ม้วนบันทึกสีแดง (เนื้อเรื่องฝั่งแดนดีไลออน)

 

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตของแดนดีไลออนที่เขาถูกขับไล่ไสส่งออกจากงานเลี้ยง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาถูกไล่ตะเพิดโดยปราศจากความผิด ถ้านักกวีคนหนึ่งต้องถูกจับโยนออกมาจากงานเต้นรำเพียงเพราะว่าเขาร้องเพลงเพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านหญิงผู้เป็นแขกคนหนึ่งในงาน เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะเชิญนักกวีมาเพื่ออะไร?

บางทีแดนดีไลออนอาจไม่จำเป็นต่องานเลี้ยงอีกแล้ว เมื่อท่านวาเลนไทน์แห่งทูซองต์เอ่ยถามนักกวีว่าเขาไปแต่งเพลงในห้องส้วมมาหรือ ผลงานจึงออกมาเละเทะเป็นกองขี้ ใช่อยู่… การผลักประติมากรชื่อดังใส่รูปปั้นแบนชีที่ท่านหญิงโอริอานนาสั่งทำเป็นการพิเศษอาจเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไปหน่อย แต่เพื่อปกป้องผลงานเพลงกวีแล้ว ใด ๆ ก็ล้วนทำได้ทุกอย่าง ออกจะน่าเสียดายอยู่บ้างเพราะรูปปั้นผีสาวที่ปะทะเข้ากับวาเลนไทน์นั้นมีทรวดทรงองค์เอวอวบอัดและเย้ายวนเหลือเกิน…

โชคร้ายที่แดนดีไลออนไม่สามารถกลับเข้างานเลี้ยงในคฤหาสน์ของโอริอานนาได้อีกแล้ว เขาจึงต้องหาทางอื่นเพื่อตักตวงความสำราญในค่ำคืนซาโอวีน เทศกาลแห่งวิญญาณและภูตผีทำให้เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นเสมอ เขาทิ้งคฤหาสน์ของโอริอานนาไว้เบื้องหลังและเดินตรงสู่จตุรัสใหญ่กลางเมืองโบแคลร์ ครุ่นคิดถึงความสุขของวันนี้ที่ยังคงรอคอยเขาอยู่ แต่เขายังไปไหนได้ไม่ไกลนักเมื่อเสียงกรีดร้องโหยหวนดังแหวกความเงียบสงัด นักกวีเผลอคิดโง่ ๆ ว่ามันเป็นเสียงกรีดร้องของรูปปั้นแบนชีที่แตกกระจายซึ่งตามมาเอาคืนด้วยการประกาศความตายให้เขา แต่ชั่วจังหวะหัวใจเต้นเพียงไม่กี่ครั้งหลังจากนั้น เขาก็ตาสว่างจากเสียงกรีดร้องครั้งที่สองดังขึ้นกลางเมืองหลวงแห่งทูซองต์ เสียงนั้นดังมาจากทิศทางเดียวกับคฤหาสน์ของโอริอานนาและเป็นเสียงของมนุษย์อย่างแน่นอน ราวกับใครบางคนกำลังจะขาดใจตายจริง ๆ

ขาของแดนดีไลออนถูกออกแบบมาเพื่อเขา เขาวิ่งจ้ำอ้าว หัวใจเต้นโครมครามและปอดแทบไหม้เมื่อมาถึงหัวถนนที่ตรงไปยังคฤหาสน์ดังกล่าว นักกวีเพิ่งตระหนักว่าเสียงกรีดร้องนั้นเงียบหายไปได้สักพักแล้ว เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาจึงได้รู้สาเหตุ สตรีนางหนึ่งนอนแน่นิ่งพิงผนังบ้านที่เรียงติดกันเป็นพืด ชุดกระโปรงของนางตัดจากผ้าสีดำและสีทอง… แดนดีไลออนถึงกับคร่ำครวญออกมา มันเป็นสีประจำตัวที่วิเวียนเลือกสวมใส่เสมอ คู่สีอันเป็นเอกลักษณ์ของนางสนองพระโอษฐ์คนโปรดของดัชเชสแอนนา เฮนเรียตตา

นักกวีเรียกชื่อนาง แต่ไร้เสียงตอบรับ เขาคุกเข่าลงบนพื้นหินข้าง ๆ และเขย่าบ่าของนาง แต่นางได้ตายไปแล้ว แดนดีไลออนสังเกตว่าแขนเสื้อของนางมีรอยฉีกบริเวณไหล่และบนพื้นถนนมีประกายเม็ดไข่มุกซึ่งร่วงหล่นจากสร้อยคอที่ขาดออก นักกวีจุกแน่นในลำคอ เขาปัดปอยผมออกจากใบหน้าของนาง… และได้เห็นว่านางไม่ใช่วิเวียน เบื้องหน้านั้นคือเจ้าของลำคอเรียวงามราวกับหงส์ เป็นสตรีคนเดียวกับที่เขาเพิ่งจะแต่งเพลงกวีให้ในงานเลี้ยงเต้นรำ บนผิวเนียนละเอียดมีรอยเจาะเล็ก ๆ สองรอยคล้ายกับรอยฝังเขี้ยว และรอยช้ำหลายแห่งรอบ ๆ ลำคอ นักกวีเคยอ่านเจอในตำราที่บันทึกเกี่ยวกับรอยคล้าย ๆ กันนี้ มันคือรอยกัดของบรุกซา หรือไม่ก็คาตาคัน

‘อย่าคิดว่าเราจะหลงกลเจ้า เจ้าคนสารเลว เราได้รับคำสั่งห้ามไม่ให้เจ้ากลับเข้าไป’

ในใจของนักกวีนั้นนึกสาปแช่งญาติฝ่ายมารดาของพวกยามเฝ้าประตูไปสามชั่วโคตร แต่เขาก็สูดลมหายใจและพยายามใช้พลังของการโต้แย้งด้วยตรรกะ แต่มันช่างเปล่าประโยชน์ เขาเตรียมพ่นคำที่พอจะนึกออกอยู่แค่ไม่กี่คำ ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบุรุษร่างใหญ่ไหล่ผาย เสียงของวิทเชอร์ผู้หนึ่งที่กำลังสนทนากับใครบางคนดังเข้ามาในหูของเขา

‘เกรอลท์รึ? เกรอลท์! ทวยเทพทรงโปรด เจ้าทึ่มพวกนี้ไม่ยอมให้ข้าเข้าไป เร็วเข้า เราต้องรีบไปแล้ว! เดี๋ยวนี้เลย!’

วิทเชอร์เดินฝ่าพวกยามเข้าไป

‘แวมไพร์น่ะ เกรอลท์! บรุกซา! หรือไม่ก็คาตาคันแน่ ๆ ! ข้าเจอศพของแม่หญิงสูงศักดิ์คอระหงคนนั้น นางถูกกัด… ทวยเทพเอ๋ย ถ้าข้าวิ่งเร็วกว่านี้นางคง… แต่… แต่ข้ามาถึงช้าไป’

เกรอลท์สบถ

‘มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า’ วิทเชอร์เงียบไปครู่หนึ่ง ‘นำทางข้าไป’

เพียงชั่วอึดใจพวกเขาก็ไปถึงที่เกิดเหตุ เกรอลท์ตรงเข้าไปตรวจดูศพทันที เขาพินิจร่างนั้นอย่างระมัดระวังและเบามือที่สุด ราวกับไม่ต้องการให้สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ต้องรู้สึกเจ็บปวดแม้เพียงนิด แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับนางอีกแล้ว ท้ายที่สุดวิทเชอร์ก็ยืนขึ้น อุ้มร่างไร้วิญญาณด้วยแขนทั้งสองข้าง พร้อมกับเอียงศีรษะไปทางคฤหาสน์ของโอริอานนา พวกเขาเดินออกมา เห็นได้ชัดว่าทหารยามของโอริอานนานั้นเป็นพวกมืออาชีพ เพราะพวกเขารับศพไปจากวิทเชอร์และดำเนินการตามคำสั่งที่หัวหน้าทหารยามตะโกนออกมาทันที

แล้ว… เจ้าคิดว่าไง? เกรอลท์’ แดนดีไลออนเอ่ยถามระหว่างทางเดินไปโถงเต้นรำ

‘ข้าก็ยังไม่แน่ใจ’

งานเลี้ยงของท่านหญิงโอริอานนากำลังสนุกสุดเหวี่ยง ไวน์ลิตรแล้วลิตรเล่าถูกรินใส่แก้ว เหล่าคนรับใช้ต่างลำเลียงขวดไวน์เออร์เวลูซ, ฟิออราโน, โพมิโน และเอสต์เอสต์อันเลื่องชื่อสู่โถงใหญ่ หน้ากากเต้นรำแห่งเทศกาลซาโอวีนอันแล้วอันเล่าถูกโยนลงบนพื้น และบรรดาแขกเหรื่อต่างกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกันและกันมากขึ้นท่ามกลางแสงสลัว แดนดิไลออนคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้หากแวมไพร์ดึกดำบรรพ์ผู้ทรงพลังอย่างผู้เฒ่าเร้นลับมาร่วมงานเลี้ยงฉลองที่นี่จริง ๆ ก็คงไม่มีใครจำเขาได้เป็นแน่

เมื่อพวกเขายืนอยู่ตรงหน้าโอริอานนา ท่านหญิงแวมไพร์ก็ส่งสัญญาณให้เดินเข้ามาใกล้ ๆ นักกวีอยากรักษาระยะห่างออกไปสักหน่อย ส่วนเกรอลท์เข้าไปกระซิบบางอย่างข้าง ๆ หูโอริอานนาอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง แต่แดนดีไลออนกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เมื่อวิทเชอร์พูดจบ เจ้าภาพงานเลี้ยงหาได้เอ่ยคำไม่ เพียงแต่พยักหน้าและเรียกคนรับใช้คนหนึ่งให้เดินเข้าไปหา ครู่หนึ่งหลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้และปรบมือเป็นสัญญาณ ห้องโถงพลันสว่างสไวด้วยคบเพลิงและเทียนไขที่เหล่าคนรับใช้นำเข้ามาเสริมในห้อง เสียงแห่งความสำราญของงานเลี้ยงเงียบลงทันที

‘แขกเหรื่อที่รักทั้งหลาย ขออภัยที่ข้าต้องขัดจังหวะงานฉลองซาโอวีนของพวกท่าน โปรดทราบว่าข้ามิปรารถนาเช่นนี้เลย ช่างโชคร้ายที่ข้าไม่มีทางเลือกอื่น วิทเชอร์เกรอลท์แห่งริเวียผู้ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้ ได้นำข่าวร้ายอันน่าสะพรึงกลัวมาบอกข้า วันนี้หนึ่งในแขกที่ข้าเชื้อเชิญได้ถูกฆาตกรรม และฆาตกรยังคงอยู่ภายในห้องนี้ ท่านสงสัยว่าเป็นฝีมือใคร? ท่านวิทเชอร์’

เกรอลท์นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มสาธยาย

 

อ่าน >> 📜🔵 ม้วนบันทึกสีฟ้า (เนื้อเรื่องฝั่งเกรอลท์)

 

หรือเลือกตอนจบ

แบบที่ 1 เกรอลท์เลือกกล่าวหาวาเลนไทน์

แบบที่ 2 เกรอลท์เลือกกล่าวหาคาตาคัน

แบบที่ 3 เกรอลท์เลือกกล่าวหาซียานนา

 

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.