แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง (True Higher Vampire)
**เพื่อป้องกันความสับสนกับแวมไพร์ชั้นสูงชนิดอื่น ๆ บทความนี้จะเรียกแวมไพร์แบบเรจิสว่า “แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง” แม้ในต้นฉบับภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า higher vampire เหมือนกันก็ตาม**
แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง หรือที่พวกนักวิชาการเรียกว่า แวมไพเรส ซูพีเรียเรส (Vampires superiores) เป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่ครอบครองโลกของเหล่าแวมไพร์และปรากฏตัวขึ้นบนมหาทวีปหลังเกิดปรากฏการณ์ conjunction of the spheres แม้จะมีคุณสมบัติและความสามารถที่เหนือกว่ามนุษย์ในแทบทุกด้าน แต่แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงก็ยังเลือกใช้วิธีการแปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อแฝงตัวอยู่ในสังคมอย่างแนบเนียน สิ่งที่ทำให้แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงแตกต่างจากแวมไพร์ชนิดอื่น ๆ คือ พวกเขาไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดเป็นอาหาร แต่จะดื่มด้วยเหตุผลแบบเดียวกับที่มนุษย์ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายได้รวดเร็วกว่ามอนสเตอร์ทุกชนิด แม้จะถูกฆ่าจนร่างแหลกเหลวหรือถูกแยกชิ้นส่วนจนตาย แต่ในที่สุดพวกเขาก็จะฟื้นคืนชีพและคืนสภาพกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง
เลือกอ่านตามหัวข้อ
นิยาย The Witcher Saga
ในนิยายของ Andrzej Sapkowski มีตัวละครที่เป็นแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงเพียงแค่ตัวละครเดียว คือ เอมิล เรจิส เรื่องราวของเผ่าพันธุ์นี้จึงถูกถ่ายทอดในมุมมองที่ค่อนข้างแคบผ่านเรื่องเล่าและการกระทำของเรจิสเท่านั้น โดยเรจิสได้เล่าไว้ในเล่ม Baptism of Fire ว่า มีแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจำนวนไม่มากนักที่หลุดมายังมหาทวีป แม้แสงอาทิตย์บนโลกใหม่จะไม่ได้ทำให้พวกเขากลายเป็นเถ้าถ่าน แต่การต้องปรับตัวให้กลมกลืนกับมนุษย์ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดก็ทำให้เหล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ทั้งนี้เรจิสยังเชื่อว่าในระยะยาวแสงอาทิตย์อาจส่งผลเสียที่ทำให้แวมไพร์แบบเขาเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ในนิยายไม่ได้กล่าวถึงการสืบเผ่าพันธุ์ของเหล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง แต่การที่เรจิสมีอายุ 428 ปี ก็แปลว่าเขาไม่ใช่แวมไพร์รุ่นแรกที่มาจากโลกอื่น แต่ถือกำเนิดขึ้นบนมหาทวีปหลังเกิดคอนจังชัน แสดงว่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงก็ยังคงสืบเผ่าพันธุ์ได้ แต่อาจมีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้พวกเขาเพิ่มจำนวนประชากรได้ช้าเช่นเดียวกับพวกเอลฟ์ แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงไม่มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับครอบครัวหรือลำดับความอาวุโส แวมไพร์อายุน้อยมีอิสระในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และมักจับกลุ่มสังสรรค์เพื่อสร้างความประทับใจให้กับเพศตรงข้าม ซึ่งกิจกรรมสังสรรค์ที่ว่าก็คือการบุกโจมตีหมู่บ้านในคืนวันเพ็ญเพื่อดื่มเลือดมนุษย์จนกว่าจะเมาหัวราน้ำ
แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงมีประสาทสัมผัสที่ไวกว่ามนุษย์หลายเท่า เรจิสสามารถแยกระหว่างเลือดปกติกับเลือดที่มีการติดเชื้อได้จากการดมกลิ่น ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าพวกสัตว์ต่าง ๆ สามารถแยกกลิ่นแวมไพร์ออกจากกลิ่นมนุษย์ได้ เขาจึงเก็บสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนติดตัวไว้เสมอเพื่ออำพรางกลิ่นของตัวเอง เหรียญประจำสำนักของวิทเชอร์ไม่สามารถตรวจจับแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้หากพวกเขาอยู่ในร่างมนุษย์ ส่วนการกลายร่างเป็นค้างคาวยักษ์นั้นจะทำได้เฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
(ซ้าย) ร่างมนุษย์ของเรจิส (ขวา) เรจิสแปลงร่างเป็นค้างคาวยักษ์โจมตีวิลเกฟอตซ์ ภาพประกอบโดย Denis Gordeev |
นอกจากจะมีพละกำลังและความเร็วในระดับที่มนุษย์ไม่อาจเทียบได้ แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงยังสามารถสะกดจิตมนุษย์ให้ทำตามคำสั่งหรือสะกดจิตให้หลับได้ผ่านคำพูด โลหะเงินและเปลวไฟธรรมดา ๆ นั้นไม่สามารถเผาไหม้ผิวหนังหรือสร้างความเจ็บปวดให้กับแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้เลย การจะเผาร่างของแวมไพร์ชนิดนี้จะต้องใช้ไฟที่สร้างจากเวทมนตร์เท่านั้น
ส่วนเรื่องการสังหารแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงไม่ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก ในนิยายเล่าไว้ค่อนข้างกำกวมและทิ้งช่องว่างเอาไว้ให้ผู้อ่านตีความกันเอาเอง หากผู้อ่านเชื่อว่าเวทเพลิงของวิลเกฟอตซ์สามารถเผาร่างของเรจิสจนเขาไม่อาจฟื้นคืนชีพได้อีก ก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงสามารถถูกฆ่าให้ตายไปตลอดกาลได้ด้วยเวทเพลิง ซึ่งจะทำให้แนวคิดเรื่องความตายของแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงในจักรวาลของ CDPR ดูไม่สอดคล้องกับนิยายไปด้วย
จักรวาลเกมของ CDPR
แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงในจักรวาลเกมของ CDPR นั้นมีลักษณะและความสามารถแตกต่างไปจากนิยายเล็กน้อย พวกเขาสามารถกลายร่างได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องรอให้ถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง สามารถกลายสภาพเป็นหมอกที่ทะลุทะลวงผ่านวัตถุได้ แต่โดยทั่วไปแล้วแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจะมีรูปร่างอยู่ 3 แบบ ได้แก่ ร่างมนุษย์ ร่างกึ่งอสูร และร่างอสูร ซึ่งจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแวมไพร์แต่ละตนที่ลอกเลียนแบบกันไม่ได้
ใน DLC Blood and Wine ได้มีการเพิ่มเรื่องราวประวัติศาสตร์และโครงสร้างทางสังคมของเผ่าพันธุ์แวมไพร์ลงไปด้วย โดยมี “ผู้เฒ่าเร้นลับ” (The Unseen Elder) เป็นวรรณะสูงสุดที่มีพลังและอำนาจปกครองแวมไพร์ทั้งปวง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มแนวคิดที่ว่า ไม่มีสิ่งใดที่สามารถฆ่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้ นอกจากแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงด้วยกันเท่านั้น สังคมแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจึงมีกฎเหล็กว่าห้ามฆ่าฟันกันเอง หากผู้ใดละเมิดกฎก็จะกลายเป็น “ผู้ถูกประณาม” (anathema) และต้องถูกลงโทษหรือถูกขับไล่ออกไปอยู่ตามลำพัง
(บน) ร่างมนุษย์, ร่างกึ่งอสูร และร่างอสูรของเด็ตลาฟ (ล่าง) ร่างมนุษย์, ร่างกึ่งอสูร และร่างอสูรของเรจิส |
A Witcher's Journal
จุดกำเนิดของแวมไพร์ชั้นสูง
ถึงแม้จะยังไม่มีนักวิชาการคนใดสามารถถอดรหัสต้นกำเนิดของแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้ แต่ข้อเท็จจริงที่รู้กันก็คืออสุรกายเผ่าพันธุ์นี้ปรากฏขึ้นบนมหาทวีปหลังจากเกิดการเชื่อมต่อกันของพหุจักรวาล โลกดั้งเดิมของพวกเขาถูกครอบครองโดยแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นหลายเผ่า หลายวัฒนธรรม และหลายประเทศ เป็นโลกแปลกประหลาดที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะและสารอินทรีย์อื่น ๆ ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติบนมหาทวีป บางคนก็สันนิษฐานจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในเวลากลางคืนของเหล่าแวมไพร์ และเชื่อว่าบ้านเกิดของอสุรกายเหล่านี้น่าจะมีแต่ความมืดหรือมีแค่เพียงแสงจันทร์เท่านั้น
เมื่อแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงกลุ่มแรกจับพลัดจับผลูเข้ามายังมหาทวีป สถานที่ที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นก็คือที่เชิงเขากอร์กอนในแคว้นทูซองต์เช่นเดียวกับแวมไพร์ชนิดอื่น ๆ ในสมัยนั้นทั้งภูมิภาคนี้ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของเอลฟ์เอนเชด์ พวกเอลฟ์ได้สร้างอาณาจักรขึ้นรอบ ๆ เมืองหินอ่อนสีขาวอันแสนงดงามที่จะกลายเป็นเมือง “โบแคลร์” (Beauclair) ในเวลาต่อมา พวกแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงไม่มีความรู้เกี่ยวกับโลกใบใหม่และไม่รู้วิธีที่จะเดินทางกลับไปยังโลกเดิมได้ แต่ด้วยความสามารถในการกลายร่างและลักษณะสังคมที่สง่างาม แวมไพร์กลุ่มนี้จึงแฝงตัวเข้าไปในสังคมของพวกเอนเชด์ได้อย่างง่ายดาย แม้ต้องเรียนรู้และหัดพูดภาษาเอลฟ์อยู่นานก็ตาม
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจึงแยกกันออกเป็นสามเผ่า แต่ละเผ่าได้แยกย้ายกันไปยังส่วนต่าง ๆ ของบ้านใหม่หลังนี้
แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บนมหาทวีปมักเป็นเผ่าการาแชม (Gharasham) เผ่านี้ได้ตั้งรกรากอยู่ในแคว้นทูซองต์ ใช้ชีวิตปะปนอยู่กับเอลฟ์เอนเชด์และสร้างเครือข่ายสังคมซ่อนไว้ใต้เงามืด สัญลักษณ์ประจำเผ่าเป็นรูปฝ่ามือที่แบออกและมีรูปหยดเลือดแต้มอยู่ตรงปลายนิ้วทั้งห้าและบนฝ่ามือ แสดงถึงเจตจำนงที่จะหลอมรวมวัฒนธรรมของตัวเองเข้ากับวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านหน้าใหม่บนโลกนี้
เผ่าแอมมูรูน (Ammurun) เดินทางไปยังทิศตะวันตกจนถึงทะเลใหญ่ (Great Sea) และลงเรือไปเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ ไม่มีนักวิชาการคนใดที่สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการหาบ้านหลังใหม่หรือไม่ และไม่เคยมีแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจนใดที่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้เลย ดูจากสัญลักษณ์ของเผ่าที่เป็นรูปมือกำด้ามกริชที่มีหยดเลือไหลลงมา ก็อาจตีความได้ว่าพวกเขาน่าจะถนัดในการสู้รบ บางทีอาจหมายถึงผู้อยู่อาศัยในทวีปทางตะวันตกจะได้พบกับภัยคุกคามจากแวมไพร์เผ่านี้ก็เป็นได้
เผ่าทเด็ต (Tdet) เดินทางข้ามเทือกเขาสีน้ำเงิน (Blue Mountains)ไปทางตะวันออก เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจไปถึงอาณาจักรเซอร์ริเคเนีย (Zerrikania) หรืออาจไปไกลถึงฮาคแลนด์ (Haakland) ส่วนสัญลักษณ์ของพวกเขาซึ่งเป็นรูปมือที่นิ้วก้อยและนิ้วหัวแม่มือพับเข้าหากันและมีอสรพิษเลื้อยพันรอบมือนั้น ยังคงเป็นปริศนาเช่นเดียวกับเรื่องราวของดินแดนทางตะวันออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลใดหลุดรอดออกมาจากแวมไพร์เผ่าการาแชม รายละเอียดเกี่ยวกับเผ่าทเด็ตจึงยังคงเป็นปริศนาต่อไป
สังคมของแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง
แม้ว่าพวกแวมไพร์ชันสูงที่แท้จริงจะสามารถปรับตัวปะปนเข้าไปในสังคมมนุษย์และเอลฟ์ได้อย่างแนบเนียน แต่พวกเขาก็ยังรักษาสังคมดั้งเดิมของตัวเองไว้ได้ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจะยึดมั่นในกฎทางสังคมของแวมไพร์มากกว่ากฎภายนอกของเผ่าพันธุ์อื่น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในสังคมแวมไพร์ คือ ความเป็นญาติพี่น้อง แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจะรักษาสายสัมพันธ์ฉันพี่น้องให้แน่นแฟ้นอยู่เสมอ ค่านิยมนี้มีรากฐานมาจากความจริงที่ว่ามีเพียงแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงด้วยกันเท่านั้นที่สามารถสังหารเผ่าพันธุ์เดียวกันได้ หากแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงถูกสิ่งอื่นนอกจากเผ่าพันธุ์เดียวกันฆ่าตาย พวกเขาจะสามารถฟื้นฟูสภาพตัวเองและ “ฟื้นคืนชีพ” ขึ้นมาใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้เองในหมู่แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจึงมีกฎเหล็กว่า “ห้ามฆ่าฟันกันเอง” หากมีใครฆ่าพวกเดียวกันก็จะถูกสังคมแวมไพร์ประณาม และต้องถูกขับไล่หรือรับโทษทัณฑ์จากสังคม
หากเรจิสสังหารเด็ตลาฟ จะทำให้เขากลายเป็น anathema และต้องถูกขับไล่ออกจากสังคมแวมไพร์ |
นอกเหนือไปจากกฎข้อนี้แล้ว สังคมของแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงยังคงเป็นปริศนาที่ถูกเก็บงำไว้ การเผชิญหน้ากับแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นได้ยาก และพวกเขามักไม่ยอมปริปากพูดถึงวัฒนธรรมของตัวเองให้คนนอกได้รับรู้ จึงเป็นสาเหตุที่แทบไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมของพวกแวมไพร์เลย
แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดเพื่อดำรงชีวิต เพียงแต่ต้องการผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงส่วนใหญ่ดื่มเลือดเหมือนกับที่มนุษย์ดื่มไวน์หรือเบียร์ แวมไพร์บางตนก็ละเว้นการดื่มเลือดเช่นเดียวกับมนุษย์บางคนที่หลีกเลี่ยงการดื่มของมึนเมา และมีบางส่วนที่เสพติดการดื่มเลือดเหมือนกับคนที่ “ติดเหล้า” ซึ่งจะมีอาการกระสับกระส่ายหรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวหากไม่ได้ดื่ม แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงมีวัฒนธรรมการ “ทำฟาร์มมนุษย์” และเผ่าพันธุ์ทรงปัญญาอื่น ๆ และถึงแม้ในปัจจุบันแทบไม่มีการทำฟาร์มแบบนี้แล้ว แต่ก็ยังมีแวมไพร์บางตนที่คงยังทำอยู่
แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงและแวมไพร์ชั้นสูงชนิดอื่น ๆ จะมีธรรมเนียมการเฉลิมฉลองเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งถือเป็นวันสำคัญตามวัฒนธรรมของแวมไพร์ แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจำนวนมากจะบุกจู่โจมหมู่บ้านและดื่มเลือดจนเมามาย ก่อนจะสังสรรค์กันต่อตลอดทั้งคืน
สิ่งสุดท้ายที่ยังคงเป็นปริศนามากที่สุดก็คือ ผู้เฒ่าเร้นลับ ของเหล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง สันนิษฐานกันว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้คือแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงที่มีอายุยืนยาวจนถึงช่วงวัยสุดท้าย และเป็นผู้ปกครองสูงสุดของสังคมแวมไพร์ ผู้เฒ่าเร้นลับนั้นมีพลังแก่กล้าเกินกว่าเหล่าแวมไพร์ทั้งปวง และร่ำลือกันว่าพลังนั้นอยู่เหนือระดับความสามารถที่เผ่าพันธุ์นี้จะมีได้ พวกเขาจะไม่ข้องแวะกับเผ่าพันธุ์ใด ๆ และแม้แต่พวกแวมไพร์ชันสูงที่แท้จริงก็แทบไม่เคยพบเห็นพวกผู้เฒ่าเร้นลับด้วย หากสังคมแวมไพร์มีภัยคุกคามครั้งใหญ่หรือตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม เหล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจึงจะเข้าไปรบกวนผู้เฒ่าเร้นลับ แต่พวกเขาจะทำก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่แวมไพร์อาจเข้าพบผู้เฒ่าเร้นลับได้โดยการทำพิธีกรรมเฉพาะอย่างที่รู้กันในวงจำกัดเท่านั้น และการทำพิธีก็ไม่อาจรับรองได้ว่าผู้เฒ่าเร้นลับจะอนุญาตให้เข้าพบ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามผู้เฒ่าเร้นลับถือเป็นเทพเจ้าของเหล่าแวมไพร์ทั้งปวง พวกแวมไพร์ไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งของผู้เฒ่าได้ ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ชั้นสูงหรือชั้นต่ำก็ตาม ผู้เฒ่าเร้นลับสามารถใช้โทรจิตเรียกแวมไพร์ทุกตนได้จากระยะทางที่ไกลมาก ๆ ไม่มีใครรู้ขีดจำกัดพลังของเหล่าผู้เฒ่า ว่ากันว่าพวกเขาเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ดวงตาของมนุษย์กลายพันธุ์อย่างพวกวิทเชอร์ก็ไม่อาจรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวนั้นได้ โชคดีที่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าชนิดนี้ไม่ได้สนใจใยดีกับสิ่งที่อยู่ภายนอกอาณาจักรของพวกเขา และเรื่องราวของผู้เฒ่าเร้นลับก็ไม่เคยถูกบันทึกไว้โดยเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่แวมไพร์เลย
แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงในยุคปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้จะพบเจอแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้ยากมากและพวกเขามักจะรวมกลุ่มอยู่ไม่ห่างกัน สำหรับแวมไพร์เผ่าการาแชมนั้นหมายความว่าพวกเขามักอาศัยอยู่ในแคว้นทูซองต์ซึ่งเป็นดินแดนที่เดินทางมาถึงเป็นแห่งแรก พวกเขาใช้ชีวิตเงียบ ๆ และพยายามซ่อนตัวท่ามกลางหมู่มนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นอสุรกายซึ่งจะทำให้ตกเป็นเป้าจู่โจมได้ง่าย ในขณะที่แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงส่วนหนึ่งยังคงมองเห็นเผ่าพันธุ์อื่นเป็นเหมือนฝูงปศุสัตว์หรือเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ พวกเขาจึงไม่ปรารถนาที่จะอพยพไปยังพื้นที่ส่วนอื่นของมหาทวีปซึ่งถูกครอบครองโดยเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่แวมไพร์
ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่อาศัยในดินแดนห่างไกลจากทูซองต์แทบจะไม่มีโอกาสได้เผชิญหน้ากับแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงเลย ต่อให้เป็นผู้ที่อยู่ในแคว้นทูซองต์ก็อาจไม่เคยพบหรือรู้ตัวว่าเคยพบกับแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงก็ได้
การออกล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง
หากมีเหตุจำเป็นให้ต้องออกตามล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง ก็มีอยู่ไม่กี่สิ่งที่ควรระลึกไว้อยู่เสมอ ถ้าหากว่าเจ้ายังอยากมีโอกาสรอดชีวิตกลับมา ประการแรกแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงนั้นยากที่จะระบุตัวและแยกแยะออกจากมนุษย์ พวกเขาแปลงกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตราประจำสำนักของวิทเชอร์ไม่สามารถตรวจจับแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้ และพวกเขาก็ยังปรับตัวเข้ากับสังคมภายนอกได้เป็นอย่างดี วิธีที่ดีที่สุดในการระบุตัวแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงคือการใช้กระจกหรือไม่ก็ต้องดูภายใต้แสงอาทิตย์ แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจะไม่มีภาพสะท้อนในกระจกและไม่มีเงา ควรทำการทดสอบเพื่อยืนยันเช่นนี้ทุกครั้งก่อนจะลงมือโจมตี เนื่องจากการต่อสู้จะทำให้ผู้คนแตกตื่นจนควบคุมสถานการณ์ได้ยาก ประการที่สอง คือ เวทมนตร์ของแวมไพร์นั้นส่งผลอย่างรวดเร็วและสังเกตเห็นได้ยาก แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงสามารถควบคุมเป้าหมายได้เพียงแค่เอ่ยคำพูดธรรมดา ๆ เพียงไม่กี่คำ สิ่งนี้จะช่วยให้แวมไพร์มีความได้เปรียบในสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง
ประการที่สาม พึงระลึกไว้อยู่เสมอว่าแวมไพร์นั้นมีสภาพร่างกายที่เหนือกว่ามนุษย์ในเกือบทุก ๆ ด้าน ทั้งเร็วกว่า แข็งแรงกว่า และคล่องแคล่วมากกว่ามนุษย์ทั้งปวง นอกจากนี้พวกเขายังสามารถแปลงร่าง หายตัวล่องหน เปลี่ยนสภาพเป็นหมอก หรืออยู่ในร่างที่ดูเหมือนกับค้างคาวยักษ์ ซึ่งช่วยให้เหล่าแวมไพร์มีทักษะในการต่อสู้อย่างเทียบไม่ติด
ประการสุดท้าย แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงมีความสามารถในการฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เหนือกว่าสัตว์ประหลาดทุกชนิดอย่างมาก หากมีเวลามากพอพวกเขาจะสามารถรักษาบาดแผลได้ทุกชนิด และทำได้แม้กระทั่งการงอกแขนขาหรือศีรษะที่ขาดกระเด็นออกไปได้ ต่อให้ใช้ระเบิดมูนดัสท์เพื่อยับยั้งความสามารถนี้ แต่เมื่อระเบิดหมดฤทธิ์แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงก็จะกลับมาฟื้นฟูตัวเองได้อีกครั้ง ต่อให้มันอยู่ในสภาพที่ตายไปแล้วก็ตาม ไม่มีใครสามารถสามารถฆ่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงให้ตายได้โดยไม่ฟื้นคืนชีพอีก เว้นแต่แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงด้วยกันเท่านั้น การโน้มน้าวให้พวกเขาฆ่ากันเองถือเป็นสิ่งที่แทบไม่มีโอกาสสำเร็จ เนื่องจากแวมไพร์ตนนั้นจะถูกขับไล่ออกจากสังคม เว้นแต่ว่าเป้าหมายของเจ้าจะเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงเท่านั้น
กลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่ใช้ได้กับแวมไพร์ทุกชนิดก็คือการดื่มยาแบล็คบลัด ยาชนิดนี้จะเป็นพิษต่อแวมไพร์ที่ดื่มเลือดของเจ้าเข้าไปและมีฤทธิ์ทำให้ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของแวมไพร์ลดลง หรืออาจประยุกต์ใช้ยาพิษหรือยาอื่น ๆ แทนยาแบล็คบลัดก็ได้ แต่ถ้าหากล้มเหลว การบังคับให้แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงดื่มเลือดในปริมาณมาก ๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพมึนเมาและตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายขึ้น
ความสามารถของแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง
○ ดื่มเลือด (drain blood) เมื่อแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงโจมตีด้วยการกัดและดูดเลือด ก็จะสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตตัวเองได้เท่ากับพลังชีวิตที่เหยื่อสูญเสียไป
○ หายตัวล่องหน (superior invisibility) เมื่ออยู่ในสภาวะล่องหนแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจะมีพลังโจมตีและพลังป้องกันเพิ่มขึ้น คาถาเยอร์เดนและระเบิดมูนดัสท์จะทำให้แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงอยู่ในสภาพกึ่งล่องหน และจะปรากฏตัวทันทีเมื่อถูกโจมตี
○ ควบคุมจิตใจ (magical influence) แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงสามารถควบคุมจิตใจของใครก็ตามที่ได้ยินเสียงพวกเขา เว้นแต่ผู้นั้นจะมีภูมิต้านทานต่อเวทมนตร์หรือมีสิ่งของอื่น ๆ ที่ช่วยต้านทานการถูกสะกดจิตได้ ผู้ที่ถูกสะกดจิตจะตกอยู่ในการควบคุมอย่างน้อย 10 นาที หรือจนกว่าจะทำสิ่งที่ถูกบงการได้สำเร็จ
○ เป็นอมตะ (immortal) ในขณะที่ยังมีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายเป็นปกติ แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจะรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสได้แม้จะอยู่ในสภาพที่ตายไปแล้ว การฟื้นคืนชีพจะใช้เวลานานหลายสัปดาห์ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการบาดเจ็บก่อนตาย ระหว่างนี้แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงอีกตนสามารถเข้ามาช่วยย่นระยะเวลาลงได้โดยการป้อนเลือดตัวเองให้ซากแวมไพร์ที่กำลังฟื้นคืนชีพกินเป็นอาหารวันละครั้ง
○ เปลี่ยนรูปร่าง (mutable form) แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ (แปลงร่างได้แค่แบบเดียว ไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาหรือลอกเลียนแบบร่างอื่น ๆ ได้) เมื่อจะดื่มเลือดหรือโจมตี รูปร่างจะเปลี่ยนไปเป็นแบบกึ่งอสูรหรือเป็นร่างอสูรแบบค้างคาวยักษ์ แต่เมื่อใดก็ตามที่แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงกลายร่างเป็นหมอกก็จะเข้าสู่สภาวะไร้มวลสาร (incorporeal) ทำให้ไม่สามารถโจมตีหรือถูกโจมตีได้ หากจะโจมตีศัตรูก็ต้องกลับสู่ร่างอื่น ๆ ก่อน
นอกจากความสามารถที่กล่าวมาแล้ว แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงยังมีความสามารถเฉพาะตัวอีกด้วย เช่น เด็ตลาฟสามารถควบคุมจิตใจมอนสเตอร์ชนิดอื่นได้ ส่วนเรจิสสามารถเรียกฝูงนกกาและใช้พวกมันสอดแนมเป้าหมายให้ |
จุดอ่อนของแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง
● แพ้เวทไฟ (vulnerable to fire magic) เปลวไฟธรรมดา ๆ ไม่สามารถทำอันตรายแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้เลย แต่พวกเขาไม่อาจต้านทานเวทไฟหรือเปลวไฟที่ถูกสร้างจากเวทมนตร์ได้
● ผลข้างเคียงจากการดื่มเลือด (aversely affected by blood) หากแวมไพร์ดื่มเลือดปริมาณมากในระยะเวลาสั้น ๆ พวกเขาจะอยู่ในสภาพมึนเมาไปอีกหนึ่งชั่วโมง
● ไม่มีเงาสะท้อนหรือเงามืด (no reflection or shadow) แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจะไม่มีเงาสะท้อนบนกระจก และไม่มีเงาทอดออกมาจากร่างกายเมื่ออยู่ใต้แหล่งกำเนิดแสงชนิดใดก็ตาม
The Witcher 3 Blood and Wine
ประวัติศาสตร์ของเหล่าแวมไพร์บนมหาทวีป
ในตอนที่เกิดปรากฏการณ์คอนจังชัน มิติของแวมไพร์ได้เชื่อมต่อกับมหาทวีปที่ถ้ำเฮนเกดธ์ (Hen Gàidh) ตรงเชิงภูเขากอร์กอนในแคว้นทูซองต์ แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้หลุดเข้ามาพร้อมกับแวมไพร์สายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนที่จุดเชื่อมต่อนั้นจะปิดลงและกลายเป็นรอยต่อบาง ๆ ที่มีสสารจากมิติของแวมไพร์เล็ดลอดออกมาได้นาน ๆ ครั้ง สภาพแวดล้อมในถ้ำเฮนเกดธ์จึงมีพืชแปลก ๆ ที่เรืองแสงได้และมีสภาพแรงโน้มถ่วงแปรปรวนไปด้วย
เมื่อเหล่าแวมไพร์รู้แน่ชัดแล้วว่าต้องติดอยู่บนมหาทวีป เหล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจึงออกไปสำรวจดินแดนภายนอกถ้ำและพบว่ามันถูกครอบครองโดยพวกเอลฟ์เอนเชด์ พวกเขาจึงแฝงตัวเข้าไปปะปนเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตของเจ้าถิ่น ในขณะที่ผู้นำสูงสุดอย่างผู้เฒ่าเร้นลับเลือกที่จะใช้ชีวิตตัดขาดจากโลกภายนอกและอยู่แต่ในถ้ำเพื่อเฝ้ารอวันที่มิติทั้งสองจะเชื่อมต่อกันอีกครั้ง
ในเวลาต่อมาแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงได้แยกกันออกเป็นสามกลุ่ม คือ เผ่าการาแชม เผ่าทเด็ต และเผ่าแอมมูรูน เผ่าการาแชมเลือกที่จะแฝงตัวอยู่กับพวกเอลฟ์บนมหาทวีปต่อไป เผ่าทเด็ตได้ข้ามเทือกเขาสีน้ำเงินและมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนเผ่าแอมมูรูนแยกไปทางตะวันตกและเดินทางข้ามทะเลใหญ่ไป ดังนั้นแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงบนมหาทวีปจึงเหลือเพียงแค่เผ่าการาแชม
ป้อมปราการเทแชม มุทนา สถานที่ที่พวกแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงใช้ทำฟาร์มมนุษย์แบบขังกรง |
หลังจากที่มนุษย์ทำสงครามแย่งชินดินแดนมาจากพวกเอลฟ์ ก็มีแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงกลุ่มหนึ่งที่ติดใจในรสชาติเลือดมนุษย์จนต้องหาทางผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ แวมไพร์กลุ่มนี้จึงใช้ป้อมปราการเทแชม มุทนา (Tesham Mutna) เป็นสถานที่ศึกษาร่างกายมนุษย์และคิดค้นวิธีการทำฟาร์มเลือดมนุษย์ขึ้นมา โดยพวกเขาจะจับตัวมนุษย์มาขังไว้ในกรงเหมือนปศุสัตว์ คอยให้น้ำให้อาหารเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ร่างกายมนุษย์สร้างเลือดต่อไปได้ ต่อมาจึงเริ่มพัฒนาการเลี้ยงเป็นระบบฟาร์มเปิด เพื่อให้ได้เลือดที่มีรสชาติดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการคัดเลือกมนุษย์ที่มีความจงรักภักดีให้ทำหน้าที่ดูแลความสงบและปกป้องมนุษย์คนอื่น ๆ ในฟาร์ม โดยแต่งตั้งให้เป็นแชมเปียนแห่งเทแชม มุทนา (Champion of Tesham Mutna) และมอบชุดเกราะพิเศษให้สวมใส่ (อ่านเพิ่มเติมใน บันทึกบทสนทนากับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ, บันทึกของเชลยแห่งเทแชม มุทนา, การเลี้ยงมนุษย์แบบขังกรงตับกับการเลี้ยงแแบบปล่อยอิสระ, การเลี้ยงและการดูแลมนุษย์, แชมเปียนแห่งเทแชม มุทนา)
แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงบางส่วนที่เสพติดการดื่มเลือดอย่างหนัก และยังคงออกล่าแบบป่าเถื่อนจนทำให้พวกมนุษย์เริ่มหันมาออกล่าแวมไพร์บ้าง เช่นกรณีของคาห์กมาร์ (Khagmar) ที่ออกอาละวาดฆ่าคนหมดทั้งหมู่บ้าน พวกมนุษย์จึงจ้างวานวิทเชอร์และพวกจอมเวทให้มาช่วยกันตามล่าคาห์กมาร์ เหล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงไม่ได้หวาดกลัวมนุษย์ แต่ความวุ่นวายนี้จะนำมาซึ่งความรำคาญไม่รู้จบ ราวกับฝูงยุงที่บินมาตอมหูอยู่เรื่อย ๆ พวกเขาจึงเห็นพ้องต้องกันว่าจะลงโทษคาห์กมาร์ที่เป็นต้นตอของเรื่อง โดยการจับเขาขังไว้ในกรงชนิดพิเศษที่ทำมาจากโลหะเงิน ดาลวิไนต์ (dalvinite) และเมทีโอไรต์ กรงนี้จะถูกแขวนไว้ท่ามกลางฟาร์มมนุษย์ที่เทแชม มุทนา ในแต่ละวันจะมีการนำตัวมนุษย์มากรีดเลือด ทำให้คาห์กมาร์ที่ถูกขังกระวนกระวายที่เห็นเลือดอยู่ตรงหน้าแต่ไม่สามารถออกไปดื่มได้ เขาถูกทรมานแบบนี้เป็นเวลามากกว่า 200 ปี จนเสียสติไปในที่สุด
กรงขังที่ทำมาจากโลหะพิเศษที่เคยใช้ทรมานคาห์กมาร์ |
แม้เหล่าแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงจะมีวิธีป้องกันไม่ให้มนุษย์เข้ามายังพื้นที่หวงห้าม ทั้งที่ป้อมปราการเทแชม มุทนา และถ้ำเฮนเกดธ์ แต่ก็มีจอมเวทคนหนึ่งที่สามารถเปิดประตูมิติเข้าไปในถ้ำเฮนเกดธ์ได้ เขาศึกษาเรื่องแวมไพร์มาเป็นอย่างดีและรู้ธรรมเนียมปฏิบัติในการเข้าพบผู้เฒ่าเร้นลับ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกพวกโปรโตเฟลเดอร์ที่อยู่ในถ้ำฆ่าตาย (อ่านเพิ่มเติมใน บันทึกของจอมเวท และ จดหมายยับยู่ยี่) นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีมนุษย์คนใดได้เข้าไปเขตหวงห้ามของพวกแวมไพร์อีกเลย จนกระทั่งเกรอลท์ถูกมอบหมายให้ตามล่าอสุรกายที่ออกอาละวาดในเมืองโบแคลร์
เอกสารในเกม The Witcher 3
➤ Bestiary
➤ บันทึกบทสนทนากับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ
➤ บันทึกของเชลยแห่งเทแชม มุทนา
➤ การเลี้ยงมนุษย์แบบขังกรงตับกับการเลี้ยงแแบบปล่อยอิสระ
Bestiary
แม้แต่มนุษย์ที่เป็นคนสุภาพก็ยังเรียกข้าว่าอสุรกาย เป็นตัวประหลาดที่กินเลือด
– เอมิล เรจิส แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริง
ความกระหายเลือดเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงกับญาติห่าง ๆ ที่มีความป่าเถื่อนมากกว่าอย่างเอคิมมาร่า แอลป์ คาตาคัน และแวมไพร์ชนิดอื่น แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากกว่าพวกแวมไพร์จอมตะกละที่มีรูปร่างเหมือนค้างคาวพวกนั้น นอกจากรูปร่างภายนอกที่คล้ายคลึงกันแล้ว แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงก็ยังมีสติปัญญาและรูปแบบพฤติกรรมเหมือนมนุษย์อีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงไม่นั่งซุ่มรออยู่ตามป่าหรือซ่อนตัวอยู่ในความมืด ในทางตรงกันข้ามพวกเขาชื่นชอบการอาศัยอยู่ในเมืองและใช้ชีวิตเลียนแบบพวกเรา แม้แต่พวกวิทเชอร์ก็ไม่สามารถแยกแยะแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงออกจากมนุษย์ได้ เนื่องจากตราประจำสำนักจะไม่สั่นเตือนหากพวกเขายังอยู่ในร่างมนุษย์ แต่อย่าให้ความคล้ายคลึงเหล่านี้ทำให้เรามองไม่เห็นความแตกต่างที่สำคัญที่สุดไป คือ แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงนั้นเป็นอมตะ คนที่เคยต่อสู้กับพวกเขาแล้วรอดชีวิตมาได้มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
นับว่าเป็นโชคดีของเหล่าวิทเชอร์ที่แวมไพร์ชนิดนี้พบเจอได้ยากมาก และใช่ว่าทุกตนจะมุ่งร้ายต่อมนุษย์ แม้พวกเขาจะชอบในรสชาติของเลือด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องดื่มเป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิต แวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงบางตนก็ละเว้นการดื่มเลือดมนุษย์และไม่ทำอันตรายผู้คน แต่บางตนก็ทำตามความปรารถนาของตัวเอง วิทเชอร์ที่กล้าหาญพอจะเผชิญหน้ากับแวมไพร์ชั้นสูงที่แท้จริงต้องไม่ลืมว่าพวกเขามีพละกำลังมหาศาล สามารถควบคุมจิตใจมนุษย์และสัตว์อื่น ๆ ได้ ทั้งยังสามารถล่องหนและแปลงร่างเป็นอสุรกายค้างคาวยักษ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังหารพวกเขาให้ตายจริง ๆ หรืออีกนัยหนึ่ง นักล่าสัตว์ประหลาดผู้ใดก็ตามควรคิดดูให้ดีก่อนที่จะรับงานกำจัดสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ แม้จะได้สิ่งตอบแทนเป็นดินแดนครึ่งอาณาจักรหรือได้สมรสกับเจ้าหญิงก็ตาม
กลับไปเลือกเอกสาร | กลับขึ้นไปเลือกหัวข้อ
(Transcript of a Conversation with a Lower Being)
บันทึกบทสนทนาระหว่างนายท่านเอเซฮีล ฮิลเดอกราร์ด กับมนุษย์คนหนึ่ง
อ.ฮ. - เจ้าคือใคร?
ม.น. - ข้ามีชื่อว่าอเล็ก บิสคอนต์
อ.ฮ. - เหตุใดผิวของเจ้าจึงสั่นไม่หยุด?
ม.น. - ข้ากลัวขอรับนายท่าน
อ.ฮ. - เจ้ากลัวรึ? ข้าไม่เข้าใจเลย
ม.น. - นายท่านไม่รู้ว่าความกลัวเป็นอย่างไรหรือ?
อ.ฮ. - ไม่ ข้าชำนาญภาษาของเจ้า แต่แนวคิดบางอย่างก็เกินกว่าจะเข้าใจได้ ความกลัวคืออะไร?
ม.น. - เป็นความรู้สึกที่ทำลายล้างความรู้สึกอื่น ๆ ทั้งหมด มันจะเข้าควบคุมทั้งความคิดและหัวใจของท่าน
อ.ฮ. - หมายความว่ายังไง? ข้าคิดว่ามันเป็นความเจ็บปวดชนิดหนึ่ง ข้าเคยทำการทดสอบในห้องทดลองศึกษามนุษย์ และข้าก็ได้ค้นพบว่าเมื่อมีสิ่งเร้าที่เหมาะสม ตัวอย่างทดลองที่เป็นมารดาสามารถลืมลูกตัวเองได้และจะคิดหาทางเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดเท่านั้น สรุปแล้วความกลัวนั้นคล้ายกับความเจ็บปวดหรือไม่?
ม.น. - ไม่เลย ความเจ็บปวดควบคุมร่างกาย แต่ความกลัวเกิดขึ้นในหัวใจ
อ.ฮ. - โอ้… ดีเลย สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นน่าสนใจมาก… ข้าคิดว่าคงต้องตรวจสอบหัวใจของเจ้าในห้องทดลองดูสักหน่อยแล้ว
ม.น. - ตรวจสอบ? หมายความว่ายังไง?
อ.ฮ. - ก็หมายถึงตรวจสอบดูนั่นแหละ เอาตัวมันออกไปแล้วจับไปทำเป็นตัวอย่างทดลองด้วย
ม.น. - แต่…นายท่าน ถ้าทำแบบนั้นข้าจะตายนะ!
อ.ฮ. - ใช่สิ ความตายของพวกเจ้าไม่ใช่สิ่งที่สะดวกสบายเลย แต่ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้สร้างให้เผ่าพันธุ์ของเจ้าถือกำเนิดขึ้นมา และข้าคงไม่อาจรับผิดชอบกับความเปราะบางของพวกเจ้าได้
บทสนทนานี้พูดคุยด้วยภาษามนุษย์ตามที่ได้บันทึกเอาไว้ บันทึกนี้ไม่จำเป็นต้องแปลอีก
หมายเหตุ :
อ.ฮ. = เอเซฮีล ฮิลเดอกราร์ด ต้นฉบับคือ E.H. (Ezehiel Hildegrard)
ม.น. = มนุษย์ ต้นฉบับคือ H.B. (Human Being)
กลับไปเลือกเอกสาร | กลับขึ้นไปเลือกหัวข้อ
ข้าเจอเศษกระดาษชิ้นหนึ่งหล่นลงมาจากกระเป๋าของหนึ่งในพวกอสุรกาย แล้วข้าก็มีถ่านหินอยู่ก้อนหนึ่งด้วย ข้าคิดจะเขียนบันทึกนี้ด้วยเลือดของตัวเอง แต่ข้าแทบไม่มีเลือดเหลืออยู่ในตัวอีกแล้ว หนาวเหลือเกิน ทุก ๆ สามวันพวกมันจะเข้ามาเจาะเลือด หลังจากนั้นข้าก็ไม่สามารถขยับตัวได้เลย ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าได้ยินเสียงคนกรีดร้องอย่างสยดสยองดังมาจากกรงข้าง ๆ ถ้าข้ายังพอมีแรงเหลืออยู่บ้างก็คงจะเอาหัวโขกลูกกรงให้ตาย ๆ ไปซะ ได้แต่หวังว่ามันจะจบลงในอีกไม่ช้า เมื่อวานนี้อลอยส์ที่อยู่ในกรงติดกับข้าก็ตายไปแล้ว พวกมันดูดเลือดจนเขาขาดใจตาย… ดูเหมือนพวกมันจะหงุดหงิดเรื่องนี้ด้วย เพราะข้าได้ยินพวกอสุรกายโต้เถียงกันด้วยภาษาแปลก ๆ ของมัน
เมื่อเช้านี้พวกมันเอาตัวเชลยคนใหม่มาขังไว้ จะพูดว่าแหล่งผลิตเลือดสด ๆ รายใหม่มาถึงแล้วก็ว่าได้ พวกเขาไม่รู้เลยว่าถูกจับมาทำไม สิ่งที่พอจะปลอบประโลมข้าได้ก็คือข้ารู้แล้วเรื่องนั้นแล้ว ซึ่งทำให้ข้าไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวาเหมือนตอนที่พวกอสุรกายเข้ามาหาเป็นครั้งแรก ข้าไม่รู้เลยว่าพวกมันจะทำอะไรจนกระทั่งได้เห็นอุปกรณ์ที่แวววาวของพวกอสุรกาย ข้าไม่เคยเห็นโลหะที่งดงามขนาดนี้มาก่อน เลือดของข้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงประกายเงินเมื่อเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์เหล่านั้น
กลับไปเลือกเอกสาร | กลับขึ้นไปเลือกหัวข้อ
(...) ในทศวรรษที่ผ่านมานี้ พวกเราส่วนใหญ่เชื่อกันว่าการเลี้ยงมนุษย์โดยควบคุมอย่างเป็นระบบคือวิธีที่จะทำให้ได้เลือดมนุษย์คุณภาพดีกว่าการออกล่าตามลำพัง นอกจากข้อดีต่าง ๆ เช่น สามารถควบคุมโภชนาการของฝูงได้ และยังสามารถคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อให้ได้ทายาทที่มีฮีโมโกลบินชั้นเลิศ ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดอีกประการหนึ่งก็คือ การเพาะเลี้ยงฝูงมนุษย์ในที่คุมขังนั้นจะทำให้มนุษย์ที่ถูกเลี้ยงมีความก้าวร้าวลดลงและสร้างปัญหาน้อยกว่ามนุษย์ในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ (เช่น “หมู่บ้าน” และ “เมือง”)
เมื่อพูดถึงเรื่องการเลี้ยงมนุษย์ก็มีแนวทางอยู่หลายสำนัก แต่ดูเหมือนว่าจะมีอยู่สองวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน คือ วิธีเลี้ยงแบบขังกรงตับ และวิธีเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ งานวิจัยนี้ได้บรรยายข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี รวมไปถึงขั้นตอนการเพาะเลี้ยงให้ได้ผลดีอีกด้วย ในบทนำนี้จะขอกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้ก่อน
การเลี้ยงมนุษ์แบบขังกรงตับ (ในหนังสือคู่มือการเลี้ยงมนุษย์ได้อธิบายรายละเอียดไว้อย่างครบถ้วนแล้ว) คือ การขังมนุษย์เพศชายและเพศหญิงแบบแยกไว้ในกรงปิดที่อยู่ในพื้นที่จำกัดซึ่งมีช่องถาวรเอาไว้ระบายอากาศและให้น้ำให้อาหาร วิธีนี้จะแตกต่างจากการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระตรงที่จะไม่มีการปล่อยฝูงมนุษย์ออกไปข้างนอกกรงขัง และจะต้องอยู่ในสภาพนั้นไปตลอดชีวิต
ในทางตรงข้าม วิธีเลี้ยงแบบปล่อยอิสระนั้นจะมีการปล่อยฝูงมนุษย์ให้อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติหรือพื้นที่ที่ถูกจำลองมาให้มีสภาพใกล้เคียงกัน (เช่น การสร้างหมู่บ้านให้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบท “หมู่บ้านมนุษย์: การเริ่มต้นและเพิ่มจำนวนมนุษย์ในฝูง”) และหลังจากนั้นจึงทำให้ฝูงอยู่ในภาวะที่ต้องพึ่งพาเจ้าของทั้งทางกายและทางใจ วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการทำให้มนุษย์เกิดความรู้สึกนี้คือการรับรองความปลอดภัยและมอบอาหารคุณภาพดีให้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญคือมนุษย์เหล่านั้นจะเชื่อใจและไม่รู้สึกหวาดกลัวเจ้าของ และไม่พยายามป้องกันตัวเมื่อต้องถูกดูดเลือด ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนนอร์อะดรีนาลีน [1] และคอร์ติซอล [2] ลดลง ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้เลือดเสียรสชาติ นอกจากนี้อาจพบว่ามนุษย์ที่ถูกเลี้ยงแบบปล่อยอิสระเกิดความรู้สึกพึงพอใจเมื่อถูกเจ้าของดื่มเลือด (ส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับความรู้สึกทางเพศ) ซึ่งจะช่วยให้เลือดมีกลิ่นรสที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
หมายเหตุ :
[1] นอร์อะดรีนาลีน (noradrenaline หรือ norepinephrine) เป็นฮอร์โมนและสารสื่อประสาทที่ทำให้หลอดเลือดหดตัวและเพิ่มอัตรการเต้นของหัวใจ มีผลทำให้ความดันโลหิตและชีพจรเพิ่มสูงขึ้น
[2] คอร์ติซอล (cortisol) หรือที่รู้จักกันในนาม “ฮอร์โมนแห่งความเครียด” จะถูกหลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตเพื่อให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดที่เกิดขึ้น คอร์ติซอลจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ลดการอักเสบและความเจ็บปวด และควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกายเพื่อให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
กลับไปเลือกเอกสาร | กลับขึ้นไปเลือกหัวข้อ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำฟาร์มมนุษย์คือการเตรียมสิ่งจำเป็นให้กับฝูง ในแง่หนึ่งจะต้องเตรียมให้เพียงพอเพื่อรับประกันว่าฝูงจะอยู่รอดต่อไป แต่ในทางกลับกันก็ไม่ควรจัดเตรียมให้อย่างเหลือเฟือจนเกินความต้องการขั้นต่ำสำหรับการดำรงชีวิต พึงระลึกไว้อยู่เสมอว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดและออกไปในทางเจ้าเล่ห์ สัญชาตญาณของพวกมันจะกระตุ้นให้ตักตวงประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ในแง่ของการเลี้ยงดู นั่นหมายความว่ามนุษย์จะพยายามเรียกร้องเพื่อให้ได้สิ่งต่าง ๆ มากกว่าที่เรามีให้ ดังนั้นจึงขอแนะนำให้จัดเตรียมที่นอนส่วนตัว อาหารวันละสองมื้อ และมีน้ำสะอาดให้เข้าถึงได้อยู่เสมอ เงื่อนไขเหล่านี้อาจดูมากเกินความจำเป็นไปบ้าง แต่มันจะช่วยให้มนุษย์สร้างฮีโมโกลบินคุณภาพสูงอย่างเพียงพอ (รายละเอียดเรื่องอาหารจะกล่าวในบทต่อ ๆ ไป) อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ คือ อากาศ เพราะพวกมนุษย์จะตายในไม่กี่นาทีหากปราศจากมัน
ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการเพิ่มจำนวนของมนุษย์ในสภาวะที่กล่าวมาข้างต้น หากจัดเตรียมสิ่งจำเป็นไว้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตและมีการคละเพศชายกับเพศหญิงไว้ในกรง มนุษย์ก็จะผสมพันธุ์กันเองโดยไม่คำนึงว่าจะถูกกักขังอยู่หรือไม่
สิ่งที่สมควรกล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วย ก็คือแนวคิดการเลี้ยงดูมนุษย์อย่างเอาใจใส่และปล่อยให้มีอิสรภาพมากกว่านี้ ซึ่งรวมไปถึงการให้อาหารคุณภาพดีและยอมให้มนุษย์มีอิสระในการใช้ชีวิตได้ในระดับหนึ่ง วิธีนี้รับประกันว่าจะได้เลือดจะมีองค์ประกอบของกลิ่นที่ดีกว่าและทำให้มันมีรสชาติล้ำเลิศยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการเลี้ยงด้วยวิธีนี้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากกว่า และจำเป็นต้องใช้เทคนิคสร้างความผูกพันทางอารมณ์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะขออธิบายไว้ในบทต่อ ๆ ไป
กลับไปเลือกเอกสาร | กลับขึ้นไปเลือกหัวข้อ
ข้าคือผู้รับใช้แห่งเผ่าพันธุ์
ได้รับการสรรเสริญเหนือหมู่มนุษย์ทั้งปวง, ข้าขอละทิ้งความอ่อนแอของมนุษย์
ได้รับการยกย่องเหนือหมู่มนุษย์ทั้งปวง, ข้าคือผู้พิทักษ์แห่งฝูง
เปี่ยมล้นไปด้วยความแข็งแกร่ง, ข้าขอหันคมดาบพิฆาตศัตรูของเผ่า
ข้าคือเจ้านายและข้าทาส
ข้าคือตัวแทนของเจตจำนงแห่งเผ่าพันธุ์
ข้ารับดาบและชุดเกราะเหล่านี้ ข้าจึงขอน้อมรับใช้เผ่าพันธุ์นี้
กลับไปเลือกเอกสาร | กลับขึ้นไปเลือกหัวข้อ
ส่วนที่ 1
- สิบนาทีหลังจากเดินทางมาถึง -
การเทเลพอร์ตสำเร็จ: ข้าเข้ามาในถ้ำได้พร้อมกับอุปกรณ์เกือบทั้งหมด อุปกรณ์สำคัญอย่างเมกาสโคปยังคงมีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ข้าน่าจะติดต่อกลับไปยังบานอาร์ดได้ แค่ต้องติดตั้งมันในที่เหมาะ ๆ เท่านั้น
- สามสิบนาทีหลังจากเดินทางมาถึง -
ข้าได้เห็นสภาพแรงโน้มถ่วงที่ผิดปกติอยู่หลายจุด ซึ่งช่วยยืนยันว่าแนวคิดของ ซอเรล เดเกอร์ลุนด์* นั้นถูกต้อง พรมแดนระหว่างมิติบริเวณนี้บางเบามาก ถ้าข้าได้ทำการทดลองเพิ่มเติมก็คงพิสูจน์ได้ว่าจุดเชื่อมต่อระหว่างมิตินี้เคยเปิดขึ้นมาแล้วจริง ๆ หรือเปล่า
- หนึ่งชั่วโมงหลังจากเดินทางมาถึง -
ข้ายังไม่เจอพวกแวมไพร์เลย แต่ข้าได้ยินเสียงพวกเขา ข้ากำลังจะออกสำรวจถ้ำและต้องระมัดระวังให้มาก
ส่วนที่ 2
- สองชั่วโมงหลังจากเดินทางมาถึง -
เมกาสโคปไม่ทำงาน บางทีข้าอาจจะอยู่ใต้พื้นดินในระดับความลึกเกินกว่าที่จะติดต่อกับบานอาร์ดได้ ข้าต้องลองสื่อสารกับ แวมไพเรส ซูพีเรียเรส ดูก่อน แม้ตอนนี้จะขอคำแนะนำจากจอมเวทคนอื่น ๆ ไม่ได้ก็ตาม ต้องเร่งมือแล้ว
หมายเหตุ : ซอเรล เดเกอร์ลุนด์ (Sorel Degerlund) เป็นตัวละครจากนิยายเล่ม Season of Storms เขาเป็นจอมเวทอายุน้อยผู้มีความสามารถและเป็นศิษย์คนโปรดของหัวหน้าสถาบันวิจัยริสส์เบิร์ก เดเกอร์ลุนเสียชีวิตราว ๆ ปี 1250
กลับไปเลือกเอกสาร | กลับขึ้นไปเลือกหัวข้อ
ยานเน,
ดีน มาร์เซลลัส ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งมีชีวิตจากปรากฏการณ์คอนจังชัน มีความประสงค์ให้ข้ามาช่วยเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการเดินทางตามที่เจ้าได้วางแผนไว้ ข้าควรเริ่มต้นด้วยคำเตือนไว้ก่อนเลยว่ามันเป็นเรื่องที่อันตรายสุด ๆ ต่อให้เจ้ารอดตายจากการเทเลพอร์ตและสามารถเปิดประตูมิติที่เสถียรบนความสูงหลายสิบเมตรเหนือพื้นดินได้ แต่ก็อย่างที่เจ้ารู้นั่นแหละ มันก็ยังมีโอกาสสูงที่เจ้าจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ อยู่ดี แม้ว่า แวมไพเรส ซูพีเรียเรส จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล มีความรู้และสามารถคิดวิเคราะห์ได้ แต่สายพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในนี้อาจไม่เปิดโอกาสให้เจ้าได้พูดคุยกับพวกเขา
หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่และมีโอกาสได้เข้าพบกับผู้เฒ่าเร้นลับ จงทำสิ่งเหล่านี้ทันที: คุกเข่าโค้งคำนับ กล่าวคำทักทายด้วยภาษาของพวกเขาว่า “เอ็คคึลธี ลอนต์นี อามา” และวางอาราโกไนต์คริสตัลจากฮาคแลนด์ลงบนพื้นเพื่อเป็นของกำนัล และต่อจากนั้นอาจมีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่เขาจะรับฟังเจ้า แต่คุณพระคุณเจ้าเอ๋ย… จงรีบ ๆ พูดเข้าและพูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
- โยเคิน แบรนด์ท
กลับไปเลือกเอกสาร | กลับขึ้นไปเลือกหัวข้อ
ไม่มีความคิดเห็น