เรื่องสั้น "บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น" Part 1 (บทที่ 1 - 5)

 

บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น
(Something Ends, Something Begins)

 

ความเป็นมา

เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นผลงานที่อันด์เชย์ ซัพคอฟสกี (Andrzej Sapkowski) ตั้งใจเขียนขึ้นมาให้เป็นแนวตลกขำขัน และไม่ถูกนับเป็นเนื้อเรื่องหลักหรือตอนจบอีกเวอร์ชันของนิยายเดอะวิทเชอร์แต่อย่างใด จุดเริ่มต้นมาจากการที่ซัพคอฟสกีตอบรับคำเชิญชวนจากคชึชตอฟ พาเพียร์คอฟสกี (Krzysztof Papierkowski) ประธานสมาคมเรื่องแฟนตาซีแห่งกดัญสก์ (Gdański Klub Fantastyki: GKF) ซึ่งเสนอให้เขาเขียนเรื่องสั้นเพื่อตีพิมพ์ใน "Red Dwarf" (Czerwony Karzeł) นิตยสารรวมเรื่องสั้นสมัครเล่น (แฟนซีน) ของทางสมาคม ซึ่งเป็นการรวบรวมผลงานของนักเขียนชาวโปแลนด์ชื่อดังที่ไม่ได้ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการมานำเสนอให้แฟน ๆ ได้อ่านกัน

ระหว่างนั้นซัพคอฟสกีก็ทราบข่าวว่าเพื่อน ๆ คู่หนึ่งในแวดวงนักเขียน-นักแปลกำลังจะแต่งงานกัน ซึ่งก็คือ เพาลินา ไบรเตร์ (Paulina Braiter) กับพาเวล เชียมเคียวิซ (Paweł Ziemkiewicz) และทั้งสองคนก็เป็นที่รักในหมู่นักอ่านวรรณกรรม ซัพคอฟสกีจึงตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ให้เป็นของขวัญแต่งงานแด่พวกเขา และแล้วเรื่องสั้น Coś się kończy, coś się zaczyna (Something Ends, Something Begins) ก็ได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นครั้งแรกในแฟนซีนเมื่อปี 1993 ซึ่งขณะนั้นซัพคอฟสกีได้วางโครงเรื่องของเดอะวิทเชอร์เป็นนิยายเรื่องยาวเอาไว้แล้ว แต่ตัวเขาเองก็ยอมรับว่าเขียนได้ช้ามากจนถูกทวงต้นฉบับอยู่เป็นประจำ

แม้เรื่องสั้นเรื่องนี้จะมีตัวละครจากนิยายเดอะวิทเชอร์และกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างที่มีในนิยาย แต่ซัพคอฟสกียืนยันว่ามันเป็นเพียงเรื่องขำขันที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับนิยาย อย่างไรก็ตามหลังจากที่เรื่องสั้นเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็เกิดข่าวลือในหมู่แฟน ๆ ว่านี่คือตอนจบของนิยายเดอะวิทเชอร์ที่ซัพคอฟสกีกำลังเขียนอยู่ แม้แต่มิโรสวาฟ โควัลสกี (Mirosław Kowalski) บรรณาธิการของสำนักพิมพ์ SuperNOWA ที่ตีพิมพ์งานเขียนของซัพคอฟสกีก็ยังเอาเรื่องนี้มาแซวว่า "เอาเถอะ อย่างน้อยคุณก็มีบทสุดท้ายของเรื่องแล้ว"

ในเวลาต่อมาเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็ถูกรวมเล่มกับเรื่องสั้นอื่น ๆ ของซัพคอฟสกีและตีพิมพ์ออกมาในปี 2000 ในชื่อเดียวกันนี้ และถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเยอรมัน (Etwas endet, etwas beginnt), ภาษาสเปน (Camino sin retorno), ภาษาฝรั่งเศส (Quelque chose s'achève, quelque chose commence) และภาษารัสเซีย (Дорога без возврата) แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการออกมา

สำหรับการแปลเป็นภาษาไทยผู้แปลได้ยึดตามต้นฉบับภาษาโปแลนด์เป็นหลัก ร่วมกับฉบับภาษาสเปน และฉบับภาษาอังกฤษที่แฟน ๆ ช่วยกันแปลขึ้นมา โดยชื่อตัวละครและชื่อเฉพาะต่าง ๆ จะใช้ตามนิยายฉบับภาษาอังกฤษ ส่วนภาพประกอบนำมาจากฉบับภาษารัสเซียซึ่งวาดโดยเดนิส กอร์ดีฟ (Denis Gordeev) หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้แปลขอน้อมรับและจะปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุด

เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาโดยไม่แสวงผลกำไร จนกว่าจะมีการซื้อลิขสิทธิ์เรื่องสั้นเรื่องนี้เข้ามาแปลและจัดจำหน่ายในประเทศไทย



บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น

แปลจากเรื่องสั้น Coś się kończy, coś się zaczyna

โดย อันด์เชย์ ซัพคอฟสกี

แปลไทยโดย อาอี๊จับจอย

อ่านต้นฉบับภาษาโปแลนด์

อ่านฉบับภาษาอังกฤษ (fan-translated)

 

 

- I -

 

ตะวันแผ่เส้นแสงเพลิงผ่านรอยแตกบนบานหน้าต่าง แถบแสงลอดทะลุเป็นแนวเฉียงเข้ามาในห้อง กระเพื่อมไหวจากละอองฝุ่นลอยหมุนม้วน พร่างพรมจุดสว่างอาบลงบนพื้นห้องและบนแผ่นหนังหมีที่ปูทับไว้ สะท้อนประกายเจิดจ้าลงบนหัวเข็มขัดของเยนเนเฟอร์ เข็มขัดของเยนเนเฟอร์พาดอยู่บนรองเท้าบูทส้นสูงข้างหนึ่งของนาง รองเท้าบูทข้างนั้นเทินอยู่บนเสื้อเชิ้ตสีขาวประดับลูกไม้ และเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนั้นก็กองอยู่บนกระโปรงสีดำอีกที ถุงน่องข้างหนึ่งค้างอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ซึ่งมีเท้าแขนสลักเป็นรูปไคเมรา [1] ส่วนถุงน่องและรองเท้าบูทข้างที่เหลือนั้นอยู่ที่ใดไม่ปรากฏ เกรอลท์ถอนหายใจ เยนเนเฟอร์มักเปลื้องผ้าอย่างรวดเร็วและกระตือรือร้น เขาคงต้องเริ่มชินกับสิ่งนี้ได้แล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่น

เขาลุกขึ้นเปิดบานหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก ทะเลสาบซึ่งราบเรียบราวกระจกมีสายหมอกลอยเอื่อย พุ่มใบของต้นเบิร์ช [2] และต้นเอลเดอร์ [3] ที่ขึ้นอยู่ริมฝั่งเป็นประกายระยิบระยับจากหยาดน้ำค้าง ทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไปนั้นถูกห่มทับด้วยหมอกหนาคล้อยต่ำประหนึ่งใยแมงมุมคลุมอยู่บนยอดหญ้า

เยนเนเฟอร์ขยับตัวใต้ผืนผ้าห่มพร้อมกับทำเสียงอู้อี้ เกรอลท์ถอนหายใจ
“เป็นวันที่งดงามมากเลยนะ เยน”
“เอ่อ? อะไรนะ?”
“เป็นวันที่งดงามมาก งดงามที่สุดเลย”

นางทำเขาประหลาดใจ แทนที่จะสบถและหยิบหมอนมาปิดศีรษะ จอมเวทหญิงลุกขึ้นนั่ง สางเส้นผมด้วยนิ้วของนางและเริ่มมองหาชุดนอนในผ้าปูเตียง เกรอลท์รู้ว่าชุดนอนนั้นตกอยู่หลังหัวเตียง ตรงที่เยนเนเฟอร์โยนมันไปเมื่อคืน แต่เขาก็เงียบ เยนเนเฟอร์ไม่ชอบความเห็นที่เงียบงันนี้เลย

จอมเวทหญิงสบถเงียบ ๆ เตะผ้าห่มออกและยกมือขึ้นดีดนิ้ว ชุดนอนลอยขึ้นมาจากข้างหลังหัวเตียง ชายผ้ากระพือพรึ่บราวกับภูตลงทัณฑ์ [4] และเลื่อนไหลไปสู่มือที่ผายรอมันอยู่ เกรอลท์ถอนหายใจ

เยนเนเฟอร์ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเขา สวมกอดและขบฟันลงบนท่อนแขนเขา เกรอลท์ถอนหายใจ รายการของสิ่งที่เขาต้องทำใจให้ชินดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด

“เจ้าอยากพูดอะไรหน่อยไหม?” จอมเวทหญิงถามพลางหรี่ตาลง
“ไม่”
“ก็ได้ รู้ไหม? วันนี้ต้องงดงามอยู่แล้ว เตรียมงานกันได้เยี่ยมมาก”
“งาน? หมายความว่าไง?”

ก่อนเยนเนเฟอร์จะทันได้ตอบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องแหลม ๆ หวีดยาวและเสียงผิวปากจากข้างล่าง ซีรีกำลังควบม้าสาวสีดำไปตามชายฝั่งทะเลสาบจนผืนน้ำสาดกระเซ็น ม้าตัวนี้เป็นสายพันธุ์แท้และงดงามไร้ที่ติ เกรอลท์รู้มาว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของลูกครึ่งเอลฟ์ผู้ตัดสินวิทเชอร์สาวผมสีขี้เถ้าจากรูปลักษณ์ภายนอกของนาง และนั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ ซีรีตั้งชื่อม้าตัวนี้ว่าเคลปี ซึ่งในภาษาของชาวเกาะแห่งสเกลลิกะหมายถึงภูตแห่งท้องทะเลแสนชั่วร้ายและอันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งบางครั้งมันก็จำแลงกายเป็นม้า ชื่อนี้จึงเหมาะสมกับเจ้าม้าสาวเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ฮาล์ฟลิ่งตนหนึ่งได้รับบทเรียนแสนสาหัสเมื่อเขาพยายามจะขโมยเจ้าเคลปี ฮาล์ฟลิ่งตนนี้มีนามว่าแซนดี้ ฟร็อกมอร์ตัน แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทุกคนต่างก็เรียกเขาว่า “เจ้าหน้าดอกกะหล่ำ”

“สักวันนางคงได้คอหักแน่” เยนเนเฟอร์บ่นอุบพลางมองซีรีควบม้าจนน้ำกระจาย เด็กสาวโน้มตัวและยันสายโกลนจนสุดเท้า “สักวันลูกสาวจอมบ้าบิ่นของเจ้าคงได้คอหักแน่”

เกรอลท์หันไปสบตาจอมเวทหญิงโดยปราศจากถ้อยคำใด ๆ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีม่วงของนาง

“นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้น…” เยนเนเฟอร์ยิ้มโดยไม่ละสายตาไปจากเขา “ขอโทษที ลูกสาวของเราน่ะ”

นางสวมกอดเขาอีกครั้ง กอดอย่างแนบแน่น จุมพิตเขาอีกครั้ง และกัดเขาอีกครั้ง เกรอลท์สัมผัสเรือนผมของนางด้วยริมฝีปากของเขา และเปลื้องชุดนอนให้เลื่อนหลุดจากไหล่ของจอมเวทหญิงอย่างทะนุถนอม

และแล้วพวกเขาก็ลงเอยบนเตียงอีกครั้ง ท่ามกลางผืนผ้าห่มกระจัดกระจายที่ยังคงอบอุ่นชุ่มโชกด้วยความฝัน แล้วพวกเขาก็เริ่มค้นหากันและกัน ค้นหาอย่างยาวนานและอดทนยิ่ง ด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาจะหากันจนเจอและเติมเต็มซึ่งกันและกันด้วยความสุขสมรมย์รื่น และความสุขสมรมย์รื่นล้วนอยู่ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ และแม้ว่าพวกเขาจะแตกต่างกันเหลือกัน แต่ก็เข้าใจซึ่งกันและกันอยู่เสมอว่าความแตกต่างนั้นมิได้แบ่งแยกพวกเขา ทว่าเชื่อมต่อและยึดเหนี่ยวพวกเขาเอาไว้ ผูกพันทั้งคู่อย่างแนบแน่นและแน่นหนา ดุจร่องประกบบนคานซึ่งสอดรับกับสันหลังคา อันเป็นที่ก่อกำเนิดของเหย้าเรือน และมันก็เป็นเช่นครั้งแรกที่เขาถูกสะกดด้วยร่างเปลือยเปล่าอันเปล่งปลั่งและความปรารถนาอันเร่าร้อนของนาง ส่วนนางก็รื่นรมย์กับความอ่อนโยนและความนุ่มนวลของเขา และก็เป็นเช่นครั้งแรกที่นางอยากเอ่ยปากบอกเขา แต่เขาก็ขัดจังหวะด้วยจุมพิตและสัมผัสอันลึกซึ้ง ทำให้คำพูดของนางไร้ซึ่งความหมายใด ๆ อีก ต่อมาเมื่อเขาต้องการบอกนางบ้าง เขาก็มิอาจเปล่งเสียงออกมาได้ และแล้วความสุขสมรมย์รื่นก็โถมท่วมทั้งสองดุจแรงหินถล่ม เหลือเพียงเสียงกรีดร้องอันเงียบเชียบ แล้วทั้งโลกก็พลันมลายสิ้น บางสิ่งจบลง บางอย่างเริ่มขึ้น และบางอย่างยังอยู่ยง เหลือไว้เพียงความเงียบงัน สงบสุข และสันติ

และปีติอันเปี่ยมล้น

 

โลกหวนคืนดังเดิมอย่างช้า ๆ กลิ่นแห่งนิทราของเครื่องนอนปรากฏขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับห้องที่มีแสงแดดส่องเข้ามา และวันเวลา... วัน...

“เยน”
“หืม?”
“ตอนที่เจ้าพูดว่าวันนี้งดงามน่ะ เจ้าเสริมว่า 'เตรียมงานกันได้เยี่ยมมาก' มันหมายถึง…”
“หมายถึงเรื่องนั้นแหละ” นางยืนยันและเน้นเสียงพลางเหยียดแขนทั้งสองข้างคว้ามุมหนึ่งของหมอนหนุนเอาไว้ ปทุมถันของนางชูช่อจนปลุกเร้าแรงสะท้านอันทรงพลังแล่นลงไปตามแผ่นหลังของวิทเชอร์
“ดูสิ เกรอลท์ เราช่วยกันสร้างสภาพอากาศนี้ขึ้นมาเมื่อคืนน่ะ ตัวข้าเอง เนนเนเกะ ทริส แล้วก็ดอร์เรกาเรย์ ข้าจะไม่ยอมเสี่ยงหรอก มันจะต้องเป็นวันที่งดงาม…”

นางหยุดพูดและใช้เข่าคลึงสะโพกของเขา

“เพราะมันเป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตเจ้าน่ะสิ เจ้าคนทึ่ม”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[1] ไคเมรา (Chimera) สัตว์ประหลาด 3 หัวในปกรณัมกรีก มีส่วนหัวและลำตัวครึ่งหนึ่งเป็นสิงโต ส่วนท้ายและหางเป็นหัวมังกรหรืองู และมีหัวที่เป็นแพะอยู่กลางลำตัว (ที่มา Encyclopedia Britannica)

[2] ต้นเบิร์ช (Birch) ไม้เนื้อแข็งผลัดใบในวงศ์กำลังเสือโคร่ง ทรงพุ่มสูงชะลูดและไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน เนื้อไม้และเปลือกไม้มีสีขาวสะอาด พบกระจายอยู่ในแถบซีกโลกเหนือ (ที่มา Wikipedia)

[3] ต้นเอลเดอร์ (Alder) ไม้เนื้อแข็งผลัดใบในวงศ์กำลังเสือโคร่งเช่นเดียวกับต้นเบิร์ช มีความสูงตั้งแต่ 5 - 30 เมตร แต่ส่วนใหญ่มักเป็นพุ่มเตี้ย ชอบเติบโตอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ฝักแห้งแข็งคล้ายลูกสนแต่มีขนาดเล็กกว่า (ที่มา Wikipedia)

[4] ภูตลงทัณฑ์ (Penitent) เจตภูตชนิดหนึ่งที่คอยไล่ล่าเอาชีวิตผู้ที่กระทำผิด ปรากฏตัวโดยมีผืนผ้ารุ่งริ่งคลุมร่างหรือมีผ้าคลุมศีรษะซึ่งพริ้วไหวยามที่มันล่องลอยมา (ที่มา The Witcher Official Fandom)

 

 

- II -

 

ปราสาทรอซร็อกซึ่งตั้งตระหง่านบนเนินกลางทะเลสาบนั้นจำเป็นต้องซ่อมแซมอย่างหนักทั้งภายในและภายนอก มิเพียงแต่ในยามนี้เท่านั้น พูดง่าย ๆ รอซร็อกก็คือซากปราสาท เป็นกองหินที่ดูไม่เป็นรูปเป็นร่างซึ่งคลุมด้วยเถาไอวี่ [5] เถาผักบุ้งฝรั่ง [6] และเถาก้ามปูหลุด [7] เป็นซากปราสาทที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ แอ่งโคลน และหนองบึงซึ่งเต็มไปด้วยฝูงกบ ฝูงงูหญ้า และฝูงเต่า มันเป็นซากปราสาทมาแต่ครั้งที่ตกทอดมาสู่ราชาเฮอร์วิก ปราสาทรอซร็อกและอาณาบริเวณที่ลุ่มโดยรอบเป็นดั่งของขวัญตลอดชีพและของขวัญอำลาแด่เฮอร์วิกซึ่งสละบัลลังก์เมื่อสิบสองปีก่อน เพื่อส่งมอบไปยังพระภาคิไนยผู้มีนามว่าเบรนแนน ซึ่งมีสมัญญานามว่า “ผู้ประเสริฐ”

เกรอลท์ได้พบกับอดีตราชาผ่านทางแดนดีไลออน เนื่องจากนักกวีมักไปพักแรมที่ปราสาทนี้อยู่บ่อยครั้ง ด้วยเฮอร์วิกเป็นเจ้าบ้านผู้รื่นเริงและเอื้ออารี แดนดีไลออนเสนอชื่อเฮอร์วิกและปราสาทของพระองค์หลังจากเยนเนเฟอร์ปฏิเสธสถานที่ทั้งหมดที่วิชเชอร์รวบรวมมาให้เนื่องจากนางเห็นว่าไม่เหมาะสม น่าประหลาดใจที่จอมเวทหญิงตกลงเลือกปราสาทรอซร็อกในทันทีโดยที่นางไม่ได้ย่นจมูกเลยแม่แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้พิธีสมรสของเกรอลท์และเยนเนเฟอร์จึงถูกจัดขึ้น ณ ปราสาทรอซร็อก

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[5] ไอวี่ (Ivy) ไม้เลื้อยเนื้ออ่อนขนาดเล็ก ใบรูปไข่เว้าหยักเป็นพู 3 – 5 พู คล้ายใบตำลึง แผ่นใบหนาสีเขียว นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ (ที่มา บ้านและสวน)

[6] ผักบุ้งฝรั่ง (Mornig glory) ไม้ประดับในวงศ์ผักบุ้ง เป็นพืชล้มลุกที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเถาเลื้อย กลีบดอกบางและส่วนโคนเชื่อมกันเป็นทรงปากแตร มีสีสันหลากหลาย ดอกบานในช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น (ที่มา Wikipedia)

[7] ก้ามปูหลุด (Tradescantia) บางครั้งก็เรียกว่า "ปีกแมลงสาบ" เป็นไม้ประดับในวงศ์ผักปลาบ ลำต้นอวบน้ำทอดเลี้อยแตกแขนงได้ดี ใบรูปใข่ปลายแหลมโคนมน ด้านล่างใบเป็นสีม่วง ส่วนด้านบนเป็นแถบสีขาวสลับสีเขียว (ที่มา Wikipedia)

 

 

- III -

 

แรกเริ่มเดิมทีมันควรเป็นเพียงงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ปรากฏว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วยหลากหลายเหตุผล ดังนั้นงานนี้จึงต้องการใครสักคนที่มีพรสวรรค์ด้านการจัดงาน แน่นอนว่าเยนเนเฟอร์ปฏิเสธหน้าที่นี้ นางไม่อยากจัดการงานแต่งงานของตัวเอง เกรอลท์และซีรีก็ไม่มีความสามารถด้านนี้ ส่วนแดนดีไลออนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดังนั้นภาระทั้งหมดจึงถูกมอบหมายให้กับเนนเนเกะ นักบวชหญิงแห่งวิหารเทพีเมลิเทเลในเมืองเอลลันเดอร์ เนนเนเกะรีบรุดมาในทันทีพร้อมกับนักบวชหญิงรุ่นเยาว์สองคน ไอโอลาและยูร์นีด

และสารพันปัญหาก็เริ่มขึ้น

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

 

- IV -

 

“ไม่ได้ เกรอลท์” เนนเนเกะแผดเสียงพร้อมกระทืบเท้า “ข้าจะไม่ยอมเป็นคนจัดพิธีหรืองานเลี้ยงอะไรที่นี่ทั้งนั้น ซากปรักหักพังนั่น ที่ไอ้งั่งบางคนเรียกมันว่าปราสาทน่ะ มันใช้การได้ที่ไหนกัน ห้องครัวก็ใกล้จะถล่มลงมาเต็มแก่ โถงเต้นรำก็เห็นจะใช้เป็นคอกม้าได้อย่างเดียว ส่วนโบสถ์น่ะ... จริง ๆ แล้วไม่น่าจะนับว่าเป็นโบสถ์เสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็บอกข้าสักหน่อยว่าเจ้าเฮอร์วิกคนหยิบโหย่งนั่นมันนับถือเทพองค์ไหนกัน?”

“เท่าที่ข้ารู้ เขาไม่ได้นับถือทวยเทพองค์ไหนเลย เขาบอกว่าศาสนาคือรากแมนเดรกของเหล่าประชา” [8]

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” นักบวชหญิงเอ่ยโดยไม่ปิดบังท่าทีประณามหยามเหยียด “ในโบสถ์ไม่มีเทวรูปสักองค์ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่นับกองขี้หนูพวกนั้นนะ ที่นี่มันไกลปืนเที่ยงจะตาย! เกรอลท์ ทำไมเจ้าไม่อยากแต่งงานที่เมืองเวนเกอร์เบิร์ก? ในเมืองที่มันเจริญแล้ว”

“ท่านก็รู้ว่าเยนมีสายเลือดเอลฟ์อยู่เสี้ยวหนึ่ง และในเมืองที่เจริญแล้วของท่านน่ะไม่ยอมรับการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ด้วย”

“เทพีเมลิเทเลทรงโปรด! มีเลือดเอลฟ์อยู่เสี้ยวหนึ่งแล้วมันยังไง? ท้ายที่สุดแล้วใคร ๆ ก็ล้วนมีสายเลือดของชาวเอลฟ์อยู่ในตัวกันแทบทั้งนั้น! แค่อคติไร้สาระของพวกปัญญาอ่อน!”

“ข้าก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า”

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[8] แมนเดรก (Mandrake) พืชล้มลุกในวงศ์มะเขือ ลักษณะเด่นคือส่วนรากที่หนาและแตกแขนงจนในบางครั้งก็ดูเหมือนรูปร่างคน ทุกส่วนของพืชมีสารพิษและสารที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน (ที่มา Encyclopedia Britannica) ส่วนประโยค "ศาสนาคือรากแมนเดรกของเหล่าประชา" เป็นการล้อเลียนวรรคทองของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ที่ว่า "ศาสนาคือยาฝิ่นของเหล่าประชา" (Religion is the opium of the people.)

 

 

- V -

 

รายนามแขกเหรื่อไม่ได้ยาวมากนัก คู่บ่าวสาวช่วยกันรวบรวมรายชื่อและแดนดีไลออนเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเชื้อเชิญแขก ไม่นานก็ปรากฏว่านักกวีได้ทำรายชื่อหายไปก่อนที่เขาจะทันได้อ่านมัน น่าละอายที่เขาไม่ยอมสารภาพผิดและยังแก้ปัญหาอย่างมักง่ายด้วยการเชิญใครก็ตามที่พอจะเชิญมาได้ แน่นอนว่าเขารู้จักเกรอลท์และเยนเนเฟอร์ดีพอที่จะไม่พลาดเชิญแขกคนสำคัญ แต่มันคงไม่สมกับเป็นเขา ถ้าหากเจ้านักกวีไม่เพิ่มรายชื่อแขกอีกมากโขโดยการสุ่มเลือกมา

และแล้วผู้เฒ่าเวเซเมียร์แห่งแคร์มอร์เฮนผู้เป็นอาจารย์ของเกรอลท์ก็เดินทางมาถึง พร้อมกับวิทเชอร์เอสเกล สหายคนสนิทของเกรอลท์ตั้งแต่ครั้งยังเด็ก

ดรูอิดเมาส์แส็คก็มาเช่นกัน เคียงคู่มากับสตรีผิวสีทองแดงผมบลอนด์ผู้มีส่วนสูงมากกว่าเขาราวหนึ่งช่วงศีรษะและอ่อนเยาว์กว่าเขาราวสองสามร้อยปี ทั้งสองเดินทางมากับยาร์ลครัค อัน ไครท์ แห่งสเกลลิกะ พร้อมด้วยบุตรทั้งสองของเขา แร็กนาร์และโลกิ เมื่ออยู่บนหลังม้า เท้าของแร็กนาร์นั้นแทบสัมผัสถึงพื้น ส่วนโลกินั้นดูราวกับเอลฟ์ผู้บอบบาง ซึ่งมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด พวกเขาเป็นพี่น้องต่างมารดา บุตรทั้งสองของท่านยาร์ลนั้นเกิดจากภรรยาคนละคน

เทศมนตรีคาลเดมีนแห่งเมืองบลาวิเคนมาถึงพร้อมกับแอนนิกา ลูกสาวของเขา ซึ่งเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักแต่มีท่าทางขวยเขินอย่างมาก

น่าแปลกที่คนแคระยาร์เพน ซิกริน ปรากฏตัวโดยไร้เงากลุ่มโจรเคราดกที่เขาเรียกว่า “พวกเด็ก ๆ” ซึ่งเดินทางด้วยกันอยู่เป็นประจำ ยาร์เพนร่วมทางมากับเอลฟ์เชอรีแดนผู้มีสถานะอันคลุมเครือทว่าสูงส่งในหมู่ชาวเอลฟ์อย่างไม่ต้องสงสัย ร่วมขบวนด้วยเหล่าเอลฟ์ผู้เงียบขรึมซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเขาสักตน

คณะของพวกฮาล์ฟลิ่งมาถึงพร้อมกับเสียงเอะอะอื้ออึง เกรอลท์รู้จักเพียงเดนตี้ บีเบอร์เวลท์ ชาวสวนจากหมู่บ้านทุ่งน็อทวีด และการ์ดีเนีย ภรรยาจอมฮึดฮัดของเขาตามที่เคยได้ยินมา ในหมู่คณะนี้ยังมีฮาล์ฟลิ่งซึ่งมิใช่ฮาล์ฟลิ่งอยู่ตนหนึ่งด้วย ซึ่งก็คือพ่อค้าและนักธุรกิจผู้เลื่องชื่อนามเทลลิโก ลุนน์เกรวิงค์ เลทอร์ต แห่งโนวิกราด ด็อพเพลอร์นักจำแลงกายซึ่งแปลงร่างเป็นฮาล์ฟลิ่งและใช้ชื่อปลอมว่าดูดู

บารอนเฟร็กเซเนตแห่งป่าโบรคิลอนมาพร้อมกับเบรนน์ นางไม้ผู้เป็นภริยาของเขา และลูกสาวทั้งห้าซึ่งมีชื่อว่าโมเรนน์ ซีริลลา โมนา เอธเน และคาชกา โมเรนน์น่าจะมีอายุราวสิบห้า ส่วนคาชกานั้นราว ๆ ห้าขวบ ทั้งหมดมีผมสีแดงเพลิงแม้ว่าเฟร็กเซเนตจะมีผมสีดำและเบรนน์มีผมสีทองเหมือนน้ำผึ้ง เห็นได้ชัดว่าเบรนน์นั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ เฟร็กเซเนตยืนกรานอย่างจริงจังว่าคราวนี้จะต้องเป็นลูกชาย ทำให้เหล่าลูกสาวนางไม้ผมแดงของเขามองหน้ากันและหัวเราะคิกคัก ส่วนเบรนน์ก็กล่าวเสริมพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ว่า “ลูกชาย” คนนี้จะมีชื่อว่าเมลิสซา

ยาร์เรมือเดียวก็มาถึงแล้ว เขาคือนักบวชหนุ่มและนักประวัติศาสตร์จากเอลลันเดอร์ผู้เป็นศิษย์ของเนนเนเกะ ยาร์เรมาร่วมงานนี้ก็เพราะซีรี เนื่องจากเขาตกหลุมรักนาง แต่ซีรีก็ทำให้เนนเนเกะต้องผิดหวัง ดูเหมือนว่านางจะไม่สนใจใยดีหนุ่มพิการและท่าทางเกี้ยวพาราสีอันเงอะงะของเขา

รายนามแขกเหรื่อที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเริ่มต้นด้วยดยุคอโกลวัลแห่งเบรเมอร์วูร์ด การมาเยือนของเขาเป็นดั่งปาฏิหาริย์ เนื่องจากท่านดยุคและเกรอลท์ชังน้ำหน้ากันและกันอย่างแท้จริง ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือเรื่องที่อโกลวัลปรากฏตัวพร้อมกับพระชายานางเงือกชีนาซ แม้ว่าชีนาซจะยอมสละหางปลาเพื่อเปลี่ยนเป็นเรียวขาคู่งามวิไลแล้ว แต่ก็เป็นที่รู้กันว่านางไม่เคยออกห่างจากชายฝั่งทะเลเลยเนื่องจากนางกลัวแผ่นดิน

น้อยคนนักที่คาดหมายว่าจะมีผู้สวมมงกุฎพระองค์อื่นมาร่วมงานอีก เนื่องจากไม่มีผู้ใดส่งคำเชื้อเชิญไป ถึงกระนั้นราชวงศ์ต่าง ๆ ก็ส่งจดหมาย ส่งของขวัญ ส่งราชทูต หรือส่งทุกอย่างที่กล่าวมา คงมีการนัดหมายกันไว้เนื่องจากผู้นำสาส์นทั้งหมดนั้นมาด้วยกันเป็นกลุ่มเดียวและเริ่มสนิทสนมกันระหว่างการเดินทาง อัศวินอีฟส์เป็นตัวแทนของราชาเอเธน เจ้าเมืองซูลิวอยเป็นตัวแทนของราชาเวนซลาฟ เซอร์มาธอล์มเป็นตัวแทนของราชาซิกิสมุนด์ และเซอร์เดเวอโรซ์เป็นตัวแทนของราชินีแอดดาผู้เคยเป็นสตริกามาก่อน คงเป็นการเดินทางที่ครึกครื้นน่าดู เนื่องจากอีฟส์ปากแตก ส่วนแขนข้างหนึ่งของซูลิวอยก็มีผ้าพันคล้องไว้กับคอ มาธอล์มเดินกะเผลก และเดเวอโรซ์ก็ดูเหมือนคนเมาค้างจนยากจะทรงตัวบนอานม้าได้

ไม่มีใครเชิญมังกรทองวิลเลนเทรเทนเมิร์ธ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเชิญเขาอย่างไรและจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน มังกรทองปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจของแขกเหรื่อ แน่นอนว่าเขาต้องแปลงกายมาในร่างของอัศวินบอร์ชผู้มีตราประจำตัวเป็นรูปนกแจ็คดอว์ [9] สามตัว แน่นอนว่าที่ใดที่มีแดนดีไลออน ที่นั่นย่อมไม่มีใครอื่นที่จะสาธยายถึงแขกที่แปลงร่างได้ ถึงกระนั้นก็ยังมีบางคนที่เชื่อเมื่อนักกวีชี้ไปยังอัศวินผมหยักศกและอ้างว่าเขาผู้นั้นคือมังกร

ไม่มีใครคาดหมายและไม่มีใครเชื้อเชิญคณะแขกอันเอิกเกริกประหนึ่งฉากในภาพวาด ซึ่งขนานนามตนเองว่า “สหายและคนรู้จัก” ของแดนดีไลออน ส่วนใหญ่เป็นนักกวี นักดนตรี และนักขับลำนำ ร่วมด้วยนักกายกรรม นักเล่นเกมทอยเต๋ามืออาชีพ และนักฝึกจระเข้อย่างละคน กับสี่สาวงามในชุดอู้ฟู่หลากสี สามในสี่นั้นดูราวกับหญิงโสเภณี ส่วนอนงค์นางที่เหลือซึ่งดูไม่เหมือนพวกนางโลมนั้นก็เป็นนางโลมอย่างไม่ต้องสงสัย แขกคณะนี้จะครบสมบูรณ์ด้วยผู้พยากรณ์อีกสองคนซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักต้มตุ๋น ประติมากรอีกหนึ่งคน กับร่างทรงหญิงผมทองซึ่งดูมึนเมาตลอดเวลา และโนมผู้มีรอยแผลเป็นฝีดาษบนใบหน้าซึ่งอ้างว่าตนเองชื่อชุทเทนบาค

เหล่าจอมเวทมาถึงด้วยเรือเวทมนตร์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกรูปร่างคล้ายหงส์ผสมกับหมอนหนุนขนาดยักษ์ พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าที่ได้รับคำเชิญสี่เท่า แต่ก็มากกว่าที่คาดไว้ถึงสามเท่า เนื่องจากเมื่อข่าวลืองานสมรสแพร่สะพัดออกไป บรรดาคนรู้จักของเยนเนเฟอร์ต่างไม่ยอมรับเรื่องที่นางจะแต่งงานกับบุรุษซึ่ง “เป็นคนนอก” ภราดรจอมเวท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิทเชอร์ จอมเวทส่วนหนึ่งเพิกเฉยต่อคำเชิญ และส่วนหนึ่งก็กล่าวโทษที่ตนเองไม่มีเวลาและอ้างความจำเป็นที่ต้องเข้าร่วมงานประชุมใหญ่ประจำปีของจอมเวททั่วโลก ด้วยเหตุนี้ผู้ที่โดยสารมาบนเรือซึ่งแดนดีไลออนตั้งชื่อว่า “สกุณาเขนย” จึงมีเพียงดอร์เรกาเรย์แห่งโวล กับแรดคลิฟฟ์แห่งอ็อกเซนเฟิร์ต

และทริส เมริโกลด์ ผู้มีเรือนผมสีเกาลัดในเดือนตุลาคม [10]

 

⤝⭑⭑⭑⭑⭑⭑✡✪✡⭑⭑⭑⭑⭑⭑⤞

 

หมายเหตุ

[10] เกาลัดในเดือนตุลาคม (October chestnut) ผลเกาลัดจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน เมล็ดเกาลัดที่เก็บเกี่ยวใหม่ ๆ ในช่วงนี้จะมีเปลือกสีน้ำตาลเข้มออกแดง ประเทศในแถบยุโรปมักมีการจัดเทศกาลเกาลัดในเดือนตุลาคม (ที่มา Wikipedia)

 

 

📜 อ่าน Part 2 (บทที่ 6 - 8) ที่นี่

 

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.