โรงเรียนเวทมนตร์ในจักรวาลเกม The Witcher
เหล่าจอมเวทใช้ชีวิตไปกับการแสวงหาความรู้และฝึกฝนเวทมนตร์คาถา จอมเวทส่วนใหญ่ในดินแดนทางใต้จะเข้าเรียนที่ “ไกวซันฮอล” ซึ่งเป็นสถาบันหลักที่สอนเวทมนตร์ในนิลฟ์การ์ด บางคนก็พยายามฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่วนผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นอันตรายจะถูกรายงานและควบคุมตัวไปยังไกวซันฮอล นักเรียนส่วนใหญ่มีความสุขที่ได้อยู่ในวงสังคมจอมเวท เนื่องจากพวกเขามองเห็นว่ามันเป็นช่องทางในการสร้างอำนาจทางการเมือง เด็กที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์จะเข้ารับการทดสอบเมื่ออายุราว ๆ 6 - 7 ขวบ โรงเรียนไกวซันฮอลจะประเมินเด็กเหล่านี้อย่างละเอียดและขึ้นทะเบียนบันทึกประวัติเอาไว้ เด็กส่วนใหญ่ที่มีพลังไม่มากจะถูกสอนให้ควบคุมพลังของตัวเอง ก่อนจะถูกส่งกลับไปยังครอบครัวอีกครั้ง จักรวรรดิอาจเรียกตัวพวกเขามารับใช้ในภายหลังหากมองเห็นว่าพลังของพวกเขามีประโยชน์พอ แต่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ก็ถูกปล่อยให้ใช้กลับชีวิตไปตามยถากรรม
ส่วนเด็กที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะฝึกฝนเป็นจอมเวท พวกเขาจะได้รับโอกาสให้เข้าไปเรียนที่ไกวซันฮอล โดยคณาจารย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าเด็กแต่ละคนจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง นักเรียนทุกคนจะได้เรียนเวทมนตร์ขั้นพื้นฐาน ส่วนนักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่นอาจได้รับการฝึกฝนเฉพาะทางเพิ่มเติม สำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนเวทมนตร์ชั้นสูงจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อำนวยการฝ่ายเวทมนตร์และอธิการเสียก่อน ซึ่งเป็นกระบวนการทางราชการที่ใช้เวลานาน แต่หากได้รับการอนุมัติก็จะเป็นการการันตีว่านักเรียนคนนั้นจะได้เพิ่มพูนวิชาความรู้และเข้าถึงตำแหน่งสูง ๆ ทางราชการได้ การอนุมัตินี้ยังพิจารณาไปถึงวงศ์ตระกูล ผลการเรียน ความจงรักภักดีที่มีต่อจักรวรรดิ และความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของไกวซันฮอล
จอมเวทในแดนใต้ต้องอยู่ในกฏระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวด และยังถูกสอดส่องความประพฤติอยู่ตลอดเวลา หากจอมเวทคนใดแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องต่อจักรวรรดิหรือไกวซันฮอล พวกเขาก็จะถูกจับขังคุกทันที แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก นอกจากนี้จักรวรรดินิลฟ์การ์ดยังใช้งานพวกจอมเวทให้ทำหน้าที่เป็นสายลับอีกด้วย
ส่วนในแดนเหนือนั้นมีระบบการศึกษาที่แตกต่างออกไป ผู้คนที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์เพียงเล็กน้อยจะไม่ได้รับความสนใจจากโรงเรียน และถูกปล่อยให้ทำงานรักษาพยาบาล งานช่าง งานควบคุมสภาพอากาศในท้องถิ่น หรือคอยรับมือกับฝูงสัตว์ เฉพาะคนที่มีศักยภาพสูงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนหญิง “อาเรทูซา” หรือโรงเรียนชาย “บานอาร์ด” ได้
นักเรียนหญิงของอาเรทูซาจะถูกจำกัดบริเวณให้อยู่แต่ภายในโรงเรียนจนกว่าจะจบการศึกษา พวกเธอจะได้เรียนเวทมนตร์ที่ลึกลับซับซ้อนกว่าพวกนักเรียนชาย และเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ที่ทำให้จอมเวทหญิงรุ่นเยาว์มีเสน่ห์เย้ายวนเพื่อสร้างอิทธิพลครอบงำผู้อื่นได้ง่ายขึ้น เหล่านักเรียนจะถูกปลูกฝังว่าคนธรรมดา ๆ ที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้คือชนชั้นที่ด้อยกว่า และไม่ควรให้ความสำคัญหรือพึ่งพาพวกเขาในแผนการ ส่วนพวกนักเรียนชายจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีและได้ฝึกฝนเวทมนตร์ภาคปฏิบัติมากกว่า
หลังจากจบการศึกษา เหล่าจอมเวทแดนเหนือสามารถใช้เวทมนตร์ทำเงินได้อย่างมหาศาล และส่วนใหญ่ก็มีชีวิตที่สุขสบาย พวกเขาอาจเข้าไปทำงานในราชสำนัก หรือเป็นอาจารย์ในโรงเรียนสอนเวทมนตร์ หรือออกมาทำงานวิจัยอิสระ แต่เหล่าจอมเวทหญิงมักถูกผลักดันจากโรงเรียนให้แสวงหาตำแหน่งที่มีอำนาจอยู่เสมอ
ก่อนเกิดสงครามแดนเหนือมีจอมเวทมากมายดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาและคอยแก้ปัญหาให้กับราชวงศ์ต่าง ๆ ในขณะนั้นยังคงมีองค์กรที่ควบคุมดูแลจอมเวทอย่างสมาพันธ์จอมเวท (Chapter of Wizards / Chapter of the Gift and the Art) และสภาจอมเวท (Supreme Council of Sorcerers / Council of Wizards) แต่หลังจากการก่อกบฏบนเกาะธาเนดด์ (Thanedd Coup) องค์กรเหล่านี้ก็ล่มสลายจากการทรยศของจอมเวทแดนเหนือบางส่วนที่หันไปร่วมมือกับจักรวรรดินิลฟ์การ์ด ราชวงศ์ต่าง ๆ ในแดนเหนือจึงขับไล่พวกจอมเวทออกไปจากราชสำนัก และหลังจากเกิดการล่าแม่มดโดยกษัตริย์ราโดวิดแห่งเรเดเนีย จอมเวทส่วนใหญ่ก็พากันอพยพไปยังดินแดนที่อยู่ห่างไกลอย่างอาณาจักรโคเวียร์และโพวิส
อาเรทูซา (Aretuza)
เกาะธาเนดด์ในอาณาจักรเทเมเรียคือที่ตั้งของอาเรทูซา สถาบันสอนเวทมนตร์ที่เหล่าบุตรีของตระกูลอภิสิทธิ์ชนในแดนเหนือนิยมมาเข้าเรียนกัน แต่สถาบันแห่งนี้ก็รับนักเรียนหญิงที่มีศักยภาพจากทุกแห่งด้วย เกาะธาเนดด์ทั้งเกาะคือหินขนาดยักษ์เพียงก้อนเดียว มันได้ถูกสลักเสลาเป็นเฉลียงทางเดินและหอคอยสูงเสียดฟ้า ทำให้เกิดหมู่อาคารที่มีลักษณะแตกต่างกัน
การ์สแตงคือปราสาทที่ใช้รับรองแขกผู้มีเกียรติในวงสังคมจอมเวทและบรรดาศิษย์เก่าที่แวะมาเยี่ยมเยียน ผนังของปราสาทถูกบรรจุไปด้วยพลังงานที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนสกัดกั้นเวทมนตร์ทุกชนิด ตัวโรงเรียนตั้งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทการ์สแตง และถัดมาในส่วนล่างสุดของเกาะ คือ ล็อกเซีย หมู่อาคารที่กั้นกลางตัวเกาะกับสะพานเพียงแห่งเดียวที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ บริเวณนี้เป็นสถานที่เดียวที่แขกผู้มาเยือนอาจได้พบกับเหล่านักเรียนหญิง เนื่องจากบุคคลภายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในโรงเรียน และนักเรียนหญิงก็ถูกห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอกเช่นกัน เกาะธาเนดด์มีทางเข้าอยู่เพียง 2 ทาง ทางแรกคือสะพานหลักที่เชื่อมกับเมืองกอร์สเวเลน ส่วนอีกทางนั้นเป็นเส้นทางลับผ่านปากถ้ำติดทะเลซึ่งสามารถนำเรือหลาย ๆ ลำเข้าไปเทียบด้านในของเกาะที่เป็นโพรงถ้ำกลวง ๆ ได้
อาเรทูซาเป็นสถาบันที่มุ่งเน้นคุณภาพของการศึกษา เป็นโรงเรียนประจำที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน 1,200 คราวน์ต่อปี บรรยากาศของที่นี่เป็นส่วนผสมระหว่างมหาวิทยาลัยชั้นนำและโรงเรียนสอนมารยาททางสังคมของเด็กหญิง การเรียนการสอนเป็นไปอย่างเข้มข้น เหล่านักเรียนหญิงจะมีความรู้ภาคทฤษฎีควบคู่ไปกับทักษะการใช้เวทมนตร์ในเชิงศาสตร์มากกว่าเชิงศิลป์ และมีโอกาสได้ใช้จินตนาการต่อยอดวิชาต่าง ๆ เพียงเล็กน้อย นอกจากความรู้ด้านเวทมนตร์ นักเรียนของอาเรทูซายังต้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์และการเมืองของอาณาจักรต่าง ๆ ที่พวกเธอจะได้เป็นผู้ขับเคลื่อนในอนาคตอีกด้วย
พวกนักเรียนหญิงไม่สามารถออกไปข้างนอกโรงเรียนได้จนกว่าจะจบการศึกษา หากแอบออกไปได้ก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก นั่นหมายถึงการเรียนซ้ำชั้นและต้องติดอยู่ในโรงเรียนนานขึ้นจนกว่าจะจบการศึกษาเป็นจอมเวทหญิงอย่างเต็มตัว มีนักเรียนหญิงส่วนน้อยที่ต้องลาออก แต่พวกเธอก็มักประสบความสำเร็จในอาชีพที่ไม่ค่อยจะต้อนรับผู้หญิงนัก อย่างเช่นอาชีพนักกฎหมาย
การเป็นนักเรียนประจำที่มีวงสังคมจำกัดทำให้ความสัมพันธ์ของพวกนักเรียนหญิงร้อนระอุอยู่บ่อย ๆ แต่นั่นก็เป็นโอกาสให้พวกเธอได้ฝึกฝนการเอาตัวรอดจากการเมืองในสังคมเล็ก ๆ นักเรียนหญิงของอาเรทูซาจะถูกทำให้เป็นหมันด้วยเวทมนตร์ เพื่อป้องกันการให้กำเนิดเด็กทารกที่มีพลังเวทแต่ไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้ และเหล่าจอมเวทหญิงจะได้ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับความก้าวหน้าในอาชีพ รวมถึงการพัฒนาความสามารถของตนเองเพื่อสร้างอำนาจและสร้างเครือข่ายพันธมิตร พื้นที่แห่งเดียวที่เหล่านักเรียนหญิงจะได้สัมผัสกับบุคคลภายนอกก็คือเขตล็อกเซีย แม้จะเป็นการพบปะที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบเคร่งครัด แต่พวกเธอก็จะได้ฝึกฝนทักษะทางสังคมและการเมืองตามที่ได้ร่ำเรียนมา
จอมเวทหญิงที่จบการศึกษาจากอาเรทูซามักได้รับตำแหน่งสำคัญ ๆ ในราชสำนัก และบางครั้งก็กลายเป็นขุมพลังที่อยู่เบื้องหลังบัลลังก์ของเหล่าราชาอย่างแท้จริง แต่พลังของเวทมนตร์เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถปกป้องเหล่าจอมเวทหญิงจากโลกที่เกลียดชังและหวาดระแวงผู้ใช้เวทมนตร์ได้ พวกเธอจึงต้องใช้สติปัญญาและเสน่ห์เพื่อแสวงหาและมีอิทธิพลเหนือคนธรรมดาที่สามารถให้การปกป้องพวกเธอได้ อย่างไรก็ตาม เหล่าจอมเวทหญิงจะรักษาระยะห่างและพยายามอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าเหล่าผู้พิทักษ์เสมอ
บานอาร์ด (Ban Ard)
สถาบันสอนเวทมนตร์แห่งบานอาร์ดตั้งอยู่ในเมืองชื่อเดียวกันในราชอาณาจักรเคดเวน แม้สถาบันจะไม่ได้ถูกควบคุมโดยทางการเคดเวน แต่บานอาร์ดก็ได้รับอิทธิพลเรื่องความหยาบเถื่อนและบุคลิกภาพที่แข็งกร้าวของอาณาจักรที่มักมีความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านอยู่เนือง ๆ และยังมีสภาพอากาศที่โหดร้ายอีกด้วย
โรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้แตกต่างจากอาเรทูซาและไกวซันฮอล นักเรียนชายของที่นี่ไม่ได้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก หมู่อาคารใหญ่โตโออ่าที่ถูกสร้างด้วยก้อนหินของโรงเรียนบานอาร์ดตั้งอยู่นอกตัวเมืองออกไปเพียงนิดเดียว จึงไม่แปลกที่พวกนักเรียนชายจะออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ทั่วเมือง นักเรียนชั้นปีท้าย ๆ มักออกไปหาความรื่นรมย์ด้วยการนั่งดื่มสุราและการเข้าสังคม พร้อมกับโอบรับความสำราญทุกอย่างที่เมืองนี้มีให้กับเด็กหนุ่มอย่างพวกเขา สถาบันมีแนวโน้มรับนักเรียนจากตระกูลชั้นนำและมีค่าเล่าเรียนแสนแพง ทำให้ชั้นเรียนเต็มไปด้วยลูกหลานของพวกเศรษฐี ทัศนคติที่ว่า “เด็กผู้ชายก็เป็นเด็กผู้ชายอยู่วันยังค่ำ” ยิ่งทำให้พวกนักเรียนชายหย่อนยานเรื่องระเบียบวินัย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็อาจถูกไล่ออกได้หากกระทำความผิดบางอย่าง เช่น การลักเล็กขโมยน้อยที่ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียร้ายแรงมากกว่าการออกไปเอะอะมะเทิ่งในที่สาธารณะหลังจากสอบเสร็จ
เพื่อเป็นการสนับสนุนค่านิยมของภูมิภาคนี้ นักเรียนชายของบานอาร์ดจึงได้รับการส่งเสริมให้ฝึกฝนการต่อสู้และทักษะทางการทหารควบคู่ไปกับการฝึกเวทมนตร์ นักเรียนชายที่มีฝีมือเก่งกาจอาจใช้เวลาออกไปล่าสัตว์ประหลาดหรือทำภารกิจทางการทหารเพื่อพัฒนาฝีมือตนเอง ภารกิจเหล่านี้คือการทำงานให้กับสถาบันในฐานะจอมเวทฝึกหัด ดั้งนั้นพวกนักเรียนชายจึงสามารถรับงานต่าง ๆ เพื่อลดหย่อนค่าเล่าเรียนได้
กิจกรรมพิเศษเหล่านี้ทำให้พวกนักเรียนชายไม่ค่อยให้ความสนใจกับบทเรียนเวทมนตร์ในแต่ละวัน การศึกษายังคงเป็นเรื่องสำคัญ แต่พวกนักเรียนชายไม่ได้มีความกระตือรือร้นในการเล่าเรียนเหมือนกับพวกนักเรียนหญิงของอาเรทูซา อันที่จริงแล้วทั้งสองสถาบันมีการจัดงานประชันเวทมนตร์กันในทุก ๆ ปี และตัวแทนจากอาเรทูซาจะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะว่าเมื่อพวกนักเรียนชายของบานอาร์ดมองเห็นว่าเป้าหมายเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม พวกเขาก็จะถอดใจทันที แต่พวกนักเรียนหญิงของอาเรทูซานั้นเข้าใจศักยภาพของตัวเองเป็นอย่างดี พวกเธอจึงรู้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่พอเป็นไปได้ และตั้งใจนำความรู้กับทักษะวิชาเวทมนตร์มาช่วยให้บรรลุเป้าหมายนั้น
เพราะการขาดแรงจูงใจในการศึกษาทำให้โรงเรียนบานอาร์ดมีนักเรียนที่สอบตกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีโอกาสดี ๆ ที่รอคอยนักเรียนเหล่านั้นอยู่ การศึกษาที่ดีเลิศคือกูญแจสำคัญที่ทำให้บรรดาผู้หญิงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและสถานะทางสังคม ในขณะที่การศึกษาครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของพวกผู้ชายก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างโอกาสมากมายให้พวกเขา แม้แต่จอมเวทชายฝีมือห่วยก็อาจจะประสบความสำเร็จได้ในสาขาอาชีพทั่ว ๆ ไป และยังสามารถเรียกค่าบริการเพิ่มเติมได้ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างไม่เคยพบเคยเจอจอมเวทผู้เชี่ยวชาญมาก่อน นอกจากคาบเรียนตามปกติแล้ว โรงเรียนบานอาร์ดยังมีชมรมและสมาคมลับให้พวกเด็กชายได้สร้างเครือข่ายพรรคพวก ซึ่งจะมีประโยชน์ในระยะยาวหลังจากที่พวกเขาพ้นรั้วโรงเรียนไปแล้ว
ไกวซันฮอล (Gweison Haul)
จักรวรรดินิลฟ์การ์ดมีแนวทางปฏิบัติต่อเหล่าจอมเวทแตกต่างไปจากอาณาจักรต่าง ๆ ในแดนเหนือ เป็นหน้าที่พลเมืองของผู้มีความสามารถด้านเวทมนตร์ทุกคนที่จะต้องเข้ารับการฝึกฝนเพื่อรับใช้จักรวรรดิ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนแบบตัวต่อตัวกับอาจารย์หรือเข้าเรียนที่โรงเรียนไกวซันฮอลก็ตาม
ก่อนหน้านี้ไกวซันฮอลเป็นเพียงโรงเรียนสอนเวทมนตร์ของอาณาจักรวิโควาโร แต่ปัจจุบันมันได้กลายเป็นสถาบันใหญ่โตโออ่าที่ฝึกฝนเหล่าจอมเวทให้กับจักรวรรดิ มีการขยายโครงสร้างตลอดระยะเวลาหลายปีที่นิลฟ์การ์ดออกพิชิตเขตแดน และมีการส่งซากอุปกรณ์จากห้องทดลองของจอมเวทฝ่ายตรงข้ามและงานวิจัยต่าง ๆ มายังโรงเรียนแห่งนี้ สถาปัตยกรรมกรรมและการตกแต่งของโรงเรียนจึงเป็นแบบผสมผสาน และเป็นเครื่องกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อนักเรียนจากทั่วทุกสารทิศของจักรวรรดิ นักเรียนของไกวซันฮอลจะมาจากอาณาจักรใดก็ได้ แม้แต่เมืองหลวงของจักรวรรดินิลฟ์การ์ดก็ตาม และเหล่านักเรียนก็มาพร้อมกับทัศนคติที่หลากหลายไปตามบ้านเกิดเมืองนอนของแต่ละคน กบฏชาวเหนือและผู้ที่จงรักภักดีต่อศัตรูจะถูกต้อนรับอย่างหนักมือเป็นพิเศษเมื่อพวกเขาเข้ามาสู่รั้วโรงเรียน
พวกจอมเวทฝึกหัดทุกคนต่างภาคภูมิใจที่ได้เป็นเครื่องมือของจักรวรรดิ อาจารย์ของที่นี่จะไม่สนับสนุนการคิดนอกกรอบ และพื้นที่ส่วนกลางของโรงเรียนก็ถูกสอดส่องด้วยเวทมนตร์ตลอดเวลา การลงโทษผู้ละเมิดกฎจะเป็นไปอย่างรุนแรง สถาบันแห่งนี้ยังมีกองกำลังนักล่าจอมเวท (Mage Hunters) ที่มีอำนาจปราบปรามกบฏและภัยคุกคามต่อโรงเรียน พวกนักล่าจอมเวทจะพกกุญแจมือไดเมอริเทียมและคอยลาดตระเวนไปทั่วโถงอาคาร แม้กุญแจมือพวกนี้จะไม่ค่อยถูกหยิบมาใช้งาน แต่การอยู่ใกล้กับโลหะไดเมอริเทียมเป็นประจำก็ทำให้ร่างกายของนักเรียนส่วนใหญ่เริ่มต้านทานต่อผลของโลหะชนิดนี้ได้
แม้จะมีการใช้อำนวจควบคุมและสอดส่องอยู่ตลอกเวลา แต่นักเรียนของไกวซันฮอลก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและมักเป็นเลิศในด้านการศึกษา โรงเรียนมีห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีการจัดการอย่างเข้มงวด ระหว่างคาบเรียนพวกนักเรียนสามารถไปเดินเล่นในลานสวนหรือห้องต่าง ๆ ในโรงเรียนได้ วิถีชีวิตที่เคร่งครัดของไกวซันฮอลและการปลูกฝังค่านิยมในการรับใช้จักรวรรดิทำให้พวกนักเรียนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรายที่กำลังมองหาคู่หูที่ไว้ใจได้เพื่อปรับทุกข์ในสิ่งที่พวกเขากังวลและหวาดกลัว
การเรียนการสอนในไกวซันฮอลถูกควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ พวกเขาแทบไม่ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นหรือความรู้สึกส่วนตัวของนักเรียน เมื่อจบการศึกษา เหล่าจอมเวทจะได้รับมอบหมายหมายงานตามทักษะของแต่ละคน ทำให้พวกเขาหางานได้อย่างง่ายดายและรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะได้ไปทำงานแบบไหน
ไม่นานมานี้มีข่าวลือเกี่ยวกับการค้นพบความลับในสุสานใต้ดินของไกวซันฮอล เหล่านักเรียนผู้กระหายใคร่รู้ค้นพบว่ามันมาจากช่วงเวลาก่อนหน้ารัชสมัยของยูเซอร์เปอร์ (The Usurper) ความลับที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนได้ซุกซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของสุสานใต้กองขี้ฝุ่นหนา ๆ มีทั้งตำราโบราณ บันทึกงานวิจัยที่แสนทะเยอทะยาน และม้วนบันทึกตำนานเก่าแก่ที่หลุดรอดสายตาของจักรวรรดิมาอย่างช้านาน
สถาบันเวทมนตร์แห่งจักรวรรดิ (The Imperial Magic Academy)
เด็ก ๆ ผู้มีความสามารถด้านเวทมนตร์จากตระกูลที่ร่ำรวยไม่จำเป็นต้องไปเรียนปะปนกับสามัญชนที่ไกวซันฮอล เด็ก ๆ เหล่านี้จะถูกส่งไปเรียนที่สถาบันเวทมนต์แห่งจักรวรรดิด้วยค่าธรรมเนียมรายปีสุดแพง สถาบันแห่งนี้คือปราสาทที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบล็อคกริม เหล่าคณาจารย์คือสุดยอดจอมเวทของจักรวรรดิ และยังมีกองทหารผ่านศึกของจักรวรรดิคอยให้ความคุ้มครองอีกด้วย
สถาบันแห่งนี้ยังคงมุ่งเน้นไปที่การสร้างความจงรักภักดีและการรับใช้จักรวรรดิเช่นเดียวกับโรงเรียนไกวซันฮอล แต่เหล่านักเรียนจะมีความเป็นอยู่ที่หรูหรากว่า นักเรียนแต่ละคนมีห้องส่วนตัวขนาดใหญ่และโรงเรียนยังมีคนรับใช้ที่พวกนักเรียนสามารถเรียกหาได้ตลอดเวลา มีการจัดงานฉลองในวันหยุดและงานเทศกาลควบคู่ไปกับการเฉลิมฉลองในเมืองหลวง เมื่อจบการศึกษา พวกเขาก็สามารถเข้าไปรับตำแหน่งในสายงานที่ตระกูลของตัวเองรับผิดชอบอยู่ หรือเข้าร่วมกับกองทัพในตำแหน่งที่ปรึกษาเพื่อจัดสรรกำลังเหล่าจอมเวทให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การเรียนแบบศิษย์อาจารย์ (Apprenticeship)
จอมเวทบางคนก็ไม่ปรารถนาที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนสอนเวทมนตร์ โรงเรียนบานอาร์ดและอาเรทูซาในแดนเหนือมีค่าเล่าเรียนที่แพงและเข้าถึงได้ยาก แม้จะมีทุนการศึกษาให้กับเด็กยากไร้ที่มีพรสวรรค์ แต่เหล่าทายาทของพวกขุนนางย่อมไม่อยากลงไปเกลือกกลั้วกับลูกหลานของคนเลี้ยงแกะ ส่วนในจักรวรรดินิลฟ์การ์ด แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องค่าเล่าเรียน แต่พวกนักเรียนก็ต้องเดินทางไกลจากบ้านเกิดไปเข้าเรียนที่ไกวซันฮอล และต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ข้อบังคับอันเข้มงวด ในขณะเดียวกันการเรียนการสอนเวทมนตร์ในดินแดนของเผ่าพันธุ์โบราณนั้นกลับมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นมากกว่า
เด็ก ๆ บางคนสามารถฝึกฝนเวทมนตร์ได้ตั้งแต่ในบ้าน หากพ่อแม่หรือสมาชิกครอบครัวมีมิตรสหายที่มีความรู้และทักษะในด้านนี้ บางครั้งความสามารถด้านเวทมนตร์ก็ถูกส่งผ่านไปยังทายาทได้ และถ้าหากไม่ได้รับการฝึกฝนที่ถูกต้อง เด็ก ๆ เหล่านี้ก็จะเผชิญกับผลข้างเคียงร้ายแรงในอนาคตได้ จอมเวทบางคนอาจรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษมาเป็นศิษย์ของตัวเอง ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้คนในแดนเหนือค่อนข้างหวาดระแวงพวกจอมเวท บางคนจึงตัดสินใจให้ลูกหลานที่มีพรสวรรค์ได้ฝึกฝนเวทมนตร์อย่างลับ ๆ ส่วนในนิลฟ์การ์ด การเรียนที่ไกวซันฮอลคือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่สำหรับเด็กบางคนการฝึกนอกโรงเรียนก็ยังดีกว่าไม่ได้ฝึกฝนอะไรเลย อย่างไรก็ตาม คุณภาพของการศึกษาย่อมด้อยกว่าการเรียนการสอนที่เป็นระบบของโรงเรียน
จอมเวทของเผ่าพันธุ์โบราณมีธรรมเนียมในการถ่ายทอดวิชาแบบศิษย์อาจารย์ เป็นการสอนแบบตัวต่อตัวที่ผู้เรียนเป็นฝ่ายเลือกอาจารย์ หรืออาจารย์จะเป็นฝ่ายเลือกเด็ก ๆ ที่มีศักยภาพมาฝึกฝนก็ได้ แม้แต่อาจารย์บางคนที่สอนในโรงเรียนเวทมนตร์ก็อาจใช้ระบบนี้ได้เช่นกัน ผู้เรียนและผู้สอนจะเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเวทมนตร์ที่ทำหน้าที่เหมือน “สายจูง” (leash) พันธะนี้จะทำให้ผู้สอนสามารถควบคุมจังหวะการใช้พลังของนักเรียนที่ยังอ่อนประสบการณ์และอาจมีความประมาทเลินเล่อ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือที่จอมเวทอาวุโสใช้บีบบังคับหรือควบคุมนักเรียนให้ทำตามคำสั่งได้เช่นเดียวกัน
จอมเวทบางคนอาจอาจรับเด็ก ๆ ที่ยากจนแต่มีความสามารถมาเป็นศิษย์ ในกรณีนี้พ่อแม่ที่ไม่สามารถรับมือกับพลังแปลก ๆ ได้จะยินยอมมอบเด็กให้จอมเวทรับไปดูแล แต่เมื่อจบการศึกษาแล้ว น้อยครั้งที่พวกลูกศิษย์จะหวนกลับไปหาครอบครัวอีก การเรียนการสอนลักษณะนี้จะไม่ค่อยมีอุปกรณ์หรือตำราแบบในโรงเรียน แต่การฝึกฝนที่เป็นกันเองและหยืดหยุ่นไปตามสภาพแวดล้อมก็สามารถสร้างจอมเวทที่เก่งกาจได้เช่นกัน
จอมเวทผู้เป็นอาจารย์สามารถปลูกฝังค่านิยมให้แก่ลูกศิษย์ได้ตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน การใช้ชีวิตอย่างสมถะ หรือชักจูงให้เข้าสู่ด้านมืด จอมเวทมักเลือกเด็กที่มีอายุเหมาะสมเพื่อให้เกิดความจงรักภักดีและเชื่อใจว่าพวกเขาจะปลอดภัยจากโลกภายนอกอันโหดร้าย ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์จะยิ่งเหนียวแน่นหากเด็กคนนั้นถูกครอบครัวทอดทิ้งหรือถูกทำร้ายมาก่อน
แปลและเรียบเรียงจากคู่มือ TRPG “The Witcher Role-Playing Game” เล่ม “A Tome of Chaos”
ไม่มีความคิดเห็น