเฮอร์วิก

เดนตี้ บีเบอร์เวลท์ และบรรดาญาติมิตรของเขา ร่วมด้วยด็อพเพลอร์เทลลิโก ต่างช่วยกันประดับประดาโถงเต้นรำและห้องหับต่าง ๆ ส่วนผู้ที่ต้องไปทำงานซักล้างและทำความสะอาดได้แก่ ผู้พยากรณ์ทั้งสองคน นักฝึกจระเข้ ประติมากร และร่างทรงหญิงผู้เมามายอยู่ตลอดเวลา

ในตอนแรกแดนดีไลออนและสหายนักกวีของเขาได้รับมอบหมายให้ดูแลห้องเก็บไวน์และเครื่องดื่มต่าง ๆ แต่ปรากฏว่านั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ เหล่านักกวีจึงถูกขับไล่ออกไปและกุญแจห้องนั้นก็ตกไปอยู่ในมือของเฟรยาผู้เป็นเพื่อนสาวของเมาส์แส็ค แดนดีไลออนและเหล่านักกวีปักหลักที่หน้าประตูห้องเก็บไวน์ตลอดทั้งวันและพยายามทำให้เฟรยาประทับใจด้วยลำนำเพลงรัก แต่สาวชาวเกาะนางนี้ก็มีภูมิต้านทานต่อน้ำคำพอ ๆ กับที่มีภูมิต้านทานต่อน้ำเมา

 

เกรอลท์เงยหน้าขึ้น ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้งจากเสียงกีบเท้ากระทบพื้นหินบนลานกว้าง เคลปีซึ่งเนื้อตัวเป็นประกายจากหยดน้ำปรากฏตัวจากข้างหลังพุ่มไม้รอบ ๆ กำแพงโดยมีซีรีนั่งบนอาน ซีรีสวมชุดหนังสีดำและสะพายดาบเล่มหนึ่งไว้กลางหลัง ดาบ “กเวียร์” อันเลื่องชื่อซึ่งนางได้มาจากสุสานใต้ดินกลางทะเลทรายโครัธ

ทั้งสองมองหน้ากันท่ามกลางความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเด็กสาวก็กระทุ้งส้นใส่เจ้าม้าให้เดินเข้าไปใกล้ ๆ เคลปีก้มหัวลง ตั้งท่าจะเข้าหาวิทเชอร์ด้วยฟันของมัน แต่ซีรีก็รั้งมันไว้โดยกระตุกสายบังเหียนอย่างแรง

“วันนี้แล้วสินะ” วิทเชอร์สาวเอ่ยโดยไม่ลงจากหลังม้า “วันนี้แล้วสินะ เกรอลท์”

“วันนี้แล้ว” เขายืนยัน พิงหลังเข้ากับกำแพง

“ข้ายินดีด้วย” นางกล่าวอย่างลังเล “ข้าคิดว่า... ไม่สิ ข้ามั่นใจว่าท่านต้องมีความสุขแน่นอน และข้ายินดีที่…”

“ลงมาก่อน ซีรี มาคุยกันสักหน่อย”

เด็กสาวสะบัดศีรษะและรวบผมไปข้างหลังใบหู เกรอลท์เห็นแผลเป็นน่าเกลียดบนแก้มของนางครู่หนึ่ง เป็นรอยแผลที่ระลึกจากช่วงเวลาอันโหดร้ายเหล่านั้น ซีรีปล่อยผมให้ยาวประบ่าและหวีผมบางส่วนมาปกปิดแผลเป็นเอาไว้ แต่นางก็มักจะลืมอยู่บ่อย ๆ

“ข้าจะไปแล้ว เกรอลท์” นางเอ่ย “หลังจากงานเลี้ยงจบลง”

“ลงจากหลังม้าก่อน ซีรี”

วิทเชอร์สาวกระโดดลงจากอานม้าและนั่งลงข้าง ๆ เขา เกรอลท์โอบกอดนาง ซีรีซบศีรษะลงบนไหล่ของเขา

“ข้าจะไปแล้วนะ” นางย้ำอีกครั้ง แต่เขายังคงเงียบ ถ้อยคำมาถึงริมฝีปากเขาแล้ว แต่ไม่มีคำใดที่เขาเห็นว่าเหมาะสมหรือจำเป็นต้องพูด เขาจึงเงียบ

“ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่” นางกล่าวช้า ๆ “ท่านคิดว่าข้าจะหนีไป ท่านคิดถูกแล้ว”

เขานิ่งเงียบ เขารู้อยู่แล้ว

“ผ่านไปนานหลายปี สุดท้ายแล้วพวกท่านก็ได้อยู่ด้วยกัน เยนกับท่าน พวกท่านสมควรได้อยู่กันอย่างมีความสุข มีบ้าน แต่มันทำให้ข้ากลัว เกรอลท์ ข้าก็เลย... จะหนีไป”

เขานิ่งเงียบ ระลึกถึงทางออกที่ตนเองเคยใช้หนีปัญหา

“ข้าจะไปหลังจากงานเลี้ยงจบลง” นางย้ำ “ข้าอยากเห็นหมู่ดาวเหนือท้องถนนอีกครั้ง ข้าอยากผิวปากเพลงกวีของยาสเกียร์ในยามค่ำคืน ข้าโหยหาการต่อสู้ อยากเริงระบำไปพร้อมกับดาบ ข้าอยากเสี่ยง อยากยินดีปรีดากับชัยชนะ และข้าอยากอยู่ตามลำพัง ท่านเข้าใจข้าไหม?”

“ข้าเข้าใจอยู่แล้ว ซีรี เจ้าเป็นลูกสาวข้า เจ้าเป็นวิทเชอร์ เจ้าจะทำในสิ่งที่ต้องทำ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกให้เจ้ารู้ แค่เรื่องเดียว เจ้าจะเอาแต่หนีตลอดไปไม่ได้หรอก ต่อให้จะพยายามหนีแค่ไหนก็ตาม”

“ข้ารู้” นางตอบและซบเขาแนบชิดกว่าเดิม “ข้ายังหวังว่าสักวันหนึ่ง... ถ้าข้ารอได้ ถ้าหากข้าอดทนพอ บางทีอาจมีวันที่งดงามแบบนี้ในชีวิตข้าบ้าง... ช่างเป็นวันที่งดงามจริง ๆ ... แม้ว่า…”

“อะไรรึ ซีรี?”

“ข้าไม่มีวันเป็นสาวงามได้ และด้วยแผลเป็นนั่น…”

“ซีรี” เขาตัดบทนาง “เจ้าเป็นเด็กสาวที่สวยที่สุดในโลก แน่นอนว่าสวยเป็นรองแค่เยน”

“โธ่ เกรอลท์…”

“ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ไปถามแดนดีไลออนดูก็ได้”

“โธ่เอ๋ย เกรอลท์…”

“เจ้าจะไปที่…”

“ทางใต้” นางขัดจังหวะเขาแล้วเบือนหน้าหนี “ควันยังคงคุกรุ่นเหนือแผ่นดินหลังจากสงคราม บ้านเมืองกำลังฟื้นฟู ผู้คนต้องต่อสู้เอาชีวิตรอด พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง ข้าพอจะช่วยเหลือได้บ้าง ต่อจากนั้นก็คงเป็นทะเลทรายโครัธ... และนิลฟ์การ์ด ข้ายังไม่เสร็จธุระที่นั่น เราทั้งคู่ยังมีเรื่องต้องสะสางให้จบ กเวียร์กับข้า”

 

นางเงียบไป สีหน้าตึงเครียด ดวงตาสีเขียวหรี่แคบ ริมฝีปากบิดบึ้งด้วยความโกรธ ข้าจำได้ เกรอลท์คิด ข้าจำได้ เหมือนครั้งนั้นที่พวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่บนบันไดปราสาทรีสรูน บนขั้นบันไดอาบเลือดลื่น ๆ นั้น มีชายผมขาวและเด็กสาว หมาป่าและแมว สองเครื่องจักรสังหารซึ่งรวดเร็วเหนือมนุษย์และโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ เดือดดาลสุดขีดจากการถูกไล่ต้อนจนหลังชนฝา ใช่แล้ว หลังจากนั้นพวกทหารนิลฟ์การ์ดก็พากันล่าถอยด้วยความหวาดกลัวจากประกายวาบและเสียงตวัดกวัดแกว่งคมดาบ แล้วทั้งสองก็เดินลงบันไดปราสาทรีสรูนที่ชุ่มโชกเลือดไปอย่างช้า ๆ เคลื่อนตัวลงสู่ด้านล่าง หลังชนหลัง ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว และความตายก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา ความตายจากคมดาบอันโชติช่วงทั้งสองเล่ม หมาป่าสุขุมเยือกเย็นและแมวสาวบ้าคลั่ง ประกายวูบไหว เสียงหวีดร้องโหยหวน เลือด ความตาย... ใช่ เหมือนครั้งนั้น สีหน้าของนางเหมือนในครั้งนั้น... ครั้งนั้น...

ซีรีสะบัดผมไปข้างหลัง เรือนผมสีขี้เถ้ามีแถบปอยผมสีขาวเป็นประกายดุจหิมะแซมอยู่ตรงขมับ ปอยผมสีขาวของนางเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนั้น

“ข้ายังไม่เสร็จธุระที่นั่น” นางขู่อาฆาต “เพื่อมิสเซิล มิสเซิลของข้า ถึงแม้ข้าจะล้างแค้นให้นางไปแล้ว แต่สำหรับมิสเซิล ชีวิตเดียวมันยังไม่พอหรอก”

บอนฮาร์ท เขาคิด นางสังหารเขาด้วยโทสะ โธ่... ซีรี ซีรีเอ๋ย... เจ้ากำลังยืนอยู่บนขอบเหวนรกนะลูก กี่พันชีวิตก็ไม่เพียงพอจะล้างแค้นให้มิสเซิลของเจ้าหรอก จงระวังความเกลียดชังเอาไว้เถิด ซีรี มันจะกัดกินเจ้าดั่งเนื้อร้าย

“ระวังด้วยนะ” เขากระซิบ

“ข้าขอระวังคนอื่นดีกว่า” นางยิ้มเป็นลาง “มันได้ผลกว่าในระยะยาวน่ะ”

ข้าจะไม่ได้เจอนางอีกแล้ว เขาคิด ถ้านางจากไป ข้าจะไม่ได้เจอนางอีกเลย

“ท่านจะได้เจอข้า” นางตอบอย่างไม่คาดคิดและยิ้มด้วยรอยยิ้มแบบจอมเวทหญิง มิใช่รอยยิ้มแบบวิทเชอร์ “ท่านจะได้เจอข้าอีก เกรอลท์”

จู่ ๆ นางก็ผุดลุกขึ้น ด้วยรูปร่างผอมสูงราวกับเด็กชายแต่แคล่วคล่องดุจนางระบำ นางขึ้นหลังม้าด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว

“ย่าาา เคลปี!!!”

สะเก็ดไฟฟุ้งออกมาจากใต้กีบเท้าม้า เกือกโลหะกระแทกพื้นลานดังสนั่น

 

แดนดีไลออนโผล่ออกมาจากหลังกำแพง สะพายลูทไว้บนไหล่และถือเหยือกเบียร์ใหญ่ ๆ สองเหยือกไว้ในมือ

“เอ้า ดื่มกันหน่อย” เขาเอ่ยขณะนั่งลงข้างสหาย “เผื่อมันจะช่วยเจ้าได้บ้าง”

“ไม่รู้สิ เยนเนเฟอร์เคยเตือนไว้ว่า อย่าทำอะไรให้นางได้กลิ่น…”

“เจ้าก็เคี้ยวใบพาร์สลีย์ [9] สิ ดื่มซะ เจ้าสามีขี้หงอเอ๋ย”

พวกเขานั่งเงียบกันอยู่นาน ต่างคนต่างจิบเบียร์จากเหยือกของตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง ในที่สุดแดนดีไลออนก็ถอนหายใจ

“ซีรีกำลังจะไปแล้วใช่ไหม?”

“อืม”

“ข้าก็คิดแบบนั้น ฟังนะ เกรอลท์…”

“หุบปากเลย แดนดีไลออน”

“ก็ได้”

พวกเขานั่งเงียบ ๆ กันอีกครั้ง กลิ่นหอมน่าอร่อยของเนื้อกวางย่างผสมกลิ่นหอมฉุนของเมล็ดจูนิเปอร์ [10] ลอยออกมาจากห้องครัว

“บางสิ่งจบลง” เกรอลท์เอ่ยอย่างยากลำบาก “บางสิ่งจบลงไปแล้ว แดนดีไลออน”

“ไม่ใช่เลย” นักกวีแย้งด้วยท่าทีจริงจัง “บางอย่างเริ่มขึ้นต่างหาก”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[6] ปลาไพค์ (Pike) หรือปลาไพค์ถิ่นเหนือ เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่พบได้ในซีกโลกเหนือ ทั้งในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ เป็นปลากินเนื้อ ลำตัวสีเขียวเข้มและมีสีอ่อนลงบริเวณท้อง ข้างลำตัวมีจุดสีเหลืองกระจายสม่ำเสมอเรียงเป็นแถวหลายแถว มีขนาดลำตัวยาวเฉลี่ย 40-50 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ย 0.9 กิโลกรัม (ที่มา Wikipedia)

[7] ปลาวอลอาย (Walleye) หรือปลาไพค์เหลือง เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีถิ่นกำเนิดในแคนาดาและตอนเหนือของอเมริกา เกล็ดบริเวณหลังมีสีเขียวมะกอก ด้านข้างลำตัวมีสีทอง และส่วนท้องมีสีขาว มีรูม่านตาขนาดใหญ่จึงมักเห็นสะท้อนแสงแวววาวข้างในดวงตาจากเยื่อบุหลังเรตินา มีขนาดลำตัวยาวเฉลี่ยประมาณ 80 เซนติเมตร และน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 9 กิโลกรัม (ที่มา Wikipedia)

[8] ปลากะพงปากกว้าง (Largemouth bass) หรือปลาแบสปากใหญ่ เป็นปลาน้ำจืดกินเนื้อขนาดใหญ่ที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกา มีปากขนาดใหญ่และมุมปากอยู่ลึกไปกว่าด้านหลังดวงตา ลำตัวมีสีเขียว ด้านข้างมีแถบหยักสีดำตลอดความยาวของลำตัว ส่วนท้องมีสีเหลืองอ่อนหรือสีขาว มีขนาดลำตัวยาวเฉลี่ยประมาณ 40 เซนติเมตร (ที่มา NEMESIS, Smithsonian Environmental Reserch Center)

[9] พาร์สลีย์ (Parsley) พืชในวงศ์ผักชี มีกลิ่นหอมฉุนจึงนิยมใช้เป็นเครื่องเทศ โรยบนอาหาร หรือตกแต่งจาน ใบสีเขียวเข้ม ขอบใบหยักลึกและละเอียด (ที่มา Wikipedia)

[10] เมล็ดจูนิเปอร์ (Juniper berry) โคนเพศเมียของสนจูนิเปอร์ รูปร่างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 4-12 มิลลิเมตร ผลอ่อนมีสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำเมื่อแก่เต็มที่ มีน้ำมันหอมระเหยจึงนิยมใช้เป็นเครื่องเทศดับกลิ่นคาวจากเนื้อสัตว์ (ที่มา Wikipedia)

 

 

📜 อ่าน Part 3 (บทที่ 9 - 14) ที่นี่

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.