ไซเรน เอคิดน่า และเมลูซีน (Siren, Ekhidna and Melusine)
ไซเรน เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไฮบริดที่มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาคล้ายกับชาวเงือก (merpeople) ทำให้ผู้คนบนมหาทวีปมักสับสนกับสิ่งมีชีวิตสองชนิดนี้ แม้แต่ชาวสเกลิเกะก็เรียกทั้งไซเรนและชาวเงือกว่า “ฮาว์ฟฟรู”(havfrue) เหมือนกัน ซึ่งก็คล้ายกับในภาษาโปแลนด์ที่เรียกสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งปลาแบบรวม ๆ ว่า “ซีเรนา”(syrena)
ความแตกต่างของไซเรนและเงือกที่เห็นได้ชัดคือ ไซเรนจะมีครีบขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนปีกอยู่ตรงบริเวณด้านหลังของสะโพก ทำให้พวกมันสามารถบินขึ้นไปในอากาศได้ ในขณะที่ชาวเงือกนั้นไม่มีปีก ปลายหางของไซเรนจะเป็นแผ่ออกเป็นแผ่นแข็งที่มีรูปร่างเหมือนปลายฉมวกซึ่งใช้เป็นอาวุธในการโจมตีศัตรูได้ ส่วนปลายหางของเงือกจะเป็นครีบบาง ๆ สำหรับใช้ว่ายน้ำ นอกจากนี้พวกไซเรนยังมีนิสัยดุร้ายก้าวร้าว ต่างจากชาวเงือกที่ค่อนข้างเป็นมิตรและรักสันติ แต่เมื่อเห็นไซเรนในทะเลจากระยะไกลก็ยากที่แยกพวกมันออกจากเงือกสาวได้
ไซเรนมีสายพันธุ์ย่อยที่เรียกว่า เอคิดน่า (ekhidna / deafening siren) และ เมลูซีน (melusine) ซึ่งมีขนาดลำตัวและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ไซเรนสามารถสร้างภาพลวงตาเพื่ออำพรางลำตัวท่อนบนให้ดูคล้ายกับสาวงามเพื่อล่อลวงเหล่ากะลาสี ส่วนเอคิดน่าจะดุร้ายและมีขนาดลำตัวใหญ่กว่าไซเรน ในขณะที่เมลูซีนคือสายพันธุ์ย่อยที่มีอายุยืนยาวและเป็นอันตรายที่สุด
ในเกม Gwent มีตำนานบอกไว้ว่าเมลูซีนเป็นลูกหลานของ “ฟุคุเชีย” (Fucusya) แม่มดทะเล*ที่หลงรัก “ริโอกาน” (Rioghan of Faroe) โจรสลัดจากเกาะแฟโรซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องการปล้นชิงอย่างป่าเถื่อน แต่ริโอกานกลับไม่ได้รักฟุคุเชียอย่างแท้จริง และใช้เวลาส่วนใหญ่ออกไปผจญภัยในทะเลมากกว่าที่จะใช้เวลาอยู่กับเธอที่เกาะสปีกรูก (Spikerook) จนกระทั่งวันหนึ่งริโอกานก็ถูกฆ่าตายบนเรือ ฟุคุเชียจึงชุบชีวิตริโอการขึ้นมา โดยส่วนหนึ่งของเวทมนตร์คือวาจาสิทธิ์ที่กล่าวว่า “ขอให้เปลวไฟแห่งชีวิตของเขาจงลุกโชติช่วงดังเช่นความรักระหว่างสองเรา” แต่ริโอกานไม่ได้รักฟุคุเชียและยังคงทอดทิ้งเธอไปอีกเช่นเคย วาจาสิทธิ์จึงกลายเป็นคำสาปที่ทำให้ริโอกานกลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก เขาตายไม่ได้ จะออกทะเลหรือใช้ชีวิตบนแผ่นดินก็ไม่ได้เช่นกัน ได้แต่เดินเร่ร่อนบนชายหาดไปจนชั่วกัปชั่วกัลป์
(ซ้าย) ฟุคุเชียชุบชีวิตริโอกาน, (กลาง) ริโอกานที่ถูกสาป, (ขวา) เมลูซีนบนแท่นบูชา |
ส่วนฟุคุเชียที่หัวใจแตกสลายก็หันไปเล่นงานมนุษย์ที่เป็นลูกหลานของริโอกานแทน เนื่องจากเขาเป็นคนเจ้าชู้มากรัก ริโอกานจึงมีทายาทอยู่บนเกาะสปีกรูกอยู่หลายคน ฟุคุเชียข่มขู่พวกชาวบ้านให้สังเวยลูกหลานของริโอกานในทุก ๆ ชั่วรุ่นให้กับลูกหลานของนาง ซึ่งก็คือเมลูซีนแห่งเกาะสปีกรูกนั่นเอง ชาวบ้านบนเกาะจึงสร้างแท่นบูชาเมลูซีนไว้ในถ้ำ และสืบทอดพิธีสังเวยมนุษย์จนเกิดเป็นลัทธิบูชาเมลูซีนขึ้นมา
ตำนานเรื่องนี้ยังคงไม่มีความชัดเจนว่าฟุคุเชียนั้นให้กำเนิดเมลูซีนได้อย่างไร เนื่องจากไม่ปรากฏว่าเธอตั้งครรภ์ และแม่มดทะเลก็เป็นสิ่งมีชีวิตคนละสายพันธุ์กับเมลูซีน ดังนั้นฟุคุเซียจึงน่าใช้เวทมนตร์สร้างเมลูซีนขึ้นมาจากไซเรนหรือเอคิดน่ามากกว่า ส่วนเหตุผลที่เธอสร้างสัตว์ร้ายชนิดนี้ขึ้นมาก็เป็นเพราะว่าต้องการล้างแค้นลูกหลานของริโอกานต่อไป แม้ว่าเธอจะสิ้นอายุขัยไปแล้วก็ตาม
หมายเหตุ : แม่มดทะเล (sea witch) เป็นเผ่าพันธุ์โบราณที่เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมแห่งท้องทะเลและมักอาศัยอยู่รวมกับชาวเงือก แม่มดทะเลมีรูปร่างเหมือนมนุษย์เพศหญิงแต่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก มีเวทมนตร์ที่สามารถควบคุมกระแสน้ำและสภาพอากาศในทะเล ไปจนถึงสามารถชุบชีวิตคนตายและเปลี่ยนสภาพของสิ่งมีชีวิตได้ เช่น เปลี่ยนหางเงือกให้กลายเป็นขาและทำให้เงือกเหล่านั้นใช้ชีวิตบนบกได้เหมือนกับมนุษย์ นอกจากนี้ตลอดชั่วชีวิตของแม่มดทะเลนั้นสามารถมีความรักได้เพียงแค่ครั้งเดียว เช่นเดียวกับชาวเงือกและนางไม้ทะเล (nereid)
The Witcher 3 Wild Hunt
ไซเรน (Siren)
หากเจ้าได้ยินเสียงสตรีขับร้องเพลงกลางทะเลแล้วล่ะก็ จงหันหัวเรือไปทางอื่นเสีย เข้าใจแล้วใช่ไหม? ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เจ้าต้องแล่นเรือเข้าไปในพายุก็ตาม
– อาไรค์แห่งฮินดาร์สฟยาลล์สอนบุตรชายของเขาก่อนออกเรือตามลำพังเป็นครั้งแรก
ไม่ต่างอะไรกับเหล่านายพรานที่ใช้เป็ดไม้ล่อเป็ดตัวผู้ ไซเรนและลาเมียต่างก็ใช้เรือนร่างอันงดงามของพวกมันเป็นสิ่งล่อลวงเหล่ากระทาชายเช่นกัน พวกมันสามารถแปลงร่างให้ดูคล้ายกับสาวงามแรกรุ่น ในขณะที่ท่อนล่างยังคงเป็นหางที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเงินแทนที่จะเป็นเรียวขา เมื่อใดก็ตามที่เจ้าหนุ่มกะลาสีอ่อนประสบการณ์เข้าไปใกล้ในระยะที่พวกนางเอื้อมถึง ใบหน้างาม ๆ ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของปลาอัปลักษณ์ที่มีปากขนาดใหญ่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมกริบ และหางน้อย ๆ ที่ควรมอบความเริงรมย์อันพิสดารพันลึกก็กลับกลายเป็นฉมวกแหลมที่ใช้สังหารเหยื่อแทน
เคยมีตำนานเล่าไว้ว่าครั้งหนึ่งไซเรนและลาเมียนั้นเป็นมิตรกับมนุษย์ และบางครั้งก็รู้จักยอมรับการเกี้ยวพาราสีที่ดูเงอะงะของพวกชาวเรือด้วย (แม้จะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนักก็ตาม) แต่ในทุกวันนี้พวกมันกลับมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว บางทีอาจเป็นเพราะพวกกะลาสีที่ลักพาตัวพี่น้องของมันไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าด้วยสาเหตุก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดอย่างแน่นอนก็คือ สัตว์ประหลาดเหล่านี้ไม่มีสัญญาณของความปรารถนาดีใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อใดก็ตามที่พบเห็นพวกมันก็จงชักดาบเงินออกมาทันที
ไซเรนและลาเมีย (ญาติของไซเรนที่มีความอันตรายมากกว่า) มักออกล่าเป็นฝูง สร้างความได้เปรียบจากจำนวนที่มากกว่า บวกกับความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วทั้งในน้ำและกลางอากาศ อย่างไรก็ตาม พวกมันจะไม่อยู่ในสภาพที่ป้องกันตัวเองได้เมื่อตกลงมาสู่พื้นดิน ดังนั้นการตัดปีกที่ดูเหมือนครีบขนาดใหญ่ของพวกมันจึงเป็นเทคนิคที่ฉลาดในการบังคับให้ไซเรนติดอยู่บนบก คาถาอิกนีใช้ได้ผลดีกับพวกไซเรน แต่ถึงกระนั้นไซเรนที่บาดเจ็บก็ยังสามารถส่งเสียงกรีดร้องที่ทำให้คู่ต่อสู้มึนงงไปชั่วขณะได้ระหว่างที่มันพยายามหลบหนี และยังเป็นการเรียกฝูงของมันให้มาบินมาช่วยโจมตีอีกด้วย
จุดอ่อน : Grapeshot / Hybrid oil / Aard / Igni
เมลูซีน (Melusine)
ข้า… ข้าเห็นเงา…ที่มีปีกมหึมาเหมือนเงาเมฆที่พาดผ่านท้องฟ้า แล้วข้าก็ได้ยินเขากรีดร้อง
– บริทท์แห่งสวอร์ลาก
ในภูเขาใกล้ ๆ กับหมู่บ้านสวอร์ลากบนหมู่เกาะสเกลิเกะนั้นเต็มไปด้วยคูหาถ้ำที่สลับซับซ้อน เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ละแวกนี้ เนื่องจากมีเอคิดน่ากระหายเลือดที่เรียกว่า “เมลูซีน” ได้มาทำรังอยู่ในโพรงถ้ำเหล่านั้น
เมลูซีนเป็นสัตว์ประหลาดทรงพลังที่ชาวเกาะบางส่วนเคารพบูชาประหนึ่งสมมติเทพ แต่สำหรับวิทเชอร์ย่อมไม่งมงายไปกับความเชื่อทำนองนี้ เขารู้ดีว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่ง และพวกสัตว์ประหลาดก็ล้วนแต่ต้องถูกกำจัดด้วยกันทั้งสิ้น และเพื่อการนี้เขาจึงต้องพึ่งพาลูกศรชั้นเลิศ ดาบเงินสุดแกร่ง และมือที่เล็งเป้าได้อย่างแม่นยำ
จุดอ่อน : Grapeshot / Hybrid oil / Aard / Igni
Gwent: The Witcher Card Game
Melusine (Price of Power Reward Tree)
บันทึกม้วนที่ 1: เมลูซีนคือเอคิดน่าที่มีพละกำลังและดุร้ายกว่าปกติซึ่งออกล่าตามชายฝั่งของเกาะสปีกรูก คอยจับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เผลอเข้าใกล้รังของมันมากินเป็นอาหาร อย่างไรก็ตามมันไม่จำเป็นต้องออกล่าเหยื่อมาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากมีคนนำอาหารอันโอชะมาให้มันกินถึงที่และเป็นการให้แบบสมัครใจด้วย…
บันทึกม้วนที่ 2 : ชาวท้องถิ่นได้ตั้งลัทธิบูชามฤตยูแห่งฟากฟ้าชนิดนี้มานานหลายศตวรรษแล้ว นำเครื่องสังเวยต่าง ๆ มาถวายมันจนอิ่มหนำสำราญ ทั้งข้าวสาลี ปศุสัตว์ และมีการสังเวยมนุษย์ในโอกาสพิเศษด้วย พวกเขาเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถบัญชาท้องทะเลและสภาพอากาศได้ และจะนำพาหายนภัยมาสู่กองเรือจู่โจมของพวกเขาหากความหิวโหยอันไม่รู้จบของมันไม่ได้รับการปรนเปรอจนเป็นที่พอใจ
บันทึกม้วนที่ 3 : ในทุก ๆ ชั่วรุ่น ชาวลัทธิจะถูกบีบบังคับให้สังเวยชีวิตลูกหลานหนึ่งคนที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ก่อตั้งเผ่า ผู้ที่ถูกเลือกจะได้รับการขนานนามว่า “ทายาทแห่งเกาะแฟโร” และการได้รับเลือกนั้นถือว่าเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ถือเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้อยู่อาศัยบนเกาะมิบังอาจกล้าท้าทายเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการยั่วยุให้เมลูซีนพิโรธ แต่พอเวลาผ่านเลยไปหลายศตวรรษ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังประเพณีอันแปลกประหลาดและน่าสยดสยองนี้ก็ถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้น
บันทึกม้วนที่ 4 : อย่างไรก็ตามยังพอมีผู้ที่รู้เรื่องราวจุดกำเนิดของเมลูซีนและเหล่าสาวกที่ปวารณาตัวต่อนาง หากมีใครสามารถตามหาตัวดรูอิดซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ตำนานเหล่านี้ คนผู้นั้นก็จะได้สดับรับฟังเรื่องราวโศกนาฏกรรมของมารดาแห่งเมลูซีน และรับรู้ว่าหัวใจที่แตกสลายนั้นบีบบังคับให้นางลงโทษเหล่าลูกหลานของชายเจ้าชู้ที่นางหลงรักเป็นเวลานานหลายศตวรรษได้อย่างไร
ชาวเกาะสปีกรูกทำพิธีถวายลูกหลานของริโอกานให้แก่เมลูซีน |
หีบใบที่ 1 : มีแม่มดทะเลนางหนึ่งนามว่า “ฟุคุเชีย” ได้ตกหลุมรัก “ริโอกานแห่งแฟโร” กัปตันโจรสลัดใจพาลอย่างมิอาจเข้าใจได้ เขาไม่ปราถนาชีวิตอันแสนเรียบง่าย แต่กระหายการผจญภัยและความตื่นเต้นเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เขาจึงทอดทิ้งแม่มดทะเลไปคราวละหลาย ๆ เดือนเพื่อหาเรื่องเสี่ยงอันตราย แม้ฟุคุเชียจะอวยพรให้อย่างมากมายด้วยความรักเพื่อให้เขาปลอดภัย แต่สุดท้ายบ่อแห่งความโชคดีของริโอกานก็เหือดแห้งลง แล้วเขาก็ถูกสังหารระหว่างการต่อสู้บนเรือจนได้ แต่แม่มดทะเลก็ไม่ยอมสูญเสียคนรักของนางให้แก่โลกหลังความตายง่าย ๆ นางได้ใช้เวทมนตร์ทรงพลังเพื่อชุบชีวิตกัปตันโจรสลัดขึ้นมาจากสุสานใต้ผืนน้ำ
หีบใบที่ 2 : “ขอให้เปลวไฟแห่งชีวิตของเขาจงลุกโชติช่วงดังเช่นความรักระหว่างสองเรา!” ถ้อยคำตามตำนานของฟุคุเชียที่นำพาคนรักของนางกลับคืนมาจากความตายได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่นั่นก็เป็นถ้อยคำที่ผนึกชะตากรรมของเขาเอาไว้ด้วย เนื่องจากริโอกานไม่เคยรักแม่มดทะเลจากใจจริงและไปมีหญิงอื่นอีกมากมายในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนาง ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่เขาคืนชีพขึ้นมา เขาก็ถูกสาปให้ไม่อาจรู้สึกถึงการมีชีวิตอย่างแท้จริงได้อีกต่อไป ชีวิตใหม่ที่หวนคืนนั้นไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง กัปตันโจรสลัดผู้สิ้นหวังเพราะไม่อาจแสวงหาความตื้นเต้นได้อีกจึงทอดทิ้งฟุคุเชียไปในการเดินทางครั้งสุดท้าย หัวใจของนางแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี เมื่อไม่เหลือความรักใด ๆ ที่จะหล่อเลี้ยงไฟชีวิตของริโอกาน การตามหาสิ่งที่เขาต้องการจึงกลายเป็นทัณฑ์ทรมานชั่วนิรันดร์
หีบใบที่ 3 : ตำนานพื้นเมืองเล่าถึงโจรสลัดคนหนึ่งที่ถูกสาปให้เดินร่อนเร่ไปตามชายฝั่งของเกาะสปีกรูกเพื่อตามหาจุดหมายอันไร้จุดจบไปตลอดกาล ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินหรือกลับไปล่องเรือผจญภัยในทะเลได้อีก ผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็นชายผู้ถูกสาปต่างบรรยายว่าเขาอยู่ในสภาพเฉื่อยชา ไม่รับรู้โลกภายนอก และไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ได้แต่ก้าวเดินไปเรื่อย ๆ วันแล้ววันเล่า ไม่ต่างอะไรจากซากศพที่ถูกบังคับให้เคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำ ๆ เพื่อออกเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย แต่อย่างไรก็ตามพวกชาวบ้านส่วนใหญ่กลับไม่เชื่อเรื่องเล่าไร้สาระเช่นนี้ และแย้งว่าชายที่ถูกพบเห็นเป็นเพียงฤๅษีขี้เมาที่ดื่มเหล้าเป็นกิจวัตร…ก็อาจเป็นเช่นนั้น
The Witcher Role-Playing Game
ความเชื่อของคนทั่วไป
เรื่องของพวกไซเรนนั้นเป็นเรื่องเศร้า แต่ก่อนพวกนางคือเหล่าโฉมงามที่มีหางเป็นปลาและสนใจพวกกะลาสีเป็นพิเศษ แต่นั่นมันนานมาแล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าจงจำให้ขึ้นใจว่าพวกไซเรนจะเข้าไปรุมถลกหนังเจ้าแทนที่จะมอบจุมพิตให้ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพวกนางจึงเปลี่ยนไป แต่อาจเป็นเพราะว่าพวกชาวเรือชอบลักพาตัวไซเรนมาทำเมียก็ได้ ทุกวันนี้พวกนางจึงล่อลวงมนุษย์ด้วยบทเพลงอันไพเราะ ก่อนที่จะกลายร่างเป็นอสุรกายและฉีกเนื้อพวกเขาออกมาจากกระดูก พวกกะลาสีบอกว่าหากจำเป็นต้องแล่นเรือผ่านฝูงไซเรน ก็จงหาเชือกมามัดร่างตัวเองไว้กับเสากระโดงเรือเพื่อป้องกันไม่ให้เผลอกระโดดลงจากเรือตามเสียงเพลงของพวกนางไป
ความรู้ของวิทเชอร์
อย่าผูกตัวเจ้าไว้กับเสากระโดงเรือ เพราะเจ้าจะตายอย่างน่าสยดสยอง อันที่จริงแล้วพวกไซเรนไม่ได้มีเวทมนตร์ที่จะสะกดจิตให้คนกระโดดลงไปในทะเลและว่ายน้ำตามพวกมันไปได้ พวกมันทำได้แค่ปกปิดหน้าตาที่อัปลักษณ์เหมือนปลาเอาไว้ภายใต้รูปโฉมของสาวงามเท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะหลอกล่อเหล่ากะลาสีกลัดมันให้ตกเป็นเหยื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาไม่ได้ถูกร่ายมนต์ใส่ ไซเรนใช้เพียงแค่ความงามลวงให้เรือแล่นเข้ามาใกล้ ๆ แล้วโผขึ้นไปกลางอากาศด้วยปีกที่มีเกล็ดวาววับก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปหาเหยื่อ ทีนี้เจ้าคงเข้าใจแล้วว่าการมัดตัวเองไว้กับเสากระโดงเรือนั้นเป็นความคิดที่แย่แค่ไหน
ไซเรนจะพุ่งลงมาจากกลางอากาศพร้อมกับโจมตีด้วยกรงเล็บ (หรือโจมตีด้วยหางในกรณีที่มั่นใจว่าได้เปรียบ) ก่อนจะบินกลับขึ้นไปอีกครั้ง บางคราวพวกมันอาจพยายามโจมตีเจ้าให้ตกเรือเพื่อให้พี่น้องของมันที่รออยู่ในทะเลจัดการฉีกร่างเจ้า โชคร้ายที่ไซเรนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วทั้งในอากาศและในน้ำจนยากที่จะถูกโจมตีได้ แต่ยังดีที่เจ้าสามารถใช้ธนูหรืออาวุธระยะไกลยิงมันให้ร่วงลงมาจากกลางอากาศ ไซเรนจะอ่อนแอลงอย่างเหลือเชื่อเมื่อพวกมันอยู่บนพื้นดินและถูกสังหารได้อย่างง่ายดายด้วยกำลังของชายสองคนที่มีอาวุธครบมือ
อันที่จริงแล้วไซเรนนั้นมีสติปัญญาที่ฉลาดและสามารถเข้าใจเหตุผลหรือเจรจาต่อรองได้ แต่พวกมันกลับเลือกที่จะไม่สนใจและมองว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเป็นเพียงแค่เหยื่อของพวกมัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่มีใครเคยพบเจอไซเรนที่ปรารถนาจะสนทนาด้วยอย่างเป็นมิตร แต่ถ้าหากพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ก็จงระวังไว้อยู่เสมอว่าพวกมันอาจพยายามล่อลวงเจ้าไปสู่กับดักมรณะ อย่างไรก็ตามในนิทานปรัมปราได้เล่าไว้ว่าแต่ก่อนนั้นพวกไซเรนเคยเป็นมิตรกับมนุษย์ ซึงเป็นการยากที่จะระบุว่ามันหมายถึงพวกไซเรนที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งในปัจจุบัน หรือหมายถึงสายพันธุ์อื่นที่ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นในสงครามล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ข้อมูลทั่วไป
- ความยาวจากหัวถึงหาง ประมาณ 3 เมตร
- น้ำหนัก ประมาณ 120 กิโลกรัม
- ถิ่นอาศัย ในทะเลและตามชายฝั่ง
- ขนาดฝูง 3-6 ตัว
จุดอ่อน : Hybrid Oil
ไม่มีความคิดเห็น